บรรณาธิการ World Times สื่อรัฐบาลจีนโต้ตะวันตก ย้ำชัดกรณี 40 อุยกูร์ถูกไทยส่งตัวกลับประเทศ แท้จริงเป็นชาวจีนเอี่ยวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ก่อนได้เจอหน้าครอบครัวอีกครั้ง ชี้นี่ควรเป็นโอกาสแห่งความสุข แต่ฝั่งตะวันตกพยายามบิดเบือน ยกประเด็นสิทธิฯมาเล่นการเมือง เหน็บสหรัฐฯ ควรแก้ปัญหาในบ้านตัวเองก่อนวิจารณ์คนอื่น ขณะสถานทูตสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นประจำประเทศไทยออกประกาศเตือนพลเมืองระวังเหตุก่อการร้าย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวเกี่ยวกับกรณีรัฐบาลไทยได้ดำเนินการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน Forty eight คน กลับไปยังประเทศจีน ท่ามกลางความกังวลว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้อาจเสี่ยงต้องเผชิญกับการถูกควบคุมตัวในค่ายกักกัน และการกดขี่ลงโทษ หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงเมื่อกลับไปถึงจีน
โดยเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา บรรณาธิการ (บก.)ข่าวสำนักข่าว World Times ซึ่งเป็นสื่อในสังกัดพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ออกมาเขียนบทความตอบโต้ฝ่ายประเทศตะวันตกที่วิจารณ์ประเทศไทย เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า
ชาวจีน 40 คนที่เกี่ยวข้องกับการอพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายถูกส่งตัวกลับจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากผ่านกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาเจอกับครอบครัวหลังจากไม่เจอหน้ากันนานกว่า 10 ปี ดังนั้นนี่ควรจะเป็นโอกาสแห่งความสุข
อย่างไรก็ตามมีชาวตะวันตกบางคนแสดงความไม่พอใจ และรีบระบุว่านี่เป็นประเด็นสิทธิมนุษยชน โดยเสียงที่ดังที่สุดมาจากกรุงวอชิงตัวที่อ้างว่าพลเมืองที่ถูกส่งตัวกลับล้วนเป็นชาวอุยกูร์ และพยายามบิดเบือนกระบวนการความร่วมมือในการใช้กฎหมายปกติเพื่อดำเนินการส่งตัวกลับประเทศ
“พวกเขาโฆษณาคําโกหกเกี่ยวกับภูมิภาคซินเจียงอีกครั้งและดําเนินการประณามประเทศไทยด้วย คําพูดที่รุนแรงที่สุด วาทศิลป์นี้เป็นรูปแบบเก่าแบบเดียวกับที่ชาวตะวันตกบางคนใช้ใส่ร้ายซินเจียง พวกเขาใช้ข้อกังวล สิทธิมนุษยชน ที่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของจีนในขณะที่กดดันทางการเมืองต่อประเทศไทย” บรรณาธิการข่าวระบุ
บก.World Times กล่าวต่อไปว่าข้อเท็จจริงของปฏิบัติการการส่งตัวกลับนั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา แต่มีประเด็นสําคัญบางประการที่บางคนในตะวันตกตั้งใจมองข้าม
ประการแรก ชาวจีนที่ถูกส่งกลับเหล่านี้ถูกองค์กรอาชญากรรมหลอกลวงและติดอยู่ในประเทศไทยหลังจากข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย การกระทําของพวกเขาละเมิดกฎหมาย
ประการที่สอง พวกเขาถูกคุมขังในประเทศไทยมานานกว่าทศวรรษ และทั้งพวกเขาและครอบครัวต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมาก
ประการที่สาม ญาติของชาวจีนที่ถูกส่งตัวกลับประเทศเหล่านี้ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ประการที่สี่ สิทธิทางกฎหมายของพวกเขาได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ รวมถึงการให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ที่ทุกข์ทรมานจากความเจ็บป่วยร้ายแรง
ประการที่ห้า การส่งตัวกลับประเทศดําเนินการตามหลักการเคารพซึ่งกันและกันและการปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียมกันระหว่างจีนและไทย
โดยเห็นได้ชัดว่าการดําเนินการส่งตัวกลับประเทศเป็นไปตามมาตรฐานทางกฎหมาย
สำหรับกรณีการส่งตัวกลับประเทศครั้งนี้รัฐบาลไทยได้ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าการส่งตัวชาวต่างชาติกลับประเทศเป็นสิทธิอธิปไตยของประเทศไทยและดําเนินการเพื่อผลประโยชน์ของชาติ อย่างที่ทราบกันดีว่าการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายและการลักลอบค้ามนุษย์เป็นความผิดทางอาญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งขัดขวางการเข้าออกประเทศด้วยวิธีการปกติอย่างรุนแรง
อาชญากรรมข้ามพรมแดนแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศในภูมิภาคได้รับความเดือดร้อนอย่างมากจากอาชญากรรมนี้ อาชญากรรมต่างๆ เช่น การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด และการฟอกเงินมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย
ดังนั้นการส่งกลับประเทศครั้งนี้จึงเป็นการปกป้องหลักนิติธรรมระดับภูมิภาคของทั้งจีนและไทยในฐานะผู้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาตํารวจจีนและไทยได้ร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมเช่นการค้ามนุษย์และการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมประสบความสําเร็จในการแก้ปัญหาคดีสําคัญและได้จัดตั้งกลไกความร่วมมือมากมายกลายเป็นเหมือนแสงสว่างสำหรับความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมายระดับภูมิภาค ผลลัพธ์เหล่านี้ได้รับการยอมรับจากประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคซินเจียงนั้นก็มีความชัดเจนอยู่แล้ว ย้อนไปในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่จัดขึ้นในกรุงเจนีวาเมื่อเดือนกันยายน 2567 คิวบาซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มประเทศประมาณ 80 ประเทศ รวมถึงหลายประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ได้แถลงการณ์ร่วมเพื่อสนับสนุนจีนอย่างแรงกล้า
นอกจากนี้ อีกกว่า 20 ประเทศได้แสดงจุดยืนในรูปแบบต่างๆ โดยสนับสนุนจุดยืนที่ยุติธรรมของจีน และต่อต้านการทําให้ประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องการเมืองอย่างชัดเจน ตลอดจนต่อต้านการใช้สิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้างในการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น
สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรู้สึกในวงกว้างของประชาคมระหว่างประเทศ และเรื่องนี้ไม่เป็นความลับเลยที่ว่ามีกองกําลังและสถาบันทางการเมืองบางแห่งได้สร้างและเผยแพร่คําโกหกเกี่ยวกับซินเจียงโดยมีเจตนาที่จะทําลายเสถียรภาพของภูมิภาค
มีบางกลุ่มจากตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกาได้สร้างเรื่องเล่าที่อ้างว่า “จีนบีบบังคับให้ไทยส่งมอบ ‘ผู้ลี้ภัย‘ และทําให้พวกเขาได้รับการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม” น่าแปลกที่เรื่องราวนี้ดูเหมือนจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา หากประเทศใดควรถูกสอบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ลี้ภัย นั่นคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ได้สร้างระบบกักกันคนเข้าเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปีงบประมาณ 2563 มีผู้เสียชีวิต 21 รายในการกักขังภายใต้สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรของสหรัฐฯ และมีรายงานว่าเด็กจํานวนมากถูกกักขังในสภาพที่แออัดและคล้ายกับ “คอกปศุสัตว์”
สื่ออเมริกันบางสํานักอ้างว่าประเทศไทยกําลัง “รองรับ” ปักกิ่ง และนี่เป็น “ชัยชนะครั้งสําคัญของจีน” ซึ่งเป็นการยืนยันที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความคิดกลั่นแกล้งจีนที่มีมาอย่างยาวนานของสหรัฐฯ
ภายใต้กรอบความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง ความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างจีนและไทยจะลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไป ความพยายามเหล่านี้จะไม่ถูกทำให้หวั่นไหวด้วยคําพูดที่ขาดความรับผิดชอบเล็กน้อย และจะไม่ถูกกําหนดโดยความต้องการวอชิงตัน
“ในทางตรงกันข้าม แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่วิธี โยนสิ่งสกปรกใส่คนอื่น จะเป็นการดีกว่าสําหรับสหรัฐฯ ที่จะพยายามจัดการกับความล้มเหลวในการกํากับดูแลสังคมภายในประเทศของตนเอง” บรรณาธิการสื่อจีนกล่าวทิ้งท้าย
เรียบเรียงข่าวส่วนนี้จาก:https://www.globaltimes.cn/web page/202503/1329294.shtml?fbclid=IwY2xjawIvSN1leHRuA2FlbQIxMAABHQFOsN9GGRbh9Y1owOd_NAv5ij1PHu3-8h_LQXX5AEPZ_cf-bZqXxVrIHw_aem_4W-7-YwO0jSieSzWRA4cpw
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าทั้งนี้หลังจากที่ทางการไทยได้ส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน Forty eight คนกลับประเทศจีนไปนั้น เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางสถานทูตสหรัฐอเมริกา และสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ออกประกาศไปยังพลเมืองของตน ให้ระมัดระวังภัยก่อการร้ายในไทย โดยอ้างอิงเหตุวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2558
สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เผยแพร่คำประกาศในวันที่ 28 ก.พ.ในหน้าเว็บไซต์ แนะนำให้พลเมืองอเมริกันระมัดระวังการอยู่ในที่ชุมนุมชนที่นักท่องเที่ยวชอบไป ให้ทบทวนแผนการเรื่องความปลอดภัย และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
สถานทูตญี่ปุ่นส่งอีเมลเตือนพลเมืองในประเด็นเดียวกัน ให้ชาวญี่ปุ่นในไทยติดตามข้อมูลข่าวสารด้านความปลอดภัยจากสื่อท้องถิ่นและเว็บไซต์ Tabi-Reji ของรัฐบาลญี่ปุ่น ให้ระมัดระวังพื้นที่ที่อาจเป็นเป้าหมายการก่อการร้าย เช่น ศูนย์การค้า ศาสนสถาน ระบบขนส่งสาธารณะ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )