คน Gen Z ติดนิสัยไถหน้าจอมือถือเสพข่าวร้ายจริงหรือไม่

Article data
- Writer, ฮันนาห์ วัลช์
- Role, ทีมข่าวสืบสวนของบีบีซีเซาธ์
พวกเราล้วนรู้สึกผิดกับการไถหน้าจอเสพข่าวร้าย ๆ ผ่านเนื้อหาแบบสั้น (short-have express)
ทว่าเรื่องนี้กำลังกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีในกลุ่มคน Gen Z หรือไม่
ฉันมักจะเสียเวลาไปกับการดูวิดีโอติ๊กตอกและรีลส์ในช่วงค่ำ ซึ่งอาจจะใช้เวลามากกว่าที่ฉันอยากยอมรับเสียอีก นั่นจึงเป็นที่มาที่ฉันต้องการค้นหาคำตอบว่า คนที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี จะเป็นเหมือนกันไหม
และพฤติกรรมเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการรับชมเนื้อหาแบบยาวเปลี่ยนไปอย่างไร

ฉันได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเบิร์นเมาธ์เพื่อพูดคุยกับนักศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกของพวกเขาต่อเนื้อหาแบบสั้นว่า มีบทบาทในชีวิตประจำของพวกเขาหรือไม่
เกรตา กัสตาฟส์ซันบอกฉันว่า มันมีผลต่อเธอจริง ๆ
“วิดีโอแบบสั้นกลายเป็นสิ่งทีทำให้เธอติดการไถหน้าจอแบบงอมแงม และทำให้เป็นเรื่องยากที่จะจัดการเวลาเพราะสิ่งนั้น รวมถึงมีผลต่อการลำดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำด้วย เพราะฉันยังติดอยู่กับการดูคอนเทนต์นั้นอยู่ มันเป็นการหลบหนี(จากสิ่งที่ต้องเผชิญ)” เธอกล่าว
“จากประสบการณ์ส่วนตัว ยกตัวอย่าง ในตอนที่นั่งอยู่ในระหว่างชั่วโมงเรียน คุณจะเห็นว่า ทุก ๆ จะหยิบมือถือขึ้นมาดูทุก ๆ 5-10 นาที”
“ฉันก็พยายามที่จะทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและพยายามที่จะควบคุมพฤติกรรมนั้นอย่างมีเหตุผลมากขึ้น”

ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ฉันได้นั่งพูดคุยกับ ดร.เอลวิรา โบลัต รองศาสตราจารย์ด้านการตลาดดิจิทัล เพื่อค้นหาคำตอบว่า คอนเทนต์ประเภทนี้มีผลกระทบต่อสมองของเราหรือไม่ หรือแค่เพียงเพราะมันทำให้เรารู้สึกสนุกสนาน
ยังอยู่กับฉันหรือเปล่า ?
ดร.โบลัตบอกว่า ” จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเรา คือ การที่สมองหลั่งสารโดปามีน”
“นี่เป็นลักษณะเหมือนระบบการให้รางวัลภายในสมอง ที่จะลงเอยด้วยความรู้สึกบันเทิงใจอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่า พวกเราต้องการความบันเทิงบ่อยครั้งขึ้นด้วย”
เธออธิบายต่อว่า “ดังนั้น สมองของเราจะถูกปรับให้เราต้องไถหน้าจอไปเรื่อย ๆ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เราเสียเวลาไปนั่นเอง”

มาที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ดร.คาเรน แมนส์ฟีลด์ นักวิจัยหลังปริญญาเอกจากสถาบันอินเทอร์เน็ตออกซ์ฟอร์ด (Oxford Recordsdata superhighway Institute) เห็นด้วยว่า เนื้อหาแบบสั้นสามารถส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่เธอบอกว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในเรื่องนี้เพื่อทำความเข้าใจว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
“พวกเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำอะไรเหมือนเดิมซ้ำ ๆ ดังนั้น หากว่า เราได้ทำบางอย่างค่อนข้างบ่อย แล้ว ก็มีแนวโน้มที่เราจะทำสิ่งนั้นต่อไป” เธออธิบาย
“สิ่งที่พวกเราต้องทำความเข้าใจคือ ประเภทของเนื้อหาแบบใดกันแน่ที่มีแนวโน้มจะทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ยอมวางโทรศัพท์ลงหรือควบคุมไม่ให้เกิดพฤติกรรมดังกล่าวยากขึ้น”
ขณะที่ แซค ทราเวสส์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเบิร์นเมาธ์ ที่ใช้เวลาว่างในการผลิตเนื้อหาที่พวกเราใช้เวลาในการชมหลายชั่วโมง
เขาค้นพบช่องทางสำหรับทำเนื้อหาเกี่ยวกับการอบขนมในช่วงการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ตอนนี้เขามีผู้ติดตามกว่า 300,000 คน ในทุกแพลตฟอร์มของเขา
แต่ว่า เขารักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเนื้อหาประเภทนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเขามองว่า นี่คือ งานของเขาด้วย
“ในฐานะคอนเทนต์ครีเอเตอร์ (ผู้สร้างเนื้อหา) ผมคิดว่า สิ่งสำคัญจริง ๆ สำหรับผมคือการหาความสมดุล” เขากล่าว
“ตราบเท่าที่สื่อสังคมออนไลน์ยังคงมีอยู่ ผลด้านบวกย่อมมีมากกว่าผลลบ แต่การทำโซเชียลมีเดียก็มีข้อเสียอยู่บ้าง”
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ยอมรับว่า บางครั้งสิ่งนี้ก็เข้ามารบกวนการใช้ชีวิต เช่นว่า หากว่าผมมีเวลาพักสั้น ๆ จากงานของมหาวิทยาลัย ผมก็จะไถดูติ๊กตอกจนลืมเวลาไปเลย”
ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ซามารา ซิวิเตอร์ นักเคลื่อนไหวด้านสุขภาพจิตวัยรุ่น บอกว่า ในระหว่างการสอบวัดความรู้เชิงวิชาการ เพื่อใช้ในการรับตรงเข้ามหาวิทยาลัย (A-level) กลุ่มวัยรุ่นยิ่งดูเหมือนจะใช้ความพยายามดิ้นรนในจัดการทุกสิ่งอย่าง และเมื่อมีคอนเทนต์ออนไลน์เข้ามา ก็ยิ่งจะทำให้ช่วงเวลานั้นยากลำบากมากขึ้น
“ในที่สุด สิ่งสำคัญคือการรักษาสมดุล”
“คุณต้องการให้สารโดปามีนออกฤทธิ์เพื่อความสุขสนุกสนาน แต่เมื่อคุณเล่นโซเชียลมีเดีย คุณจะเห็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ เหล่านี้ ใช้ชีวิตแบบนี้ และคุณก็กลับพยายามจะดำเนินชีวิตตามความคาดหวังนั้น”
วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวในตอนนี้ทำงานเต็มเวลาแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มนักเคลื่อนไหว Young Minds Activists
อย่างไรก็ตาม ซามาราบอกว่า มีหลายสิ่งที่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อช่วยกลุ่มวัยรุ่นเหล่านั้น เธอบอกว่า “ยิ่งสร้างชุมชนเชิงสังคมมากขึ้น ยิ่งมีสถานที่ที่ผู้คนสามารถเข้ามาทำงานร่วมกันก็ยิ่งดี เพราะสื่อสังคมออนไลน์ค่อนข้างเป็นพิษ
“ดีแค่ไหนก็แย่ได้ เราต้องการสถานที่ที่ไม่ส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นพิษแบบนั้น” เธอกล่าวย้ำ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ย้อนกลับไปที่มหาวิทยาลัยเบิร์นเมาธ์ ฮันนาห์ คลับลีย์ นักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้บอกว่า เธอไม่เห็นว่าเนื้อหาแบบสั้นเป็นอุปสรรคต่อการเรียนของเธอ “ฉันคิดว่า นี่เป็นเรื่องง่ายที่ดื่มด่ำไปกับคอนเทนต์นั้น ก็แค่คุณไถหน้าจอไปเรื่อย ๆ แล้วแบบว่า เวลาหายไปไหนหมด”
“แต่สำหรับฉัน ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นคนมีระเบียบวินัยอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นคนที่ติดกับเรื่องนั้น”
“บางครั้งฉันก็แบบว่า ‘โอ้ ฉันจะมีเวลาเลื่อนเพิ่มอีกห้านาที' แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบใหญ่หลวงอะไรกับการที่ฉันเสียเวลาไปหลายชั่วโมง”
จากการพูดคุยข้างตน ทำให้ดูเหมือนว่า มีหลายเหตุผลที่ทำให้เกิดการไถหน้าจอเพื่อเสพข้อมูลเหล่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นนิสัยที่ไม่ดี ต้องการผลจากสารโดปามีนหรือสารแห่งความสุข การหลีกหนีจากความน่าเบื่อ หรือเพราะต้องการมีความสุขง่าย ๆ ด้วยการดูคอนเทนต์ พฤติกรรมนี้ยังดูเหมือนจะยังคงอยู่ต่อไป
ดร. คาแรน แมนส์ฟีลด์ ก็เห็นด้วย
เมื่อฉันถามเธอเกี่ยวกับคำว่า “Brain Rot” หรือ “สมองเน่า” จากการบริโภคเนื้อหาแบบสั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เธอตอบว่า “ไม่จริง”
สำหรับคำว่า สมองเน่า ถือเป็นศัพท์ที่ได้รับความนิยม ใช้อธิบายสิ่งที่ผู้คนคิดว่ามีผลกระทบด้านลบจากสื่อสังคมออนไลน์ต่อคนรุ่นใหม่
“แต่ในความจริงแล้ว ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า การบริโภคเนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์โดยทั่วไปมีผลด้านลบต่อสมองของเรา”
ที่มา BBC.co.uk