
ประเมิน “ยาแรง” ของรัฐบาลอนุทิน จะปราบสแกมเมอร์ได้ผลแค่ไหน ?
ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang / BBC Thai
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกุล ประกาศให้การแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ และการลวงลวงออนไลน์เป็น “วาระแห่งชาติ” โดยนายกฯ ยืนยันว่ารัฐบาลจะจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับใคร ท่ามกลางเสียงครหาในสังคมว่าบุคคลที่เคยร่วมรัฐบาลอาจมีส่วนเกี่ยวพันกับธุรกิจลวงลวงเหล่านี้เสียเอง
“ไม่ดูว่าชื่ออะไรตำแหน่งอะไร ถ้าพฤติกรรมมันเข้าข่ายกับการกระทำความผิดอย่างชัดเจน และถ้ามีหลักฐานของการกระทำความผิดขึ้นมา ไม่ดูชื่อครับ ใครผิดก็ต้องดำเนินการ” นายอนุทิน กล่าวให้ความเชื่อมันกับสาธารณชน เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ภายหลังเป็นประธานการประชุมปราบปรามปัญหาสแกมเมอร์
ความพยายามจัดการปัญหาดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางเสียงครหาว่ามีบุคคลที่เคยมีตำแหน่งในรัฐบาลนายอนุทิน อาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในอาณาจักรสแกมเมอร์ของกัมพูชา ทำให้คำมั่นของนายกฯ ไม่สามารถสร้างความมั่นใจต่อประชาชนบางส่วนได้ และทำให้เกิดเสียงวิจารณ์ถึง “ท่าทีลังเล ไม่เต็มใจ ไม่พร้อม” ของรัฐบาลอนุทิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาลของหลายชาติ ที่เริ่มมีมาตรการจัดการกับแก๊งสแกมเมอร์ในอาเซียนอย่างจริงจัง เช่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ที่ร่วมกันคว่ำบาตรเครือข่ายที่ขับเคลื่อนศูนย์สแกมเมอร์ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยึดบิตคอยน์มูลค่าราว 4.8 แสนล้านบาท จากเครือข่ายสแกมเมอร์หนึ่งในกัมพูชา
ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ขณะที่เกาหลีใต้ก็เดินเกมเร็วช่วยเหลือชาวเกาหลีใต้ที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 16 ต.ค. รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้พร้อมคณะ ได้เดินทางไปกัมพูชาและตรวจสอบสถานที่ที่ถูกอ้างว่าเป็นฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงนำตัวชาวเกาหลีใต้มากกว่า 60 รายกลับประเทศ
ในบริบทที่ปัญหาสแกมเมอร์ออนไลน์ได้กลายเป็นประเด็นระดับโลกไปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลไทยทำอยู่ตอนนี้เพียงพอและถูกทางแล้วหรือไม่ .พยายามประมวลข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
มาตรการตัดน้ำ-ไฟ-เน็ต ได้ผลหรือไม่ ?
เมื่อกลางเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา นายอนุทิน ระบุว่า “รัฐบาลไม่ได้อยู่เฉย” และจะใช้ “ยาแรง” จัดการกับเครือข่ายสแกมเมอร์
นายกรัฐมนตรียังบอกด้วยว่า เลขาธิการ กสทช. รายงานว่าได้ระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งจากไทยไปยังพื้นที่ต้องสงสัยว่าเป็นแหล่งสแกมเมอร์ในฝั่งกัมพูชาแล้ว
“วันนี้ทางเลขา กสทช. ก็ยืนยันว่าสัญญาณต่าง ๆ ที่ส่งไปฝั่งนู้น (กัมพูชา) ในทางตรงปิดหมดแล้ว ส่วนเขาจะไปอ้อม หรือไปเอาสัญญาณโรมมิ่งที่ไหนมาใช้ ตรงนี้ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง” นายอนุทิน ระบุเมื่อวันที่ 24 ต.ค.
ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ขณะที่เมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายรังสิมันต์ โรม สส. จากพรรคประชาชน กล่าวขณะเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่อง “แนวทางการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์” ว่ามาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ และอินเทอร์เน็ตที่ส่งไปยังกัมพูชา ของรัฐบาลอนุทิน ยังไม่เกิดขึ้นจริง
“ผมติดตามจนมารู้ว่าแม้กระทั่งในช่วงเวลาไม่นานมานี้ การตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การระงับยับยั้งไม่ให้น้ำมันทั้งระบบของเราไปที่สแกมเมอร์ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง สุดท้ายคนที่ตัดกลายเป็นกัมพูชาเอง วันหนึ่งถ้าเขากลับมาต่อใหม่ก็กลับไปสู่สภาพเดิม” นายรังสิมันต์กล่าว
ด้าน น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านการเงิน ได้ระบุในโพสต์บนเฟซบุ๊ก ถึงมาตรการตัดน้ำ-ตัดไฟฟ้าของรัฐบาลอนุทินด้วยว่า เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะเครือข่ายสแกมเมอร์สามารถสั่งซื้อสิ่งเหล่านี้จากผู้ให้บริการเจ้าอื่นได้อยู่ดี
“ใครช่วยไปอธิบายนายกฯ อนุทินหน่อยว่าการ ‘ตัดไฟ ตัดเน็ต' นี่ ไม่ใช่ ‘ยาแรง' แต่อย่างใด เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ… ‘ยาแรง' ที่แท้จริงคือ ตัดเส้นเงินโดยเฉพาะที่เข้ามาฟอกในไทย และจัดการกับ ‘ไทยเทา' ทั้งหลายที่เป็น ‘เครือข่ายอุปถัมภ์สแกมเมอร์'” เธอระบุบนโพสต์เฟซบุ๊ก
ที่มาของภาพ : สมจิตร รุ่งจำรัสรัศมี/BBC THAI
ด้าน เจสัน ทาวเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสแห่งโครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (World Initiative against Transnational Organized Crime) กล่าวกับ.ว่า การตัดทรัพยากรจากฝั่งไทยที่ส่งไปยังกัมพูชาจะไม่สามารถแก้ปัญหาเครือข่ายสแกมเมอร์ได้ เนื่องจากเครือข่ายเหล่านี้มีเงินมหาศาลและมีการปรับตัวที่เร็วมาก
“ต้องอย่าลืมว่าเครือข่ายเหล่านี้คืออาชญากรรมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ พวกเขาสามารถปรับตัวได้อย่างเร็วมากและหาแหล่งทรัพยากรอื่น ๆ ทั้งไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต น้ำมันหรือเครื่องผลิตพลังงานได้” เขากล่าว
เจสัน ยกตัวอย่างเมืองชเวโก๊กโก่ ศูนย์กลางเครือข่าวสแกมเมอร์ขนาดใหญ่อีกแห่งในเมียนมา ว่าถึงแม้ทางการไทยจะหยุดส่งไฟฟ้าข้ามชายแดนไป แต่เครือข่ายเหล่านั้นก็ยังปฏิบัติการต่อไปได้
“ถ้าคุณลองไปที่เมืองชเวโก๊กโก่ คุณจะพบเมืองที่เต็มไปด้วยเสาส่งสัญญาณโทรคมนาคมของเมียนมา เพราะเครือข่ายลวงลวงออนไลน์เหล่านี้สามารถเข้าถึงแทบทุกผู้ให้บริการโทรคมนาคมในเมียนมา รวมถึงเครือข่ายดาวเทียมอื่น ๆ ด้วย” เขากล่าวกับ.
ยึดทรัพย์-ตัดเส้นเงิน ต้องทำ แต่ยังไม่พอ
นายอนุทินยังเคยกล่าวถึงมาตรการอีกขั้นเพื่อแก้ปัญหาการลวงลวงออนไลน์ ว่าคือการดำเนินการยึดทรัพย์ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายลวงลวงออนไลน์ พร้อมเสริมว่าที่ผ่านมารัฐบาลมีการดำเนินการอยู่ตลอดเพียงแต่ขาดการประชาสัมพันธ์
“เราได้รับทราบว่าแต่ละหน่วยงานก็ทำงานกันอย่างเต็มที่ และมีบันทึกออกมาว่าได้จับกุม ได้ยึดทรัพย์ยึดเงิน ดำเนินคดีผู้ที่กระทำความผิดจำนวนมาก มูลค่าระดับหมื่นล้านบาท เพียงแต่ขาดการประชาสัมพันธ์” นายอนุทิน กล่าวเมื่อวันที่ 20 ต.ค.
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมแถลงผลการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในช่วงวันที่ 1-26 ต.ค. โดยระบุว่าได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 73 ราย ทั้งชาวไทยและต่างชาติ และอายัดทรัพย์สินได้กว่า 522 ล้านบาท
เจสัน ทาวเวอร์ แสดงความเห็นในประเด็นนี้ว่า แม้ประเทศไทยเริ่มมีการจับกุมและอายัดทรัพย์ของผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์บ้างแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่คนที่ถูกจับกุมและยึดทรัพย์เหล่านี้อาจเป็นเพียงปลาตัวเล็ก ๆ ในเครือข่ายอาชญากรรมใหญ่ โดยความท้าทายในการปราบปรามสแกมเมอร์ในกัมพูชามาจากการที่เครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้มีความใกล้ชิดกับรัฐ
“เครือข่ายสแกมเมอร์เหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ดังนั้นการตามล่าตัวการบางคนอาจหมายความว่ามันจะก่อให้เกิดความขัดแย้งใหญ่ระหว่างประเทศได้ เหมือนกับที่เราเห็นเมื่อช่วงต้นปีตอนที่ไทยออกหมายจับ สว. ของกัมพูชาที่ชื่อ ก๊ก อาน ผู้ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์… หลังจากนั้นก็เกิดการประท้วงไทยครั้งใหญ่ในกัมพูชา” เจสัน ระบุ
ที่มาของภาพ : AFP thru Getty Pictures
เจสัน อธิบายต่อด้วยว่า สิ่งที่ยังขาดหายไปในการแก้ปัญหาสแกมเมอร์ของไทย คือการร่วมมือกับนานาชาติ เช่น การใช้ประโยชน์จากความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และไทย
“สิ่งแรก ๆ ที่ทำได้คือการแลกเปลี่ยนข้อมูล ทางสหรัฐฯ ก็มีข้อมูลมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับเหยื่อสแกมเมอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกออกเฉียงใต้ และไทยอาจมีข้อมูลในเรื่องการฟอกเงิน หรือคำให้การของเหยื่อที่ถูกช่วยออกมาจากศูนย์ฯ” เจสันระบุ
ขณะที่ จอห์น วุยชิก นักวิจัยอาวุโสด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ จากบริษัท Infoblox บอกกับ.ว่า การปิดบัญชีที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์อาจไม่ได้ผลเสียทีเดียว เนื่องจากมาตรการนี้ดำเนินการได้ล่าช้า ไม่ทันความเร็วในการปรับตัวของอาชญากรรมไซเบอร์
“ความร่วมมือระหว่างประเทศในทางกฎหมาย (mutual like minded assistance) ใช้เวลาเป็นหลักเดือนในการดำเนินงาน แต่อาชญากรรมออนไลน์ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที วีธีเดียวที่จะสามารถจัดการระบบที่ใหญ่ขนาดนี้ได้คือการใช้ระบบแบ่งปันข้อมูล ตรวจจับ และตัดสัญญาณในพื้นที่ที่อาชญากรออนไลน์ดำเนินการโดยอัตโนมัติ” เขากล่าว
จอห์น ซึ่งเคยเป็นนักวิจัยติดตามกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียใต้ ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) อธิบายว่ารัฐบาลไทยควรใช้ระบบ DNS Menace Intelligence ซึ่งคือเครื่องมือการตรวจจับภัยคุกคามอัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์หลายหมื่นแห่งที่ใช้โค้ดหรือรูปภาพเดียวกัน เช่น ภาพเหรียญบิตคอยน์ (Bitcoin) เดียวกันในหลายเว็บไซต์ เพื่อระบุต้นตอของเครือข่ายลวงลวงออนไลน์และปิดกั้นการเข้าถึงได้เว็บไซต์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขาระบุว่า หากรัฐบาลไทยใช้ระบบดังกล่าวในเชิงป้องกันล่วงหน้า ก็จะสามารถปิดกั้นไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์ของเครือข่ายสแกมเมอร์ได้
“DNS เป็นจุดสำคัญในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์และการลวงลวง หากคุณสามารถตรวจจับและบล็อก DNS ได้ คุณก็สามารถหยุดยั้งเครือข่ายอาชญากรเหล่านี้ได้ก่อนที่พวกเขาจะทำการโจมตี”
แนวคิด “ขาว-ดำ” ในการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์ของไทย
สำหรับการช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน นายจารุวัฒน์ จิณห์มรรคา รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล และเป็นผู้มีส่วนช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกลวงลวงไปทำงานออนไลน์ในเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทยมากกว่า 2,700 รายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เคยให้สัมภาษณ์กับ.ว่า การคัดกรองเหยื่อของรัฐบาลไทยอาจยังไม่มีความรัดกุมมากพอ เนื่องจากขาดความเข้าใจในเรื่องการค้ามนุษย์ยุคใหม่ โดยเขาเคยเข้าไปคุยกับรัฐบาลไทยหลายครั้งและพบว่าทางการไทย “ไม่มองว่าพวกเขา (คนที่ถูกลวงให้ไปเป็นสแกมเมอร์) เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์”
ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ขณะที่เจสัน กล่าวเสริมกับ.ว่า ความเข้าใจเกี่ยวกับการคัดแยกเหยื่อสแกมเมอร์เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเจ้าหน้าที่บางส่วนอาจใช้แนวคิด “ขาว-ดำ” ในการคัดแยกเหยื่อการค้ามนุษย์และอาชญากร แต่ในความเป็นจริงการทำเช่นนั้นอาจใช้ไม่ได้จริง
“ในความเป็นจริงแล้วมันซับซ้อนมากกว่านั้นมาก เรามักจะเห็นเหยื่อที่ยากลำบากทางด้านการเงินถูกลวงไปศูนย์สแกมเมอร์ บางทีตอนที่ถูกชักชวนพวกเขาก็อาจจะรู้ว่าสิ่งที่เขาจะทำไม่ได้ถูกกฎหมายไปเสียทั้งหมด แต่พวกเขาไม่ได้รู้ว่าสถานการณ์จะแย่ไปกว่านั้นมาก ว่าพวกเขาจะถูกทรมาน ยึดพาสปอร์ต ถูกทำร้ายร่างกายจนเกือบเสียชีวิต” เขาอธิบาย
“ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจว่า บางคนอาจมีส่วนรู้เห็นในการลวงลวง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สามารถเป็นเหยื่อได้เช่นกัน” เจสันกล่าว
ที่มา BBC.co.uk













