24 มี.ค. 2568 ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) เป็นการประชุมในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ประชาไทประมวลประเด็นนโยบายการต่างประเทศ ที่ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีกรณีการส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปให้ทางการจีน รวมถึงคำตอบที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกะทรวงต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
กัณวีร์ เปิดคลิปเสียงอุยกูร์ยืนยันไม่อยากกลับจีน สับนโยบายการต่างประเทศรัฐบาลอิ๊ง
กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายถึงนโยบายการต่างประเทศของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร โดยกล่าวว่า รัฐบาลนี้เคยบอกไว้ว่าจะดำเนินนโยบายรักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ, ดำเนินการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก และการสร้าง Soft Energy แต่สิ่งที่รัฐบาลนี้ทำคือ “ฟรีวีซ่านำเข้าจีนเทา ส่งออกผู้ลี้ภัย เป็นกลางกี่โมง”
“มาตรฐานสากลที่ท่านพยายามจะยึดมั่น กฎหมายระหว่างประเทศ-กฎหมายภายในที่ท่านพยายามจะยึดมั่น ท่านจะทราบดีว่าการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยมีทั้งหมด 3 ข้อ คือ การเดินทางกลับโดยสมัครใจ, อยู่ที่ประเทศลี้ภัย, ตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม แต่ท่านตัดสินใจให้ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศ แต่สมัครใจหรือไม่ อย่างไร”
“วันที่ 27 ก.พ. 2568 มันมีเป็นเส้นบางๆ ระหว่างสิ่งที่ท่านทำอยู่ครับ หมายถึงรัฐบาลชุดนนี้ การเดินทางกลับประเทศมาตุภูมิโดยสมัครใจ หรือการบังคับผลักดันกลับประเทศต้นทาง ที่เรียกว่า Forced Deportation”
เผยชาวอุยกูร์มีสัญชาติตุรกีแล้ว แต่ทำไมส่งกลับจีน
กัณวีร์กล่าวว่า ชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตที่ถูกส่งกลับจีนนั้นมีสัญชาติตุรกี แต่ทำไมสถานเอกอัครราชทูตจีนจึงเข้ามาเกี่ยวข้อง มีการพูดคุยกับสถานเอกอัครราชทูตตุรกีบ้างหรือไม่
“ในการที่จะตัดสินใจผลักดันคน 40 ชีวิต หลักฐานที่เป็นทางการบอกว่า (พวกเขา) เป็นคนสัญชาติตุรกีกลับไป ทำไมท่านจึงตัดสินใจคุยแต่รัฐบาลจีน ”
กัณวีร์ไล่เรียงไทม์ไลน์ที่เขาระบุว่าเป็น “73 วันแห่งการโกหก” นับตั้งแต่ เดือน ม.ค. ที่มีกระแสข่าวลือว่าจะมีการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน จนกระทั่งมีการส่งพวกเขากลับไปจีนในกลางดึกของคืนวันที่ 26 ก.พ. เรื่อยมาจนรัฐบาลมีการจัดทริปพาสื่อไปเยือนมณฑลซินเจียง และเยี่ยมชาวอุยกูร์
เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2568 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีหนังสือทางการทูต (Diplomatic Present off) ส่งมาให้รัฐบาลไทยผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ ว่าพร้อมที่จะรับคน “สัญชาติจีน” กลับประเทศจีน ทั้งๆ ที่ไทยมีหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนสัญชาติตุรกี
เปิดแช็ตอุยกูร์ เผยความผิดปกติช่วงก่อนส่งกลับ
ในระหว่างการอภิปราย กัณวีร์มีการนำรูปแช็ตในวอทซ์แอปมาเปิดเผย โดยระบุว่าเป็นแช็ตที่ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ส่งข้อความออกมา แช็ตดังกล่าวมีเนื้อความว่า สตม.มีการถ่ายรูปชาวอุยกูร์ในห้องกัก
“ซึ่งผมจะรับผิดชอบนะครับ ถ้าทุกคนถามว่าผมไปเอา (แช็ต) จากไหนมา ผมมีตัวตนคนที่ได้รับแช็ตนี้จริงๆ เราคุยกันได้ยังไงกับผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องกักของ สตม. แต่นี่คือความเป็นจริงครับท่านประธาน” กัณวีร์กล่าวถึงภาพแช็ตดังกล่าว
กัณวีร์กล่าวต่อไปว่า ต่อมาในวันที่ 10 ม.ค. เจ้าหน้าที่ของ ตม. ก็ถ่ายรูปผู้ต้องกักเพิ่ม และมีการเอาเอกสารบางอย่างมาให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เซ็นต์ แต่ไม่มีใครยอมเซนต์ ทำให้ชาวอุยกูร์ ประท้วงอดอาหาร โดยแช็ตในวอทซ์แอป ระบุว่า ชาวอุยกูร์กังวลถูกส่งกลับจีนจึงอดอาหารประท้วง จากนั้นก็มีจดหมาย SOS ของชาวอุยกูร์ที่ส่งไปถึงนักข่าวต่างประเทศเพื่อขอความช่วยเหลือ
12 ม.ค. ผู้ต้องกักอุยกูร์ส่งคลิปเสียงออกมาว่า ทาง สตม. แจ้งว่าจะไม่ส่งกลับ ทุกอย่างเป็นข่าวลือ และคลิปเสียงที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่อยากกลับจีน
15 ม.ค. มาร์โค รูบิโอ กล่าวในคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐอเมริกาก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่าไม่เห็นด้วยกับการผลักดันกลับ
17 ม.ค. กัณวีร์ออกมาโพสต์ทางเฟซบุ๊กว่า จะมีการพูดคุยเรื่องการส่งกลับ ต่อมา สมช. ก็มีคำสั่งส่งชาวอุยกูร์ให้จีน แต่ภูมิธรรมออกมาปฏิเสธว่าจะไม่มีการส่งกลับ
21 ม.ค. ทางยูเอ็นประกาศว่า มีความเป็นไปได้ว่าทางการไทยจะส่งชาวอุยกูร์กลับไปให้รัฐบาลจีน
22 ม.ค. โฆษก สตม. ยืนยันว่าไม่ได้รับคำสั่งเรื่องการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน
28 ม.ค. ชาวอุยกูร์หยุดอดอาหารประท้วง (รวม 19 วัน)
29 ม.ค. คณะกรรมาธิการกฏหมายฯ เรียกหน่วยงานราชการมาให้ข้อมูลเรื่องการส่งกลับชาวอุยกูร์ แต่ทางสมช. แจ้งในที่ประชุม กมธ.ว่าไม่มีมาตรการส่งกลับชาวอุยกูร์
30 ม.ค. รองนายกฯ ภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเกี่ยวกับการผลักดันกลับว่า “สิ่งสำคัญต้องทำตามกฏหมายระหว่างประเทศอย่างเข้มงวด และต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน แล้วข้อตกลงที่ว่าเราต้องไม่ส่งใครไปในพื้นที่อันตราย ตรงนี้ยังเป็นหลักของรัฐบาลไทยอยู่ขออย่ากังวล และยังพูดด้วยว่า “ส่งอุยกูร์กลับจีน กดดันไทยไม่ได้ ยึดปลอดภัย-สิทธิมนุษยชน
ต้นเดือน ก.พ. สตม. อนุญาตให้สถานทูตจีนเข้าพบ เพื่อทำหนังสือสมัครใจกลับประเทศ และ CI (Certificate of Identity)
6 ก.พ. นายกฯ แพทองธาร นำคณะเข้าพบ ปธน.สีจิ้นผิง โดยผู้ช่วย รมว.กต. แจ้งในที่ประชุม กมธ. ว่า “ท่านสีจิ้นผิงก็ได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดกับนายกฯ ด้วย”
20 ก.พ. มีการตรวจสุขภาพชาวอุยกูร์ในห้องกัก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะว่าพวกเขาก็อยู่มาตั้งนานแล้ว ทำให้มีแช็ตออกมาตลอดเวลาถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
26 ก.พ. เที่ยวบิน CSN5245 มาถึงสนามบินดอนเมือง โดยเครื่องบินมาลงตอน 5 ทุ่ม
27 ก.พ. เวลา 02.14 น. มีขบวนรถยนต์ขนผู้ต้องกักติดฟิล์มดำหลายคัน พร้อมรถนำขบวนเคลื่อนออกจากสถานที่กักตัวของ สตม. ด้วยความรีบเร่งก่อนขึ้นทางด่วนไป
28 ก.พ. นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่มีประเทศที่สามเสนอตัวมารับชาวอุยกูร์เลย ทางการจึนยืนยันว่าเป็นคนจีน ประเทศไทยต้องส่งกลับจีน นี่คือหลักการปฏิบัติปกติ ขณะที่ ภูมิธรรม แจ้งว่า แม้จะมีการเสนอให้ประเทศตะวันตกรับตัวไป แต่กลับถูกปฏิเสธ เนื่องจากคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง
2 มี.ค. รัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันอีกว่าไม่มีประเทศที่ 3 แจ้งขอรับชาวอุยกูร์ ส่วนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหายไปเลย ไม่ออกมาพูดอะไรทั้งสิ้น
4 มี.ค. กัณวีร์เปิดจดหมายข้อเรียกร้องถึงนายกฯของชาวอุยกูร์ ท่านมาบอกจดหมายผมปลอม เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ทั้งๆที่ถามว่าสมัครใจหรือไม่ แต่ไม่ตอบ จะเอาไปได้ว่าจดหมายผมปลอมไม่ปลอม ท่านผิดประเด็นไปมากมาย
6 มี.ค. ผช.รมช.กต.มาบอกว่า ขอบคุณประเทศที่มีคำขอมา แต่ไทยต้องชั่งน้ำหนักว่าจะทำคำมั่นของจีนในแง่ความสัมพันธ์ และผลกระทบชาวอุยกูร์ ยอมรับว่ามีประเทศแสดงความจำนงแต่เป็นหน้าที่เหล่านั้นไปเจรจากับจีนว่าจะช่วยเหลือไทย
16 มี.ค. ผช.รมต.กต. โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้ชื่อว่า “ทูตนอกแถว” โดยย้ำถึงการที่ไทยตัดสินใจส่งตัวชาวจีนอุยกูร์ 40 คนกลับจีนว่า เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของมนุษยธรรม และความถูกต้อง บนทางเลือกที่มีไม่มาก
18-20 มี.ค. รัฐบาลพาสื่อไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ 5 คนที่จีน
ถามหาหลักฐานความสมัครใจ
“ชีวิตพี่น้องชาวอุยกูร์กว่า 40 ชีวิตอาจจะดูเล็กน้อยสำหรับพวกท่าน แต่ครอบครัวพวกเขาที่ถูกแยกออกไปปี 2558 ยังรอคอยอยู่”
“ดีนะวันนี้ผมไม่มีคลิปของครอบครัวที่เขาบอกขอโทษรัฐบาลไทย ขอโทษคนไทยด้วยใจบริสุทธ์ เขาต้องหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ต้องลี้ภัยเข้ามาผ่านไทย เขาไม่ได้อยากมาหรอก แต่เขาอยู่ไม่ได้ เขาหนีการประหัตประหาร ทำไมไม่ฟังเขา หลักฐานสำคัญที่ท่านต้องเอามาแสดงให้ได้ คือหลักฐานของความสมัครใจของคน 40 ชีวิต ต้องเอาเสียงเขามาพูด อย่าทำละครคุณธรรมที่เอาเขากลับไปแล้ว แล้วไม่ให้เขาพูด”
กัณวีร์กล่าวถึงหลักฐานอีกหนึ่งอย่าง คือใบมรณบัตรของผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ 2 ชีวิต ที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าพวกเขาไม่อยากกลับประเทศต้นทาง โดยร่างของพวกเขาถูกฝังอยู่ในกุโบรในกรุงเทพฯ
“หลักฐานที่ผมจะโชว์มี 2 แผ่น ที่เรียกว่า ใบมรณบัตรของชาวอุยกูร์ 2 ชีวิต คือ ชาย 38 สัญชาติตุรกี สถานภาพสมรส เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2566 เวลา 18.00 น. กับ ชาย 40 ปี สัญชาติตุรกี สถานภาพไม่ระบุ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2566 สันนิษฐานว่าระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวและปอดอักเสบติดเชื้อ”
“การที่ท่านไปทำละครคุณธรรมต่างๆ นาๆ ว่าเขาอยากจะกลับบ้านของเขา มันไม่ได้ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้นในเวทีระหว่างประเทศ ท่านต้องโชว์หลักฐานว่าเขาสมัครใจกลัประเทศของเขา”
“นายกรัฐมนตรีและคณะที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันอุยกูร์ทำผิดมหันต์ พาประเทศชาติไปอยุ่หน้าผาของเวทีระหว่างประเทศ ที่พร้อมจะถูกลมพัดตกเหวตลอดเวลา ท่านเย้ยหยันกฏหมายระหว่างประเทศ ขนาดประเทศที่ท่านดีลไว้ เขายังลดความน่าเชื่อถือของไทย 40 คนเป็นเรื่องเล็กจริงๆ นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้เขียนด้วยมือลดด้วยเท่าสกปรกของพวกท่าน ท่านไม่รักษาจุดยืนไม่รักษาจุดยืนเรื่องไม่เป็นส่วนหนึ่งในความขัดแย้ง”
“การกระทำที่ท่านเตรียมการไว้อย่างเลืoดเย็น เปรียบเสมือนที่เราเรียกว่า อาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมที่เราเรียกว่า Organized Crime อาชญากรรมที่เราเตรียมความพร้อมไว้ก่อน เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หรือ Crime In opposition to Humanity”
ภูมิธรรมโต้ อุยกูร์มีสัญชาติจีน อัดกัณวีร์โกหกหลายเรื่อง
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงว่า จากที่ฟังสิ่งที่กัณวีร์พูดก็เข้าใจได้ว่ากัณวีร์คงไร้ประสบการณ์ ไม่เข้าใจเรื่องผลประโยชน์ของประเทศและความมั่นคงของชาติ จึงทำให้ใช้แต่จินตนาการไปเรื่อย
“ผมอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับชาวอุยกูร์ ปัญหาเรื่องชาวอุยกูร์เป็นปัญหาที่ตกค้างมานานมาก ซึ่งชาวอุยกูร์ที่เข้ามาติดเรื่องการเข้าประเทศผิดกฎหมาย โทษอย่างสูงก็ 2 ปี แต่รัฐบาลไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงได้ขังมากว่า 11 ปี ซึ่งการขังกว่า 11 ปีนั้น เป็นเรื่องที่ผิดหลักมนุษยธรรม แต่ปัญหาของประเทศไทย คือเราอยู่บนทาง 2 แพร่ง ล้วนแต่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสิ้น
รัฐบาลที่ผ่านมาจึงไม่กล้าตัดสินใจโดยแท้ แต่รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหา เพราะฉะนั้น หลายเรื่องที่นายกฯ สั่งการให้ผมไปดำเนินการ ก็บอกเลยว่า ถ้าแก้ได้ ให้รีบแก้ หาทางออกให้ได้ อย่าปล่อยให้รัฐบาลนี้ต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามา แล้วไม่ได้ทำอะไร อุยกูร์เป็นอีกหนึ่งเรื่อง อุยกูร์เป็นเรื่องที่เราต้องจัดการ เพราะเรามีกฎหมายทรมานอุ้มหาย เพราะฉะนั้น การที่เราขังเขาเกินกว่าโทษที่เขาควรจะได้รับ เพราะจริง ๆแล้วแค่ 2 ปีเท่านั้น สารภาพ และอาจจะเหลือ 1 ปี หรือครึ่งปี แต่เราขังเขามากกว่า 11 ปี ผมเศร้าใจว่า มีการพูดว่าทำไมไม่เก็บเขาไว้ในคุกแล้วไปต่อรองกับสหรัฐอเมริกา นี่เป็นคำพูดที่ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของคนเลย แต่เป็นคำพูดจากคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่อยู่ในพรรคของพวกท่านนี่แหละ ท่านอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า ท่านต้องมองให้เห็นความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปากพูดว่าเป็นมนุษย์ แต่วิธีการปฏิบัติ ไม่เคยคำนึงถึงอะไรเรื่องชาวอุยกูร์”
ภูมิธรรมกล่าวต่อไปว่า เรามีทางเลือกอยู่ 3 ทาง คือ
- ขังเขาต่อไปในห้องกัก ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ แม้ว่าต่อให้เราดูแลเขาอย่างดี แต่มันก็คือการกักขังที่ทรมาน
- ส่งไปประเทศที่สาม ซึ่งถ้าชาวอุยกูร์สำคัญจริในแง่สิทธิมนุษยชน ทำไมไม่มีใครขอเขากลับไป แม้กระทั่งองค์กรระหว่างประเทศ ก็ยังไม่ให้สถานะผู้ลี้ภัยกับเขา เห็นว่ามีแต่คนพูดว่ายินดีจะรับ แต่ไม่มีใครมีหนังสือมาจริงจัง ฉะนั้นการไปประเทศที่สามคือเรื่องเพ้อฝัน
- ส่งเขากลับไปที่ต้นทาง ซึ่งตนเองมีหลักฐานว่าทั้งหมด 40 คนเป็นคนจีน ที่กัณวีร์บอกว่าพวกเขาถือสัญชาติตุรกีคือเรื่องโกหก
ภูมิธรรมกล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องจดหมายชาวอุยกูร์ที่กัณวีร์เอามาเปิด เป็นจดหมายปลอม ตนเองมีหลักฐานแน่นอนว่าพวกเขาสมัครใจกลับ ถ้ากัณวีร์อยากทราบ สามารถเอามาเปิดให้ดูได้ต่อหน้าสื่อมวลชน
“เราไม่อยากพูดเยอะว่าเรารู้ว่าการส่งกลับเมืองจีน ในแง่สิทธิมนุษยชน มีคนเป็นห่วง เราบอกไปว่าถ้าส่งเขาไปแล้วเขาจะทุกข์ทรมาน เราไม่สมควรส่ง จึงเป็นที่มาของการดำเนินการหลายเรื่อง การที่เราขอจีนออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการของรัฐบาล ท่านคงไม่ได้จบการต่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศท่านไม่รู้หรอกว่าในวงการ จดหมายรับรองอย่างเป็นทางการ คือจดหมายสำคัญ ซึ่งจีนที่เป็นส่วนหนึ่งในสหประชาชาติ เขายืนยันและส่งหลักฐานนี้มาให้ หากท่านไม่รับ ก็อย่ามีความสัมพันธ์กับเขาเลย หากคิดว่าประเทศที่ท่านมีความสัมพันธ์ด้วย เป็นมหาอำนาจ พูดโดยเอาหนังสือยืนยันว่าตัวเองยืนยันว่าจะไม่ทำร้ายเขา และไม่ยอมรับท่านจะมีความสัมพันธ์กับเขาไปทำไม”
“นายกรัฐมนตรีไปคุยกับผู้นำจีน ผู้นำระดับสูงของเขาหลายคนได้พูดกับนายกรัฐมนตรีว่าเขาอยากแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และเขารับประกัน ไม่ต้องกังวล เขาจะทำดีที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดภัยอันตราย ไม่จับเข้าคุก เข้าตาราง ท่านฟังอย่างนี้ ท่านคิดว่าในฐานะ ถ้าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ไปคุยกับผู้นำระดับสูงของประเทศที่เป็นมหาอำนาจหนึ่ง ยืนยันแบบนี้ ท่านจะเชื่อฟังได้หรือไม่ แต่ผมเชื่อว่าท่านไม่รู้หรอก เพราะท่านไม่เคยเป็นรัฐบาล เคยเป็นแต่ฝ่ายค้าน”
ภูมิธรรมกล่าวด้วยว่า ตนเองและคณะก็เอาสื่อมวลชนไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ด้วย ใครก็ตามที่กล่าวหาว่าสื่อที่ควบคุมโดยรัฐบาล ก็ควรจะรู้ว่ามีสื่อทั้ง เนชั่น, ช่อง 3, มติชน, ไทยรัฐ ซึ่งบางเจ้าคนก็คงทราบกันดีว่ามีทัศนคติอย่างไรต่อรัฐบาล เราไม่ได้ปิดกั้นเลือกแต่สื่อที่เชียร์รัฐบาลไปอย่างเดียวแน่นอน
กัณวีร์โต้ เรื่องสัญชาติตุรกีเป็นข้อมูลจาก สตม.
ทางด้านกัณวีร์ ลุกขึ้นชี้แจงโดยใช้สิทธิพาดพิงว่า จากที่ภูมิธรรมบอกว่าตนโกหกว่าตนไปอ้างว่าผู้ลี้ภัยเป็นคนสัญชาติตุรกี ส่วนนี้ตนนำข้อมูลมาจาก สตม. ถ้าภูมิธรรมจะบอกว่าไม่จริง ต้องไปบอกกับ สตม.
ส่วนประเด็นที่ว่ามีประเทศที่สามจะรับอุยกูร์ กัณวีร์บอกว่า ข้อมูลส่วนนี้ตนก็เอามาจากข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศ
รมว.กต.แจงส่งกลับชาวอุยกูร์ เพื่อประเทศชาติ
มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า การตัดสินใจส่งกลับชาวอุยกูร์ เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และยืนยันอีกครั้งว่าคณะรัฐมนตรีตั้งใจแก้ไขปัญหาที่ประเทศไทยแบกรับภาระชาวอุยกูร์มา 11 ปี
มาริษ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศ และไม่ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องสิทธิมนุษยชน เพราะว่าจีนรับประกันความปลอดภัยโดยใช้เอกสารหนังสือทางการทูต และเชื่อว่าไทยสามารถใช้หลักฐานนี้แสดงต่อประชาคมโลกว่าการตัดสินใจของไทยรอบคอบ และเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเรื่อง ‘Non-refoulement’ (หลักการไม่ผลักดันบุคคลใดก็ตาม หากมีเหตุให้เชื่อว่าจะเผชิญอันตรายที่ประเทศต้นทาง)
“ในเรื่องของการที่รัฐบาลหลายประเทศได้มีปฏิกิริยาที่ไม่เห็นด้วยกับประเทศไทยในเรื่องนี้ เราตัดสินใจบนพื้นฐานของการแก้ไขปัญหาของประเทศซึ่งเป็นผลประโยชน์ และอย่างที่กราบเรียนว่าผมเองก็ฟังเสียงของประชาชน ก็ได้รับคำตอบรับว่าเขาเห็นด้วยที่เราพยายามแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติ คำนึงไว้ซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ และเคารพต่อหลักการด้านสิทธิมนุษยชน” มาริษ กล่าว
รมว.ยธ.ยืนยันชาวอุยกูร์สมัครใจ แต่ต้องขอเอกสาร สมช.
ด้านทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเป็นประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้สูญหาย ระบุว่าการส่งกลับชาวอุยกูร์ครั้งนี้ สืบเนื่องจากปัญหาที่ไทยควบคุมตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนในห้องกักมาเป็นเวลานานถึง 11 ปี และเคยโดนร้องเรียนเรื่องสภาพความเป็นอยู่ในห้องกักของ สตม. ทำให้มีการตั้งกรรมการซึ่งมีบุคคลภายนอก เช่น รณกรณ์ บุญมี และสมชาย หอมลออ เข้าไปตรวจสอบห้องกัก ตม. โดยได้ข้อสรุปว่าสภาพห้องกักย่ำแย่ และแออัด และก่อนหน้านี้มีชาวอุยกูร์เสียชีวิตในห้องกักถึง 3 ราย และเรื่องนี้ทำให้ไทยเข้าข่ายละเมิดมาตรา 6 พ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ ซึ่งเป็นกฎหมายในประเทศอีกด้วย
ดังนั้น กรรมการฯ ต้องหาทางออกโดยแบ่งเป็น 4 แนวทาง คือ 1. ส่งกลับจีนโดยความสมัครใจ 2. ส่งไปประเทศที่ 3 เช่นประเทศใหญ่ๆ 3. ส่งไปในประเทศคนกลาง และ 4. ขยายพื้นที่ห้องกักแห่งใหม่
ทวี กล่าวว่า สุดท้ายได้มีการนำเรื่องเข้าที่ประชุม สมช. ซึ่งในที่ประชุมมีอัยการสูงสุดเข้าร่วมประชุมด้วย และที่ประชุมมีมติตัดสินใจส่งกลับจีน และประเด็นสำคัญในการส่งกลับคือ ต้องสมัครใจ และได้รับการยินยอม โดยวิธีการคือเราให้คนที่เคยถูกส่งกลับไปแล้วก่อนหน้านี้ (แต่ไม่ได้ระบุว่าปีใด) ประมาณ 10 คน วิดีโอคอลล์มาคุยกับคนในห้องกัก และทราบภายหลังว่าทุกคนได้มีบันทึกสมัครใจและยินยอมกลับ ตามที่กัณวีร์ ต้องการทราบ
ทวี กล่าวต่อว่า เขาเคยขอทาง สมช.ว่าขอดูเอกสารได้หรือไม่ แต่ถูกปฏิเสธเนื่องจากเป็นเอกสารชั้นความลับของ สมช. และคนที่ถูกส่งกลับมีความหวาดกลัวที่จะเปิดเผยเอกสาร จึงแนะนำให้กัณวีร์ ทำเรื่องขอที่ สมช. โดยใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ก็จะได้ข้อมูลดังกล่าว
รมว.กระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่าการส่งกลับครั้งนี้เราคำนึงถึงมาตรา 13 ของพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ โดยยกความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดว่า การดำเนินการส่งกลับ เป็นการทำตามคำยืนยันจากบันทึกทางการทูตของจีน ซึ่งระบุว่าเมื่อชาวอุยกูร์กลับไปที่จีนแล้วจะไม่ถูกดำเนินคดีอื่นๆ จึงสามารถส่งกลับคืนครอบครัวได้ทันที นอกจากนี้ ไทยในฐานะผู้รับผิดชอบบริหารจัดการผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ตลอดระยะเวลา 10 ปีสามารถเดินทางไปจีน เพื่อตรวจสอบการดำเนินการติดตามบุคคลดังกล่าว จึงถือว่าคำมั่นสัญญาเป็นทางการที่ไม่ปรากฏบ่อยนักของประเทศมหาอำนาจ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )