การกลับมาปรากฏตัวต่อสาธารณะของ “แจ็ค หม่า” กำลังบอกอะไรกับโลก ?

ที่มาของภาพ : CCTV
- Author, ฌูเอา ดา ซิลวา
- Role, ผู้สื่อข่าวธุรกิจ
การประชุมระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และบรรดาผู้บริหารธุรกิจชั้นนำของประเทศในสัปดาห์นี้ ได้จุดประกายความตื่นเต้นและการคาดการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสื่อพบว่า “แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา อยู่ในงานดังกล่าวด้วย
แจ็ค หม่า บุคคลที่มีเสน่ห์โดดเด่นและเป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจของจีน หายไปจากการปรากฏตัวในที่สาธารณะหลังเขาวิพากษ์วิจารณ์ภาคการเงินของจีนในปี 2020
การกลับมาของเขาในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาจุดประกายการพูดคุยมากมาย โดยผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์กำลังจับตาดูว่าเรื่องนี้จะส่งสัญญาณอะไรต่อตัวแจ็ค หม่า ต่อภาคเทคโนโลยีในจีน และต่อเศรษฐกิจโดยรวม
จนถึงขณะนี้ เสียงตอบรับเป็นไปในเชิงบวกอย่างล้นหลาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งรวมถึงหุ้นอาลีบาบา ต่างพุ่งสูงขึ้นไม่นานหลังจากงานดังกล่าว
ต่อมาในวันพฤหัสบดี อาลีบาบาได้รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดนิวยอร์กปิดตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 8% และตั้งแต่ต้นปี ราคาหุ้นของอาลีบาบาพุ่งสูงขึ้นถึง 60% แล้ว
เรื่องแนะนำ
Stop of เรื่องแนะนำ
นักวิเคราะห์กำลังมองสถานการณ์อย่างไร เมื่อมีทั้งการปรากฏตัวของแจ็ค หม่า รวมถึงแขกระดับสูงคนอื่น ๆ เช่น เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek ในการประชุมที่นำโดยสี จิ้นผิง
แจ็ค หม่า “กลับคืนสู่สถานะเดิม” แล้วหรือไม่ ?
นักวิเคราะห์เริ่มค้นหาสัญญาณความหมายของการประชุมทันทีที่สื่อรัฐบาลจีนเริ่มปล่อยภาพถ่ายจากงาน
“การที่แจ็ค หม่าเข้าร่วม การที่เขานั่งแถวหน้า แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไร และการที่เขาจับมือกับประธานาธิบดีสี ต่างบ่งบอกชัดเจนว่าเขากลับมาได้รับการยอมรับอีกครั้ง” บิล บิชอป นักวิเคราะห์ด้านจีนกล่าว
ในโลกโซเชียล ผู้คนต่างตื่นเต้นกับการกลับมาสู่สายตาสาธารณะของแจ็ค หม่า
“ยินดีด้วย แจ็ค หม่า ที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย” ผู้ใช้แพลตฟอร์มเวยปั๋ว (Weibo) รายหนึ่งโพสต์
“การกลับมาของ แจ็ค หม่า เป็นแรงกระตุ้นสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนในปัจจุบัน” อีกความเห็นหนึ่งกล่าว
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่หลายคนจะให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวของแจ็ค หม่า
แจ็ค หม่า ถือเป็นตัวแทนความสำเร็จของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจีน ก่อนที่เขาจะหายหน้าจากสาธารณะในปี 2020 ภายหลังวิจารณ์สถาบันการเงินของรัฐในจีนว่ามี “ความคิดแบบโรงรับจำนำ (pawn-store mentality)”

ที่มาของภาพ : Reuters
ชายผู้เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษโดยไม่มีพื้นฐานด้านคอมพิวเตอร์ใด ๆ ร่วมก่อตั้งอาลีบาบาภายในอะพาร์ตเมนต์ของตนเมื่อกว่า 20 ปีก่อน หลังโน้มน้าวเพื่อน ๆ ให้ร่วมลงทุนในตลาดออนไลน์ที่เขาสร้างขึ้นได้
เขาสร้างอาลีบาบาให้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดของจีน และกลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ที่เขากล่าวพาดพิงถึง “ความคิดแบบโรงรับจำนำ” ในภาคธนาคารของจีน และบ่นถึง “การขาดนวัตกรรม” ในภาคการเงิน
เรื่องดังกล่าวนำไปสู่การยกเลิกการขายหุ้น IPO ของ Ant Community บริษัทฟินเทครายใหญ่ของเขา มูลค่า 34,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท)
นี่ถูกมองว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลจีนในการสยบบริษัทที่ทรงอิทธิพลเกินไป และผู้นำที่ปากกล้าเกินควร
นักวิเคราะห์เห็นพ้องกันว่าการที่แจ็ค หม่า กลับมาอยู่ในแสงไฟอีกครั้ง ในงานประชุมที่ประธานาธิบดีสีเป็นประธาน ถือเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับเขา
อย่างไรก็ดี มีบางส่วนเตือนว่า การที่เขาไม่ได้ขึ้นกล่าวบนเวทีอาจบ่งบอกว่าเขายังไม่ได้กลับคืนสู่สถานะที่สูงส่งเช่นเดิม
และการที่สื่อภายในจีนไม่ได้รายงานเรื่องนี้มากนัก อาจยืนยันว่าเขายังไม่ถูก “ยอมรับอย่างสมบูรณ์”
การกวาดล้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสิ้นสุดแล้วหรือไม่ ?
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวในที่ประชุมว่า บริษัททั้งหลายที่มาร่วมงานต้องคิดค้นนวัตกรรม เติบโต และมีความเชื่อมั่น แม้จีนจะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็นเพียงภาวะ “ชั่วคราว” และ “เกิดขึ้นเฉพาะจุด”
เขายังระบุว่า “นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับภาคเอกชนและผู้ประกอบการเอกชนในการแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่”
ข้อความดังกล่าวถูกตีความอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลกำลังบอกกับภาคเอกชนด้านเทคโนโลยีว่าพวกเขาได้รับการยอมรับอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่ แจ็ค หม่า สูญเสียสถานะ นั่นนับเป็นสัญญาณให้เห็นถึงการกวาดล้างครั้งใหญ่ต่อบริษัทเทคโนโลยีในจีน
บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับการบังคับใช้กฎหมายด้านความปลอดภัยข้อมูลและกฎการแข่งขันที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงการควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลที่สำคัญโดยรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอีกหลายแห่งในภาคเอกชน ตั้งแต่บริษัทด้านการศึกษาไปจนถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่โดนเล่นงานภายใต้นโยบาย “ความมั่งคั่งร่วมกัน” (abnormal prosperity) ซึ่งตั้งเป้าให้ประชาชนและพนักงานมีส่วนในการบริหารและกระจายรายได้ของบริษัทมากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้เจ้าของบริษัทที่เป็นมหาเศรษฐีกำหนดทิศทางเพียงฝ่ายเดียว
แต่เมื่อรัฐบาลจีนออกกฎระเบียบชุดใหม่ที่เข้มงวดในตอนนั้น หุ้นหลายบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ได้สูญเสียมูลค่าตลาดไปหลายพันล้านดอลลาร์ จนนักลงทุนทั่วโลกกังวล
ขณะเดียวกัน สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ลง ทั้งจากวิกฤตโควิด-19 และการที่รัสเซียบุกยูเครน ก็ทำให้เศรษฐกิจจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
การเติบโตชะลอลง โอกาสการจ้างงานสำหรับคนหนุ่มสาวน้อยลง และในภาวะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ผู้คนก็ไม่กล้าใช้จ่าย
เมื่อมีข่าวลือว่าแจ็ค หม่า จะเข้าร่วมประชุม ก็เกิดประกายความหวังขึ้น
ริชาร์ด วินด์เซอร์ ผู้อำนวยการด้านเทคโนโลยีของ Counterpoint Study กล่าวว่า “การเข้าร่วมงานของแจ็ค หม่า จะเป็นสัญญาณว่า ผู้นำจีนเบื่อหน่ายกับภาวะชะงักงัน และอาจพร้อมที่จะปล่อยให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนได้อย่างอิสระยิ่งขึ้น”
นอกจากแจ็ค หม่า และเหลียง เหวินเฟิง รายชื่อผู้เข้าร่วมยังมีบุคคลสำคัญจากบริษัทอื่น ๆ เช่น หัวเว่ย ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมและสมาร์ทโฟนรายใหญ่ และ BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายสำคัญ ตลอดจนผู้แทนจากภาคเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแขนงอื่น ๆ
“รายชื่อแขกสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของภาคอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีเอไอ และอีวี เพราะเป็นตัวแทนของนวัตกรรมและความสำเร็จ” ทีมวิเคราะห์ตลาดของ Citi ระบุในรายงาน
“รายชื่อเหล่านี้ บ่งชี้ถึงความสำคัญของเทคโนโลยี… และการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนต่อการพัฒนาและการเติบโตของเศรษฐกิจจีน”
ผู้ที่อยู่ในการประชุมก็ดูจะมีมุมมองเช่นนั้นด้วย เล่ย จุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเสียวหมี่ (Xiaomi) ยักษ์ใหญ่ด้านอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค บอกกับสื่อของรัฐบาลจีนว่า เขารับรู้ถึง “ความห่วงใยและการสนับสนุน” ของประธานาธิบดีสีต่อแวดวงธุรกิจ
ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ หรือไม่ ?
การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากจีนได้เผชิญกับเหตุการณ์ที่บางคนเรียกว่า “ช่วงเวลาสปุตนิก” คือการปรากฏตัวของ R1 โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ที่ DeepSeek พัฒนาขึ้นอย่างพลิกความคาดหมายเมื่อปลายเดือนที่แล้ว
ไม่นานหลังจากเปิดตัวเอไอดังกล่าว แชทบอทนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในแอปฯ ที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในโลก และจุดชนวนให้เกิดการเทขายหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีความกังวลว่าอเมริกาอาจสูญเสียความเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านนี้
ในจีน ความสำเร็จระดับโลกของแอปฯ ดังกล่าวได้ปลุกกระแสความภาคภูมิใจของชาติอย่างรวดเร็ว และส่งอานิสงส์มายังตลาดการเงิน โดยเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่หุ้นจีน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ที่จดทะเบียนในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่
โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารเพื่อการลงทุนยักษ์ใหญ่ ยังได้ปรับเพิ่มแนวโน้มต่อหุ้นจีน โดยระบุว่าการใช้เอไออย่างรวดเร็วอาจเพิ่มรายได้ให้บริษัทต่าง ๆ และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนได้ถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่มูลค่าที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับนวัตกรรมนี้คือ มันเป็นผลจากการที่ DeepSeek ถูกบังคับให้ต้องพัฒนาตนเองเพราะสหรัฐฯ ห้ามการส่งออกชิปและเทคโนโลยีขั้นสูงมายังจีน

ที่มาของภาพ : Xinhua
เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ชอบในการใช้นโยบายตั้งกำแพงภาษีการค้า หวนกลับคืนสู่อำนาจ ประธานาธิบดีสีอาจต้องปรับยุทธศาสตร์ต่อผู้ประกอบการจีนใหม่
แต่แทนที่จะเปิดทางให้กลับสู่ยุคเติบโตอย่างอิสระเหมือนเดิม บางคนมองว่าการประชุมเมื่อวันจันทร์สะท้อนความพยายามของรัฐบาลจีนในการชักจูงให้นักลงทุนและภาคธุรกิจมุ่งไปสู่เป้าหมายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
ประธานาธิบดีสีพูดถึงแนวคิดที่รัฐบาลเรียกว่า “การพัฒนาคุณภาพสูง” และ “พลังการผลิตใหม่” มากขึ้นเรื่อย ๆ
แนวคิดเหล่านี้ถูกใช้เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงจากแรงขับเคลื่อนการเติบโตแบบเดิม เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นสูง อย่างเซมิคอนดักเตอร์ พลังงานสะอาด และเอไอ
เป้าหมายคือการบรรลุ “ความทันสมัยแบบสังคมนิยม” ภายในปี 2035 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการผลิตขั้นสูงและพึ่งพาต่างชาติน้อยลง
ประธานาธิบดีสีรู้ดีว่า เพื่อจะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ เขาต้องการให้ภาคเอกชนให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
“การกลับมาของแจ็ค หม่า ไม่ได้หมายความว่าการตรวจสอบอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสิ้นสุดลง แต่แสดงให้เห็นว่าปักกิ่งกำลังเปลี่ยนจากการกวาดล้าง ไปสู่การ ‘ควบคุมให้เข้าร่วมอย่างเหมาะสม'” มารินา จาง รองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ กล่าวกับบีบีซี
“แม้ภาคเอกชนยังเป็นเสาหลักสำคัญต่อความมุ่งมั่นทางเศรษฐกิจของจีน แต่พวกเขาก็ต้องดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายระดับชาติ ซึ่งรวมถึงการพึ่งพาตนเองในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์”
ที่มา BBC.co.uk