กฎแห่งความพยายามย้อนกลับ: ทำไมบางครั้งเราถึงล้มเหลวเมื่อพยายามมากเกินไป

Article knowledge

  • Author, ดาเลีย เวนทูรา
  • Position, บีบีซี นิวซ์ มุนโด

“เมื่อจินตนาการและความมุ่งมั่นขัดแย้งกัน เป็นปรปักษ์กัน จินตนาการจะชนะเสมอ โดยไม่มีข้อยกเว้น”

นี่คือวิธีที่นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศส เอมีล คูเอ อธิบายสิ่งที่ปัญญาชนและนักเขียน อัลดัส ฮักซ์ลีย์ เรียกว่ากฎแห่งความพยายามย้อนกลับ (Law of inverse effort)

หากวลีอันงดงามของ คูเอ ทำให้คุณสับสน ลองจินตนาการถึงหลุมทรายดูด มันมีพื้นผิวที่ดูแข็งแรง แต่เมื่อคุณเหยียบลงไป มันจะแยกออกกลายเป็นน้ำและทราย ทำให้ร่างกายของคุณจมลง และการจะขึ้นมาจากหลุมต้องใช้แรงมหาศาล

พวกเราส่วนใหญ่เคยเห็นเหตุการณ์นี้เฉพาะในภาพยนตร์หรือการ์ตูน เมื่อตัวละครถูกกลืนในขณะที่พยายามหลีกหนีความxายจากการจมน้ำและขาดอากาศหายใจในบ่อทราย

วิธีหลีกเลี่ยงการถูกหลุมทรายดูดกลืนไม่ใช่การใช้ความพยายามอย่างมาก แต่คือการหยุดดิ้นรนและนอนลงอย่างสงบเพื่อกระจายน้ำหนัก นี่จะทำให้แรงดันลดลง สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถคลานไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้

and proceed readingเรื่องแนะนำ

of เรื่องแนะนำ

นี่คือสิ่งที่คุณควรทำเมื่อนอนไม่หลับ หรือเมื่อรู้สึกอยากหัวเราะจนตัวสั่นในเวลาที่ไม่เหมาะสม หรือตอนที่นึกบางอย่างไม่ออก แทนที่จะบังคับตัวเองให้พยายามทำสิ่งที่คุณทำไม่ได้ ให้ผ่อนคลายและทำ (หรือคิดเกี่ยวกับ) สิ่งอื่นแทน

แม้ว่านี่อาจฟังดูขัดแย้ง แต่บางครั้งเราก็ล้มเหลวเพราะพยายามมากเกินไป

นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย รวมถึงไม่ได้หมายความว่าคุณควรมีมุมมองต่อชีวิตแบบไม่ต้องดิ้นรนนับจากนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นบางครั้งก็คือ ยิ่งคุณพยายามปรับปรุงบางสิ่งบางอย่างด้วยความมุ่งมั่น ผลลัพธ์ที่ได้กลับแย่ลง

นักเขียน ลีโอ ตอลสตอย ได้อธิบายแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือของเขาเรื่อง อันนา คาเรนินา (Anna Karenina) โดยบรรยายถึงช่วงเวลาที่เจ้าของที่ดิน คอนสแตนติน เลวิน พบกับความสมดุลในการเพาะปลูกที่ดินในการทำงานร่วมกับชาวนา “ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นในงานของเขาซึ่งทำให้เขามีความสุข ในระหว่างทำงาน มีบางครั้งที่เขาลืมว่ากำลังทำงานอยู่และทำให้ทำสิ่งนั้นได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย และในช่วงเวลานั้นเอง เขาก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่แพ้ไททัสเลย”

“แต่พอเขาจำได้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่และพยายามทำให้ดีขึ้น เขาก็รู้สึกถึงความกดดันของความพยายามและทุกอย่างกลับกลายเป็นแย่ลง”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

รูปปั้นของเหล่าจื๊อ ปรมาจารย์นักปรัชญาชาวจีนและบิดาแห่งลัทธิเต๋า

ลัทธิเต๋าเรียกสิ่งที่คล้ายคลึงกันนี้ว่า “อู๋เหว่ย” ซึ่งมีความหมายว่า “การกระทำที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม”

โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดนี้หมายถึงการที่เมื่อเราหยุดต่อสู้และเรียนรู้ที่จะรอและสังเกต เราจะเห็นได้ชัดขึ้นว่ามีแรงภายนอกที่เอาชนะเราอยู่ และบางครั้งเราต้องดำเนินไปตามกระแสภายนอกและเริ่มขยับในเวลาที่ถูกต้องและด้วยวิธีการที่ถูกต้องเพื่อไปถึงจุดหมายที่ต้องการ

เมื่อกระทำการโดยหุนหันพลันแล่น ทุก ๆ ก้าวอาจกลายเป็นความผิดพลาดได้ และอารมณ์และอัตตาอาจเข้ามาชี้นำการตัดสินใจมากกว่าการใช้เหตุผล

การจะทำหรือไม่ทำอะไร

ตามที่ อัลดัส ฮักซลีย์ ผู้ให้ชื่อกฎแห่งความพยายามย้อนกลับ ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่เรียนรู้ศิลปะแห่งการทำและการไม่ทำอันขัดแย้งในตัวเองเท่านั้นที่จะได้มาซึ่งความเชี่ยวชาญและผลลัพธ์”

ในการบรรยายที่รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1988 ในหัวข้อ “เราคือใคร” เขาได้กล่าวว่า “เราต้องผสมผสานการผ่อนคลายเข้ากับกิจกรรมที่เราทำ”

ฮักซ์ลีย์ ชี้แจงว่าสิ่งที่ต้องผ่อนคลายคือ “ตัวตนที่มีสติสัมปชัญญะ” ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น “เกาะเล็ก ๆ ท่ามกลางพื้นที่แห่งจิตสำนึกอันกว้างใหญ่”

“ตัวตนที่มีสติสัมปชัญญะ คือ ‘ตัวตน' ที่พยายามมากเกินไปและคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง”

อย่างไรก็ตาม มี ‘ตัวตน' ที่ลึกซึ้งกว่านั้น ซึ่งด้วยความรู้และทักษะจะทำให้เราเข้าถึงมันได้

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เมื่อกล่าวถึงตัวตนผิวเผิน ฮักซ์ลีย์กล่าวว่าเราต้องหลีกทางและปลดปล่อยตัวเองเพื่อให้แสงสว่างเข้ามาได้

ฮักซ์ลีย์อ้างถึงตัวอย่างที่เรียกว่า “สิ่งที่เคยเรียกว่าจิตวิญญาณแห่งพืช”

“มันเป็นสิ่งที่เราสืบทอดมา เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่บางอย่าง เช่น การย่อยอาหารและควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจเราโดยอัตโนมัติ”

เขายังอ้างถึงตัวตนภายในอีกประเภทหนึ่ง “ที่ทำงานในลักษณะที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสัญชาตญาณ” โดยตัวตนดังกล่าวรับผิดชอบต่อสิ่งที่ฮักซ์ลีย์เรียกว่า “การกระทำเฉพาะหน้าของสติปัญญา: การกระทำที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ชีววิทยา แต่กลับทำได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไม่ธรรมดาโดยที่จิตสำนึกไม่รู้เลยว่าทำได้อย่างไร”

เขายกตัวอย่างทารกที่เลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่ซึ่งเด็กทารกไม่เคยลองทำมาก่อน

เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทารกคนนั้น ๆ ที่มีบางสิ่งบางอย่างเข้ามาจัดระเบียบ “มวลกล้ามเนื้อทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทที่ซับซ้อนเพื่อดึงกล้ามเนื้อนั้นขึ้นและลง กล้ามเนื้อข้างหนึ่งคลายออก กล้ามเนื้ออีกข้างหนึ่งตึง เพื่อสร้างท่าทางสีหน้าแบบที่เด็กคนนั้นเห็นบนใบหน้าของผู้ใหญ่”

‘เป็นเรื่องลึกลับมาก'

ดังนั้น จึงยังมีตัวตนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา นอกเหนือจาก “ตัวตน” ที่ “ตอบสนองต่อชื่อของเรา ดำเนินการสิ่งต่าง ๆ และมีนิสัยแย่ ๆ ในการจินตนาการถึงตัวเองว่าเป็นหนึ่งเดียวในบางแง่มุม”

ดังนั้นเมื่อเราพยายามทำบางสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตัวตนผิวเผินจะเข้ามาบดบังพลังอื่น ๆ ทั้งหมดของตัวตนที่ลึกและกว้างกว่าของเรา

หากเราผ่อนคลาย เราจะปลดปล่อยให้ตัวตนต่าง ๆ ของเราเปล่งประกาย

“เราต้องเรียนรู้ศิลปะที่ขัดแย้งในตัวเองนี้เสมอ ในการผสมผสานความผ่อนคลายของตัวตนผิวเผินเข้ากับกิจกรรมของสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนที่เรามีติดตัวไป และในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีตัวตนอยู่”

ทั้งนี้ก็เพราะว่า “ในทุก ๆ ด้านของจิตและกาย เรามีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับกฎแห่งความพยายามย้อนกลับ นั่นคือยิ่งเราพยายามมากเท่าไร เราก็ยิ่งทำได้แย่ลงเท่านั้น”

สำหรับฮักซ์ลีย์ เป้าหมายของกิจกรรมทั้งหมดในชีวิต ตั้งแต่สิ่งทางกายภาพที่เรียบง่ายที่สุดไปจนถึงเรื่องทางปัญญาและจิตวิญญาณขั้นสูงสุด “คือการไม่ไปขัดขวางแสงของตัวเราเองไม่ให้สว่างขึ้น แต่ก็ต้องไม่ละทิ้งตัวตนที่มีสติสัมปชัญญะของเราไปด้วย”

“เราไม่สามารถนอนรอและหวังให้ทุกอย่างเกิดขึ้นได้” แต่ควรปล่อยให้ภูมิปัญญาของตัวตนที่ลึกซึ้งปรากฏออกมา และในเวลาเดียวกันก็ปล่อยให้ตัวตนที่มีสติ “จัดระเบียบมันในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเราและผู้อื่น”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ฮักซ์ลีย์เข้าใจดีว่าการที่ทารกเลียนแบบท่าทางต่าง ๆ ของผู้ใหญ่นั้นเป็นเรื่องลึกลับมาก

กฎแห่งความพยายามย้อนกลับ มีประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง ?

กฎแห่งความพยายามย้อนกลับนั้นมีค่ามากในช่วงเวลาที่คุณไม่สามารถหยุดการกระทำได้ แต่คุณก็ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ก้าวไปในทิศทางที่ต้องการ

สิ่งนี้อาจนำไปสู่วัฏจักรโหดร้ายที่คุณรู้สึกแย่เพราะรู้สึกว่าทำได้ไม่มากพอ และพยายามมากขึ้น เพื่อบังคับตัวเองให้ก้าวต่อไป

แต่นักจิตวิทยาเตือนว่าแรงกดดันดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มความเครียดและขัดขวางเส้นทางของเรา

ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลในการทำงานแสดงให้เห็นว่าเรามีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงในช่วง 4-5 ชั่วโมงแรกของการทำงานแต่ละวันเท่านั้น จากนั้นประสิทธิภาพการทำงานก็จะลดลงอย่างมาก จนถึงจุดที่ไม่มีความแตกต่างระหว่างการทำงาน 12 ชั่วโมงกับ 16 ชั่วโมง นอกจากความเหนื่อยล้าทางจิตใจและทางกาย

แต่ก็อย่าเข้าใจผิดด้วย กฎแห่งความพยายามย้อนกลับนั้นไม่ใช่การยอมแพ้ ความเฉื่อยชา ความเฉยเมย หรือการยอมรับผลลัพธ์ไร้คุณภาพ ตรงกันข้าม มันกระตุ้นให้เกิดการไตร่ตรองและกระตุ้นให้เราหยุด ประเมินสถานการณ์ และปรับใช้ทัศนคติที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

มันยังช่วยลดความเครียดในช่วงเวลาในชีวิตหรืออาชีพของคุณเมื่อดูเหมือนจะไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากแรงกดดัน

การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ หรือมัวแต่คิดถึงสิ่งแย่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่ช่วยเหมือนกัน แต่การให้ระยะห่างทางจิตใจและให้เวลาตัวเองได้หายใจเป็นสิ่งที่ช่วยได้

กฎดังกล่าวนี้เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์เมื่อคุณต้องเขียนความรู้สึกนึกคิดลงบนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่าโดยที่คุณไม่รู้ว่าจะเขียนออกมาอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียนมืออาชีพหรือไม่ก็ตาม

กฎนี้ยังนำมาใช้กับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลได้ด้วย เช่นบางครั้งยิ่งคุณพยายามใกล้ชิดกับใครคนใดคนหนึ่งมากขึ้น เขาก็ยิ่งห่างออกไปเท่านั้น แต่บางทีคุณอาจจะได้ผลลัพธ์ดีกว่าโดยการทำตามคำพูดที่ว่า หากคุณรักใครคนหนึ่ง คุณต้องปล่อยเขาไป และหากพวกเขากลับมา เขาก็จะยังเป็นคนของคุณเสมอ และหากเขาไม่กลับมา เขาก็ไม่ใช่คนของคุณตั้งแต่แรก