“ครอบครัวคือจุดที่ทำให้เราเข้มแข็ง” ฟังเสียง LGBTQ ที่มีครอบครัวเป็นพลัง

ที่มาของภาพ : BBC Thai/ Panisa Aemocha
กฎหมายสมรสเท่าเทียมถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ม.ค. ที่ผ่านมา ในวันดังกล่าวมีคู่รักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสรวมกันทั่วประเทศ 2,799 คู่ และเฉพาะในกรุงเทพฯ มีถึง 661 คู่ นี่นับเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของการบังคับใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย
ในงาน “สมรสเท่าเทียม” ที่จัดขึ้นที่สยามพารากอน เมื่อวานนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ส่งวีดีโอพูดคุยแสดงความยินดีกับคู่รักมา โดยเธอได้ขอบคุณผู้มีส่วนร่วมทุกคนที่ร่วมผลักดันกฎหมายฉบับนี้จนสำเร็จ รวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ “ต่อสู้กับอคติ” และทำให้สังคมไทย “ยอมรับความหลากหลายทางเพศด้วยหัวใจได้อย่างแท้จริง”
ในงานดังกล่าว ไม่ได้มีเพียงคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศเท่านั้นที่เดินทางมาร่วมเฉลิมฉลอง แต่ยังมีครอบครัวและเพื่อน ๆ ของพวกเขาและเธอที่ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่ที่จดทะเบียนสมรสในงานดังกล่าวด้วย
.พูดคุยกับคู่รักหลายคู่ถึงความรู้สึกและเหตุผล ว่าทำไมการถูกยอมรับจากคนในครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงเปิดใจผู้มีความหลากหลายทางเพศที่เคยถูกเลือกปฎิบัติจากคนในครอบครัว
“ครอบครัวคือจุดที่ทำให้เราเข้มแข็ง”
ในงานสมรสเท่าเทียมที่สยามพารากอนดังกล่าว มีคู่รัก 185 คู่ เข้ามาจดทะเบียนสมรส หนึ่งในนั้นคือ พาวรรณ เอี่ยมเวช หญิงรักหญิงวัย 35 ปี ที่ได้ตัดสินใจมาจดทะเบียนแต่งงานกับแฟนสาว กมลชนก ชุ่มเรือน ที่อายุมากกว่าเธอ 2 ปี โดยคุณพ่อของพาวรรณและคุณแม่ของทั้งสองคนได้เดินทางมาเป็นสักขีพยานในพิธีแห่งความรักครั้งนี้ด้วย
พาวรรณ และ กมลชนก คบหากันมาเป็นเวลากว่า 8 ปี โดยทั้งสองไม่ได้ปิดบังตัวตนกับครอบครัว ซึ่งอาจแตกต่างกับคู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศบางคู่ที่ต้องระมัดระวังในการคบหากันเพราะครอบครัวไม่ได้ยอมรับในเรื่องดังกล่าว ทั้งสองมีความยินดีเป็นอย่างมากเมื่อวันที่พวกเขาสามารถจดทะเบียนสมรสได้มาถึง โดยทั้งสองต้องผ่านความท้าทายมากมายกว่าจะมาถึงวันนี้ แต่สิ่งที่ทำให้พาวรรณมั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ คือแรงสนับสนุนที่ได้รับจากครอบครัว
“ครอบครัวคือจุดที่ทำให้เราเข้มแข็ง สามารถทำให้เราผ่านความยากลำบากจากสังคมข้างนอกไปได้ ทุกอย่างทุกปัญหาเราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว” พาวรรณ กล่าว
ในขณะเดียวกัน สุวิพจน์ เอี่ยมเวช พ่อของพาวรรณในวัย 65 ปี ก็ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรสของลูกด้วย เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าลูกจะมีเพศสภาพอย่างไร พาวรรณก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
“ความสุขของพ่อแม่ คือความสุขของลูก ดังนั้นถ้าลูกคิดว่าแนวทางไหนมีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้ได้เดินตามทางนั้น ไม่ขัดขวาง” สุวิพจน์ บอกกับ.

ที่มาของภาพ : Reuters
คุณแม่ของ กมลชนก เองก็ได้มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่รักด้วยรอยยิ้ม แม้เธอจะมีท่าทีเขินอายและยอมรับว่าตัวเองพูดไม่เก่งนัก แต่ก็ได้อธิบายถึงความสุขของคนเป็นแม่เมื่อลูกสาวได้แต่งงานกับคนที่รัก
“มันไม่จำเป็นหรอกว่าต้องเป็นผู้ชายหรืออะไร ขอแค่รักกันแม่ก็มีความสุขแล้ว” แม่ของกมลชนกกล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้มีความหลายหลายทางเพศทุกคนที่จะได้รับการยอมรับเช่นนี้จากคนในครอบครัว
“การเป็นตัวเราเป็นเรื่องที่ผิดบาปและแย่ขนาดนั้นเลยหรอ”
ณัฐินีฐิติ ภิญญาปิญชาน์ ผู้ก่อตั้งทรานส์ทาเลนท์ บริษัทที่ปรึกษาด้านการสร้างสถานที่ทำงานที่มีความเป็นมิตรต่อกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือหนึ่งในผู้หญิงข้ามเพศที่มีประสบการณ์การไม่ถูกยอมรับเรื่องเพศลักษณะจากคนในครอบครัว ซึ่งเธอยังจำเรื่องราวได้ดีจนถึงทุกวันนี้
เธอเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเด็กให้.ฟังว่า ครูที่โรงเรียนเรียกผู้ปกครองของเธอเข้าไปพบ และรายงานกับพวกเขาว่าเธอมี “พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ” ซึ่งทำให้ครอบครัวยอมรับไม่ได้ และมีความคิดอยากที่จะเปลี่ยน ณัฐินีฐิติ ให้เป็นผู้ชาย จึงส่งเธอให้เข้าศึกษาที่โรงเรียนนายร้อย
“จริง ๆ ก็คือโรงเรียนดัดสันดานนั่นแหละ ก็ถูกส่งไป และเราก็รู้สึกว่าการเป็นตัวเราเป็นเรื่องที่ผิดบาปและแย่ขนาดนั้นเลยหรอ ทำไมเขา (ครอบครัว) ต้องอยากเปลี่ยนสิ่งที่เป็นเรา” เธอกล่าว
ณัฐินีฐิติ กล่าวด้วยว่าการถูกส่งไปโรงเรียนนายร้อยทำให้เธอทรมานเป็นอย่างมาก ทั้งทางร่างกายที่ต้องถูกฝึกฝนความแข็งแรง รวมถึงทางด้านจิตใจที่เธอไม่ค่อยมีเพื่อนเข้าหาเพราะเธอไม่เข้าพวก รวมถึงการถูกทำร้ายทางวาจาจากพ่อและแม่ซึ่งเปรียบเสมือน “แผลในใจ” ของเธอ การเข้าไม่ได้กับเพื่อนที่โรงเรียนและการที่ครอบครัวไม่มีความเข้าใจในเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของเธอทำให้ณัฐินีฐิติไม่รู้สึกเข้าพวกกับสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลย
“เราไม่รู้จะเข้ากลุ่มผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้ชายก็เตะบอล ผู้หญิงเล่นพ่อแม่ลูก เราก็รู้สึกไม่ใช่ที่ของเราอีก เราจะเล่นเป็นพ่อหรือแม่ละ ไม่มีความรู้สึกว่าเราเข้ากลุ่มไหนได้เลย ครอบครัวก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้” เธอกล่าว
ผศ.ดร.ปุรินทร์ นาคสิงห์ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นต่อเรื่องดังกล่าวกับ.ว่า คนในบางรุ่นอาจจะยอมรับเรื่องความหลากหลายทางเพศได้น้อยกว่าคนรุ่นหลัง ซึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ถูกสั่งสมมา เช่น การมองเรื่องเพศตามขนบธรรมเนียมว่ามีเพียงชายและหญิง เพื่อสร้างครอบครัว หรือการต้องมีทายาทเพื่อสืบสกุล ดังนั้นหากสมาชิกในครอบครัวมีความเชื่อข้างต้นก็อาจส่งผลกระทบกับสมาชิกครอบครัวที่มีความหลากหลายทางเพศ
“คนกลุ่มหนึ่งจากบางยุคสมัยอาจจะยอมรับในเรื่องความหลากหลายทางเพศได้ยากกว่าคนรุ่นต่อ ๆ มา อาจจะเป็นปู่หรือย่าของเราซึ่งมีผลต่อความสัมพันธ์ ต่อการแสดงออกของผู้มีความหลากหลายทางเพศไม่มากก็น้อย”

ที่มาของภาพ : ณัฐินีฐิติ ภิญญาปิญชาน์
“ครอบครัว” การยอมรับที่เริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุด
สิ่งที่ ณัฐินีฐิติ คิดว่าสำคัญหากเมืองไทยอยากเป็นสวรรค์ให้กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ คือการเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดหน่วยหนึ่ง นั่นคือ “ครอบครัว” เธอเชื่อว่าครอบครัวควรมีความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านการศึกษาหรือสื่อ ซึ่งสำหรับเธอสื่อถือเป็นสิ่งหลักที่จะส่งอิทธิพลในการตัดสินใจเรื่องคุณค่าและค่านิยมต่อสังคม
“สื่อเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดรูปลักษณ์หรือค่านิยมของสังคม จรรยาบรรณและจริยธรรมของสื่อ และสถาบันการศึกษาควรที่จะช่วยกันสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยเล็ก ๆ คือครอบครัว ต้องทำงานและบูรณาการกันทุกภาคส่วน” เธอกล่าว
ด้าน ผศ.ดร.ปุรินทร์ เปรียบเทียบกรณีสมรสเท่าเทียมและการยอมรับของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศของประเทศไทยกับไต้หวัน ซึ่งได้ประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมมาตั้งแต่ปี 2019 ว่า แม้ไต้หวันประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวแล้ว แต่หากสังคมโดยเฉพาะครอบครัวยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ก็อาจเกิดปัญหาตามมาได้เช่นเดียวกัน
“ไต้หวันซึ่งมีสมรสเท่าเทียม แต่พอจดทะเบียนได้ไม่นานบางคู่มีการหย่าร้างกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะครอบครัวไม่ยอมรับ”
นักวิชาการจาก ม.เกษตรศาสตร์ ยังระบุด้วยว่า ในสมัยก่อนความหลากหลายทางเพศไม่ว่าจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นความเบี่ยงเบนทางเพศ แต่ปัจจุบันสังคมพยายามชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือรสนิยม และไม่ได้ถูกมองว่าเป็นความเบี่ยงเบน ซึ่งเด็กก็จะถูกปลูกฝังมาเช่นนี้ ทำให้สามารถเกิดการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้นในอนาคต
คุณแม่ของ กมลชนก ได้กล่าวถึงการยอมรับที่เธอมีต่อความหลากหลายทางเพศของลูกไว้เช่นกันว่า
“ความรักไม่จำเป็นต้องเป็นต่างเพศ ไม่ว่าใครก็สามารถรักกันได้ เพราะความรักเป็นสิ่งงดงาม ขอให้มีความสุข รักและเข้าใจกัน แค่นี้คนรอบข้างก็มีความสุขแล้วค่ะ”
ที่มา BBC.co.uk