
ย้อนดูที่มา กฎหมายคุมแอลกอฮอล์ ห้ามดื่มเหล้าเกินเวลาขาย ใครหนุน-ใครค้าน
ที่มาของภาพ : Bloomberg by Getty Photography
Article Recordsdata
-
- Author, วศินี พบูประภาพ
- Role, ผู้สื่อข่าว.
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา หนึ่งในบทบัญญัติที่ทำให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่คนขาย-นักดื่ม คือการกำหนดบทลงโทษแก่ผู้บริโภคที่นั่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่เชิงพาณิชย์ในช่วงเวลาที่ห้ามขาย และมีกำหนดโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทน (สส.) พรรคประชาชน (ปชน.) และอดีตรองประธาน คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ข้อความถึง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยระบุว่าเป็น “จุดจบสายลาก” โดยสรุปเนื้อหาของกฎหมายที่บังคับใช้ใหม่ฉบับนี้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขายเพื่อประโยชน์ทางการค้าในเวลาห้ามขายนั้นมีความผิดและผู้ดื่มโดนปรับด้วย
นายเท่าพิภพ ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเตือนว่าหากกฎหมายนี้ถูกบังคับใช้ จะทำให้ผู้ดื่มหลายราย “รีบดื่มให้ทันก่อนเวลา” ซึ่งการดื่มหนัก ดื่มเร็ว เกินไป อาจทำให้ร่างกายได้รับแอลกอฮอล์เร็วและมากเกินไป นำไปสู่ภาวะขาดน้ำ อาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ วิธีแก้ไขที่เขาเสนอคือ ผู้ดื่มต้องมีสติ สั่งแต่พอดี คำนวณเวลาดื่มต่อแก้วให้ดี และเฝ้ามองดูเวลาอย่างสม่ำเสมอ
เดิมที พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 เป็นร่างกฎหมายที่กำเนิดจากการขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ปัจจุบันคือพรรคประชาชน ซึ่งแม้จะขับเคลื่อนด้วยจังหวะที่แตกต่างกัน แต่ต่างเป็นที่คาดหวังว่าจะเป็นกฎหมายที่ “ปลดล็อก” อุตสาหกรรมสุราไทย จากข้อกำหนดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มงวดอันเป็นผลจากกฎหมายหลายฉบับที่ออกมาตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา
.ย้อนดูขั้นตอนและรายละเอียดการตรากฎหมายดังกล่าว เพื่อสำรวจว่าเหตุใดกฎหมายที่คาดหวังให้มีการปลดล็อกการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กลับมีบทบัญญัติบางข้อที่เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม
ขายเหล้า-ดื่มเบียร์ ได้ถึงกี่โมง ตามกฎหมายใหม่
หลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ร้านค้าผับบาร์ยังคงขายเหล้าเบียร์ได้เฉพาะในช่วงเวลา 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น. เช่นเดิม เนื่องจากกฎหมายฉบับใหม่กำหนดว่า เวลาที่ขายได้ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งหลังจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกมา ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการดังกล่าว ออกมาพิจารณาประกาศฉบับใหม่ ดังนั้น จึงทำให้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 23 มิ.ย. 2568 ซึ่งเป็นประกาศล่าสุดก่อนหน้า ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่
ประกาศประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวระบุว่า “ห้ามผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาอื่น นอกจากตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึงเวลา 14.00 น. และตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึงเวลา 24.00 น.” ยกเว้นการขายในสนามบิน การขายในสถานบริการซึ่งเป็นไปตามกำหนดเวลาปิดของสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ และการขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
ทั้งนี้ในอดีต สถานบันเทิงที่จดทะเบียนเป็นสถานบริการจะสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้จนถึงเวลาปิดทำการ ตามกฎกระทรวงภายใต้ พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ. 2509
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด
ขณะที่สถานประกอบการซึ่งจดทะเบียนเป็นร้านอาหารจะต้องหยุดการจำหน่ายเครื่องดื่มในเวลาเที่ยงคืน จึงเกิดแนวปฏิบัติให้สั่งเครื่องดื่มก่อนเที่ยงคืนและสามารถนั่งต่อได้จนร้านปิด
อย่างไรก็ดี ภายใต้ พ.ร.บ. ฉบับใหม่นี้เขียนไว้ว่า ห้ามดื่มในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย หรือจัดบริการเพื่อการบริโภคเพื่อประโยชน์ทางการค้า ในช่วงเวลาที่ห้ามขายเครื่องดื่ม ซึ่งหมายความว่า แม้จะสั่งเครื่องดื่มทันเวลาก่อนเที่ยงคืน ก็ไม่สามารถนั่งดื่มต่อได้หลังจากนั้น หากสถานที่นั้นอยู่ในข่ายที่กฎหมายควบคุม
ย้อนความเป็นมาก่อนแก้ไขกฎหมายคุมแอลกอฮอล์
ก่อนที่ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ระบบการควบคุมเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยยังคงยึดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2515 ในสมัยของจอมพลถนอม กิตติขจร
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 กำหนดช่วงเวลาห้ามขายไว้อย่างชัดเจน เป็นสาเหตุให้ประเทศไทยมีกฎการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในเวลาที่กำหนด คือ ช่วงเวลา 11.00-14.00 และ 17.00-24.00 น. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยกำหนดให้บังคับใช้เฉพาะกรณีการขายสุราที่ผลิตในประเทศจำนวนต่ำกว่าสิบลิตร และการขายสุราทุกชนิดตั้งแต่สิบลิตรขึ้นไป แต่ขายในสถานที่ขายเป็นการชั่วคราวไม่เกินสิบวัน
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับนี้ยังกำหนดให้ห้ามมีการดื่มสุราชนิดใด ๆ ณ สถานที่ขายสุราระหว่างเวลาที่ได้มีการห้ามจำหน่ายไปพร้อมกันด้วย อย่างไรก็ตาม วรรคสามระบุว่า สถานบริการที่ได้รับอนุญาตให้เปิดเกินเที่ยงคืน สามารถขายและอนุญาตให้ลูกค้าดื่มสุราต่อไปได้หลัง 24.00 น. ไปจนถึงเวลาปิดทำการที่ได้รับอนุญาต
ต่อมาในปี 2551 ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นรัฐบาลที่แต่งตั้งจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จากการรัฐประหารปี 2549 ได้ออก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551
กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีอำนาจแนะนำนายกรัฐมนตรีให้กำหนดรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงวันและเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มจากเดิม โดยกำหนดสถานที่ต้องห้ามและบุคคลลักษณะต้องห้ามที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เพิ่มเติมด้วย
ต่อมาหลังการรัฐประหาร 2557 ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังได้ออกคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 กำหนดสภาพบังคับลงโทษสถานประกอบการเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยให้ผู้มีอำนาจมี่เกี่ยวข้องสั่งปิดหรืองดต่อใบอนุญาตสถานประกอบการที่ละเมิดข้อห้าม
ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีในสมัยต่าง ๆ เพียงแต่ใช้กลไกตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อปรับเปลี่ยนรายละเอียดการควบคุมการซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น โดยสามารถย้อนไปในแต่ละสมัย ดังนี้
- รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีในปี 2552 ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮล์ในวันสำคัญทางศาสนา ยกเว้นการขายในโรงแรม
- รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุค คสช. ออกประกาศห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มเติมในวันออกพรรษาในปี 2558
- รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ปลดล็อกการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ต่าง ๆ เพิ่มเติมในวันสำคัญทางศาสนาพุทธในปี 2566
- รัฐบาล น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ปลดล็อกการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ต่าง ๆ เพิ่มเติมระหว่างเวลา 14.00-17.00 น.ในปี 2568
ทั้งนี้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับได้เขียนกำหนดเรื่องระยะเวลาที่อนุญาตให้ขายซ้ำลงในตัวบท โดยอ้างอิงการจำกัดเวลาขายตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 เช่น ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2568 ในสมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ก็ได้เขียนกำหนดเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงเวลา 11.00-14.00 และ 17.00-24.00 น. ยกเว้นสถานที่ที่ได้รับอนุญาต เอาไว้ด้วย
ที่มาของภาพ : Bloomberg by Getty Photography
เห็นได้ว่า แม้จะมีกฎหมายและประกาศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องถูกบังคับใช้ดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่กฎหมายหรือประกาศการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มาในยุคหลังก็ไม่ได้มีผลลบล้างประกาศคณะปฏิวัติฉบับตั้งต้น หรือยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. แต่อย่างใด และมีการตรากฎในลำดับรองทับลงไปในใจความเดียวกัน
การริเริ่มการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ได้รับความสนใจขึ้นมาตั้งแต่ปี 2562 พร้อมกับการรณรงค์การแก้กฎหมายเพื่อ “สุราก้าวหน้า” ที่มีนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส. พรรคก้าวไกล ในขณะนั้น เป็นผู้ผลักดัน
ในขณะเดียวกันก็มีเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนโดยเฉพาะกลุ่ม “ประชาชนเบียร์” และสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟต์เบียร์ ขณะนั้นเคยมีการนำเสนอกฎหมายด้านการผลิตในร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ ในปี 2565 แต่ไม่ผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้น
ต่อมาจึงมีการริเริ่มแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อีกครั้งในสมัยของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในปี 2567 โดยมีการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรถึง 5 ฉบับ ซึ่งมาจากหลายภาคส่วน ได้แก่ ร่างของคณะรัฐมนตรี (ใช้เป็นร่างหลักในการพิจารณา), ร่างของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 2 ฉบับ (นำโดยนายธีรภัทร์ คหะวงศ์ และนายเจริญ เจริญชัย), และร่างของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ฉบับ (นำโดยนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร และนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ) และเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2567
เส้นทางที่เริ่มต้นในปี 2567 ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา จนกระทั่งประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ได้ในปีนี้
ปรับเวลาซื้อ-ขาย ต้องแก้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี
เนื้อหาใจความของร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่… พ.ศ … ที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนคือ การกำหนดเวลาซื้อ-ขายเครื่องดื่ม
ในขณะที่มีการยกร่างกฎหมายนั้น รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเวลาซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นแยกออกเป็นสามแนวทาง
- แนวทางแรก คือ คงอำนาจการกำหนดข้อจำกัดด้านเวลาขายไว้ โดยให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีอำนาจเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีในการกำหนด วันหรือเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร่างกฎหมายที่เห็นพ้องกับแนวทางนี้ได้แก่ ร่าง พระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. จากคณะรัฐมนตรี และร่างกฎหมายในหัวข้อเดียวกันฉบับของนายธีรภัทร์ คหะวงศ์
- แนวทางที่สอง คือ กำหนดให้การใช้อำนาจกำหนดวันหรือเวลาห้ามขายนั้นต้องคำนึงถึงเหตุผลทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยร่างพระราชบัญญัติ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ ที่ดำเนินไปในทางแนวนี้ได้แก่ร่างฯ จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งเสนอโดยนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ, และจากภาคประชาชนซึ่งนำเสนอโดยนายเจริญ เจริญชัย
- แนวทางที่สาม คือ ยกเลิกการจำกัดวันและเวลาในการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง โดยแนวทางนี้เสนอในร่างกฎหมายฯ จากพรรคก้าวไกล (ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) ซึ่งเสนอโดยเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร
แม้ร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบทั้งสองสภาออกมาเป็น พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568 ไม่ได้มีการยกเลิกตัวบทกฎหมายเรื่องการจำกัดเวลาไปตามที่ร่างกฎหมายของอดีตพรรคก้าวไกลในนำเสนอ และไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวลงไปในตัวบทกฎหมายดังที่ผู้สนับสนุนร่างกฎหมายของพรรคเพื่อไทยและร่างกฎหมายของนายเจริญ คาดหวัง แต่กฎหมายที่ตราใหม่มานี้ก็ได้ยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ลงวันที่ 16 พ.ย. 2515 และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 22/2558
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่ากฎหมายที่รอการปลดล็อกเพื่อให้มีการซื้อขายในระยะเวลาที่เคยห้ามไว้ได้ก็เหลือเพียงกฎหมายชั้นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เคยออกไว้ โดยระบุวันและเวลาห้ามจำหน่ายตามประกาศของคณะปฏิวัติ
รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยผู้ผลักดันร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว ก่อนได้รับการตราเป็นกฎหมายกล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อประกาศฉบับนี้ ประกาศคณะปฏิวัติ ถูกยกเลิกไปแล้ว ก็ขอให้รัฐบาลเร่งปลดล็อกประกาศสำนักนายกฯ ที่ออกตามกันมา เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว สามารถมีความต่อเนื่องทางธุรกิจได้มากขึ้น โดยยังสามารถมีมาตรการควบคุมผลกระทบที่เหมาะสมได้”
ข้อกำหนด “ห้ามนั่งแช่” เสนอโดยใคร มีการถกเถียงกันอย่างไรในขั้นตอนร่างกฎหมาย
อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นที่พูดถึงหลัง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ คือข้อบังคับในการควบคุมพฤติกรรมการดื่มของผู้บริโภค โดยกำหนดเวลาและสถานที่ “ห้ามดื่ม”
ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้ปรากฏใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2551 แต่พบว่าเป็นแนวทางที่ปรากฏอยู่ในร่าง พ.ร.บ. ของคณะรัฐมนตรีรัฐบาลนายเศรษฐา และร่าง พ.ร.บ. ของพรรคเพื่อไทย
ร่างกฎหมายฯ ของพรรคเพื่อไทยระบุไว้ใน มาตรา 31/1 ว่า “ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสถานี หรือบริเวณสถานที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อประโยชน์ในทางการค้าในเวลาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวจะกำหนดเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นใด ๆ เท่าที่จำเป็นด้วยก็ได้”
ขณะที่ร่างกฎหมายของคณะรัฐมนตรีมีเนื้อความเดียวกันและเพิ่มหน้าที่ให้ผู้ประกอบการ เจ้าของ ผู้จัดการ หรือผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานในการแจ้งเตือนผู้ใช้บริการเพื่อไม่ให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เมื่อถึงเวลาที่กำหนด หากแจ้งเตือนแล้ว แต่ยังมีผู้ฝ่าฝืนก็จะถือว่าผู้ประกอบการไม่ได้มีความผิด
.สืบค้นการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างกฎหมาย พบว่ามีการพูดคุยถึงประเด็นนี้เป็นการเฉพาะในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวครั้งที่ 11 วันอังคารที่ 28 พ.ค. 2567 โดย กมธ. ประกอบด้วยตัวแทนจากส่วนราชการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ภาคประชาสังคม และผู้ประกอบการ
ในบันทึกการประชุมตอนหนึ่ง น.ส.ศิริพร เอี่ยมธงชัย จากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะ กมธ. และที่ปรึกษาของ กมธ. อธิบายว่าการยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติฯ เป็นการยกเลิกเพียงเรื่องการจำกัดเวลา แต่ยังมีประเด็นการ “ห้ามดื่ม” ที่ยังไม่ได้มีการพิจารณาว่าจะยกเลิกหรือไม่
เธอให้คำแนะนำต่อว่า หากคณะ กมธ. จะนำหลักการตามประกาศของคณะปฏิวัติฯ มากำหนดไว้ กมธ. อาจแก้ไขเพิ่มเติมมาตราที่เกี่ยวข้อง โดยล้อการกำหนดเวลากับการแก้ไขด้านเวลาซื้อ-ขาย
ภาคประชาสังคมเห็นด้วย “หลักการห้ามดื่ม”
การพิจารณาของ กมธ. วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายคุมแอลกอฮอล์ในขณะนั้น มีการออกความเห็นในหลักการการห้ามดื่มเครื่องดื่มมึนเมาอย่างหลากหลาย
นายธีระ วัชรปราณี ผู้อำนวยการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า เห็นว่าการเพิ่มหลักการห้ามดื่มในร้านหลังเวลาซื้อขายสิ้นสุดลงเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ของประกาศคณะปฏิวัติฯ ในการคุ้มครองและควบคุมปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชนและทำให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เหตุที่ต้องนำประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2515 มากำหนดไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ก็เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการคุ้มครอง และควบคุมปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประชาชน และทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” บันทึกการประชุมกมธ.ครั้งที่ 11 เขียนถึงการให้ความเห็นของผู้อำนวยการเครือข่ายองค์กรงดเหล้า
ด้านนายวิษณุ ศรีทะวงษ์ ประธานมูลนิธิเครือข่ายพลังสังคม มองว่าทำให้เกิดความรับผิดชอบในสังคม และเป็นการสร้างค่านิยมใหม่ขึ้นในสังคม
ขณะที่ ดร.เอกสิษฐ์ อัครศักดิ์กีรติ กรรมการมูลนิธิประชาปลอดภัย มองว่าเป็นการปิดช่องว่างโดยเจ้าหน้าที่ไม่ต้องใช้ดุลยพินิจในการบังคับใช้กฎหมายด้วยตนเองอีกต่อไป
ภาคธุรกิจไม่เห็นด้วย
น.ส.สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี ผู้ประกอบการผลิตไวน์, นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. อดีตพรรคก้าวไกล และ น.ส.เขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มหลักการดังกล่าว
น.ส.สุวิสุทธิ์ ชี้ว่าร้านค้าหรือสถานบริการ แม้จะเป็นสาธารณสถาน แต่เมื่อปิดทำการแล้วสถานที่ดังกล่าวย่อมกลายเป็นที่รโหฐาน เจ้าของจึงมีสิทธิที่จะกระทำการใดในพื้นที่ดังกล่าวก็ได้
ส่วน น.ส.เขมิกา นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย ระบุว่า “มาตรการดังกล่าว เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการนักท่องเที่ยวต่างชาติ คณะกรรมาธิการควรกำหนดมาตรการในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยพิจารณาถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และไม่ควรกำหนดมาตรการที่เป็นการจำกัดสิทธิของผู้บริโภคมากจนเกินไป เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างสมดุลระหว่างภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคม และภาคสาธารณสุข”
ที่มาของภาพ : Chanin Rungtanakiat
เรียกร้องให้ลงรายละเอียด
สำหรับผู้ที่ต้องการให้กำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม ประกอบด้วยนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ ที่ระบุว่าเขาเห็นด้วย แต่ควรมีการกำหนดข้อยกเว้นเพื่อไม่ให้กระทบสิทธิเสรีภาพมากจนเกินไป
นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกรรมการบริหารศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่าประกาศของคณะปฏิวัติได้กำหนดให้ข้อห้ามในการห้ามบริโภคบังคับใช้เฉพาะกรณีการขายสุราที่ผลิตในประเทศจำนวนต่ำกว่าสิบลิตร และการขายสุราทุกชนิดตั้งแต่สิบลิตรขึ้นไปแต่ขายในสถานที่ขายเป็นการชั่วคราวไม่เกินสิบวันเท่านั้น หากจะนำเจตนารมณ์ดังกล่าวมา ก็ควรระบุประเภทร้านค้าดังกฎหมายเดิมด้วย
นอกจากนี้นายไพศาล ยังกล่าวถึงเงื่อนเวลาในการห้ามดื่ม โดยเสนอให้มีการกำหนดให้ร้านค้าหรือสถานบริการประเภทจำหน่วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านสามารถเปิดให้บริการต่อไปได้อีกครึ่งชั่วโมงเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถบริโภคเครื่องดื่มที่ตนสั่งมาจนหมด
ด้าน รศ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และนายวรุตม์ บุณฑริก ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมาธิการเห็นด้วยกับประเด็นนี้โดยหยิบยกกฎหมายของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งกำหนดแนวทางเดียวกันมาเทียบเคียง
ประเด็นการขยายเวลาเปิดให้บริการได้อีกครึ่งชั่วโมงหลังสิ้นกำหนดเวลาห้ามจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอออล์ยังถูกหยิบยกมาพูดอีกครั้งในวันที่ 10 ก.ย. 2567 ระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในครั้งที่ 35
นายวรุตม์ บุณฑริก ชี้ว่าตามกฎหมายใหม่อำนาจการออกอนุบัญญัติเพื่อกำหนดรายละเอียดของมาตราการควบคุมเครื่องดื่มแอลกฮอล์จะเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ จึงเสนอให้ทำข้อเสนอแนะไปเป็นแนวทางเพื่อให้คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอออล์แห่งชาติพิจารณาต่อไป
ในการประชุมดังกล่าวยังมีมติกำหนดถ้อยคำซึ่งจะใช้ตรากฎหมายว่า
“มาตรา 32 ห้ามผู้ใดบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ หรือบริเวณที่ขายเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ หรือสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้มีการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อ ประโยชน์ในทางการค้า ในเวลาที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตาม มาตรา 28 ทั้งนี้ คณะกรรมการควบคุมจะประกาศดังกล่าวจะ กำหนดเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นใด ๆ เท่าที่จำเป็นไว้ด้วยก็ได้”
ถ้อยคำนี้ไม่ได้มีการแปรญัตติต่อในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างกฎหมายในวาระที่สอง และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกจนกระทั่งตราเป็นกฎหมายและมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี โทษของหลักความผิดนี้ได้ถูกปรับจากอัตราความผิดเดิมตามประกาศคณะปฏิวัติฯ ที่กำหนดให้ผู้บริโภคที่ฝ่าฝืนกฎ มีความผิดอาญาต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มาเป็นการลงโทษทางพินัยด้วยการปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ที่มาของภาพ : Reuters
ผู้ประกอบการเรียกร้องยืดเวลาขายเหล้าเบียร์ที่ยังไม่ปลดล็อก
แม้ กมธ. พิจารณาร่างกฎหมายบางส่วนแสดงความกังวลต่อมาตรการการห้ามนั่งดื่มต่อในสถานที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ดี ความมุ่งหวังของ กมธ. อีกส่วนหนึ่ง คือการที่จะได้ขยายเวลาการซื้อขายมากขึ้นกว่าเดิม
ในการประชุม กมธ.วิสามัญฯ พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ครั้งที่ 11 นายศุภพงษ์ พรึงลำภูการ ผู้ประกอบการคราฟต์เบียร์ ชี้ว่าหากมีการกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 32 ก็ควรมีการยกเลิกช่วงเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างเวลา 14.00-17.00 น. เพื่อไม่ให้มีการควบคุมที่มากเกินความจำเป็น
ในครั้งนั้นนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กมธ. จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งปฏิบัติหน้าที่เป็นประธาน กมธ.ฯ ชี้ว่าการกำหนดระยะเวลาหรือช่วงเวลาในการห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตามมาตรา 32 จะถูกกำหนดโดยประกาศคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ สอดคล้องไปกับมาตรา 28 ซึ่งเป็นเรื่องเวลาในการซื้อ-ขายเครื่องดื่ม
อย่างไรก็ดี หลังราชกิจจานุเบกษาประกาศเผยแพร่ พ.ร.บ. ดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ย. 2568 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเวลาที่อนุญาตขายแต่อย่างใด ทำให้ข้อบังคับเรื่องการห้ามบริโภคก็ถูกบังคับใช้นอกเวลาขาย 00.00 น.–11.00 น. และ 14.00 น.–17.00 น. ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่ยังมีผลบังคับใช้โดยปริยาย
นายณัฐชัย อึ๊งศรีวงศ์ สมาชิกสมาคมคราฟต์เบียร์แห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กระบุว่า ได้เป็นตัวแทนสมาคมฯ เข้ายื่นหนังสือที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาร้องขอให้มีการผลักดันกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพของสมาชิก หนึ่งในนั้นคือขอให้ยกเลิกกรอบเวลาจำหน่ายแอลกอฮอล์ให้สามารถขายในช่วงบ่ายได้
ด้านนายชนินทร์ อดีต กมธ. พิจารณาร่างกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบันว่า “เกียร์ว่าง” โดยชี้ว่ารัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยการเร่งออกประกาศฉบับใหม่ เพื่อกำหนดเวลาห้ามขายให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น หรืออาจผ่องถ่ายอำนาจให้ท้องถิ่นแต่ละจังหวัดกำหนดเวลาที่เหมาะสมเอง
นายชนินทร์ตั้งข้อสังเกตผ่านบทสัมภาษณ์กับไทยรัฐว่า “ความจริงคือกฎหมายฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน รัฐบาลจึงมีเวลาเต็มที่ในการเตรียมการ แต่กลับกลายเป็นว่าจนถึงวันนี้คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังไม่เริ่มแต่งตั้งด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่น่ากังวลว่าจะทำให้เราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไป”
ข้อเรียกข้องของเขายังสอดคล้องกับนายเท่าพิภพ สส. พรรคประชาชน ที่เรียกร้องโดยตรงไปที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล
“ถ้าหาก รัฐบาล เห็นว่า มาตรานี้เป็นปัญหาก็สามารถออกกฎหมายลูกมาผ่อนปรนได้ หรือจะยกเลิกเวลาห้ามขายไปเลยก็ได้ซึ่งก็เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่เเล้ว ซึ่งก็จะทำให้มาตรานี้ไม่มีผลอีกต่อ”
สส. ผู้ผลักดัน “สุราก้าวหน้า” ระบุว่าเขาและพรรคประชาชน ยืนยันว่าการเปิดขายสุรา 24 ชม. เป็นเรื่องปกติ พร้อมยืนยันว่าตระหนักดีถึงปัญหาที่เกิดจากสุรา
“เราควรมีมาตรการที่เหมาะสมด้วยสัดส่วน และมีตรรกะที่ทุกคนเข้าใจได้และพอปฏิบัติตาม ไม่ใช่มาตรการเช่นนี้ ที่ผิดธรรมชาติ ยากต่อการบังคับ และผลลัพธ์ที่ได้จากการควบคุมน้อย” สส. พรรคประชาชน ระบุ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 11 พ.ย. นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า จะเรียกประชุมภายในสัปดาห์นี้เพื่อหารือเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ และการตั้งคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชุดใหม่
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงข้อกังวลเรื่องการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกรณีการนั่งดื่มเกินเวลา ซึ่งนายโสภณยืนยันว่าจะกำชับให้เกิดความเป็นธรรมและสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจต่อไป
ที่มา BBC.co.uk












