คอลลาเจนบำรุงผิวให้สวยเด้งเนียนใสได้จริง หรือแค่กลลวงการตลาด ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos
- Author, คริสทีน โร
- Aim, บีบีซี ฟิวเจอร์
คอลลาเจน (collagen) คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่กำลังได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก ในฐานะตัวช่วยเสริมความงามให้ผิวพรรณและบำรุงสุขภาพของข้อต่อ แต่ปัจจุบันมีการโหมกระหน่ำโฆษณาอวดอ้างเกินจริงถึงสรรพคุณของคอลลาเจน จนดูเหมือนกับว่ามันสามารถรักษาได้ทุกโรค ตั้งแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าไปจนถึงโรคนอนไม่หลับเลยทีเดียว
คอลลาเจนคือโปรตีนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างผิวหนัง และเป็นโปรตีนชนิดที่มีอยู่มากที่สุดในร่างกายของคนเรา ตามปกติแล้วอัตราการผลิตคอลลาเจนจะลดลงไปตามวัยเมื่อแก่ตัวลง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะพยายามปกป้องผิวจากแสงแดดมาก่อนในวัยหนุ่มสาวหรือไม่ก็ตาม
เพื่อชดเชยปริมาณคอลลาเจนที่ขาดหายไป ผู้คนหันมานิยมกินคอลลาเจนในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกันมากขึ้น จนอุตสาหกรรมการผลิตคอลลาเจนยี่ห้อต่าง ๆ เฟื่องฟูถึงขีดสุดและทำเงินได้มหาศาล ตัวอย่างของคนรักคอลลาเจนที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือนายไบรอัน จอห์นสัน นักธุรกิจด้านเทคโนโลยีที่เคยทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อทำการทดลองย้อนวัยให้กับตัวเอง โดยเขาบอกว่ากินคอลลาเจนเปปไทด์เป็นประจำถึงวันละ 25 กรัม
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม แวดวงวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่เข้าใจเรื่องสรรพคุณ ผลข้างเคียง และกลไกการทำงานของคอลลาเจนในร่างกายมากนัก แม้จะมีหลักฐานบางส่วนชี้ว่า การกินคอลลาเจนอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพในบางเรื่อง แต่หลักฐานสนับสนุนจากการวิจัยในส่วนนี้ก็ยังมีอยู่น้อยมาก ทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงที่จะต้องเสียเงินซื้อของแพงไปโดยเปล่าประโยชน์
ทำไมข้อมูลเรื่องคอลลาเจนมักชวนงุนงงสับสน
“คอลลาเจนมีอยู่ในเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของสัตว์เท่านั้น” แอนเดรีย โซอาเรส นักกำหนดอาหารที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้การบำบัดรักษาทางโภชนาการ (RD) ในรัฐจอร์เจียของสหรัฐฯ กล่าวถึงความรู้พื้นฐานอันดับแรกที่ผู้บริโภคควรทราบเกี่ยวกับคอลลาเจน
เรื่องแนะนำ
โซอาเรสซึ่งทำงานกับบริษัท High Nutrition Coaching Community ผู้จัดหานักกำหนดอาหารในท้องถิ่นเพื่อให้คำปรึกษากับชาวอเมริกันทั่วไป ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนอาจสกัดมาจากเนื้อเยื่อของสัตว์หลายชนิด ทั้งวัว, หมู, ไก่, หรือปลา ส่วนเจลาติน (gelatine) ซึ่งนิยมนำมาทำขนมหวานจำพวกวุ้นหรือเยลลี รวมทั้งเปลือกแคปซูลบรรจุยา ก็เป็นคอลลาเจนในรูปแบบหนึ่งด้วยเช่นกัน
“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทำจากพืชบางยี่ห้อ อ้างว่าสินค้าของตนเป็นคอลลาเจนสำหรับชาววีแกนหรือคนกินมังสวิรัติ แต่อันที่จริงแล้วไม่ได้มีคอลลาเจนผสมอยู่เลย ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จำพวกนี้ มักเป็นแค่สารกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกาย อย่างเช่นวิตามินซี, กรดอะมิโน, และแร่ธาตุบางชนิด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องพึ่งพาความสามารถในการผลิตคอลลาเจนของตัวเอง ดังนั้นชาววีแกนที่อยากเพิ่มคอลลาเจนในร่างกายจริง ๆ ควรลงทุนซื้ออาหารคุณภาพมากินอย่างหลากหลายครบทุกหมู่ ดีกว่าจะเสียเงินซื้อคอลลาเจนปลอมที่ทำจากพืช ซึ่งไม่มีคอลลาเจนอยู่จริง”
คอลลาเจนต่างชนิดมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันออกไป คอลลาเจนชนิดละลายน้ำได้ง่าย (collagen hydrolysate) จะสลายตัวเป็นกรดอะมิโนสายสั้นลงที่เรียกว่าเปปไทด์ (peptide) และจะยิ่งแตกตัวจนมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ เมื่อเคลื่อนผ่านระบบย่อยและทางเดินอาหารชั้นที่ลึกลงไป
ส่วนคอลลาเจนดิบหรือคอลลาเจนประเภทที่สองที่ไม่ผ่านการแปรรูป (undenatured kind II collagen) เป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อนที่หุ้มข้อต่อของสัตว์ ซึ่งเดวิด ฮันเตอร์ นักวิจัยทางคลินิกด้านวิทยารูมาติก (rheumatology) จากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ของออสเตรเลียบอกว่า ในทางทฤษฎีแล้วคอลลาเจนชนิดนี้อาจนำมากินทดแทนส่วนที่ขาดหายไปจากข้อต่อของคนเราได้ โดยคอลลาเจนประเภทที่สองจะสลายตัวเป็นกรดอะมิโนในทางเดินอาหารเช่นกัน แต่คอลลาเจนชนิดที่ละลายน้ำได้ง่าย จะถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้ดีกว่า

ที่มาของภาพ : Getty Photos
คอลลาเจนยังถูกผลิตเป็นสินค้าในหลายรูปแบบ มีทั้งชนิดที่เป็นเครื่องดื่มหรือของกินแบบอัดแท่ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคอลลาเจนชนิดผงและชนิดที่เป็นของเหลวแล้ว “คอลลาเจนแบบอัดเม็ดหรือที่เป็นเยลลีเคี้ยวหนึบ (กัมมี) มักจะมีปริมาณคอลลาเจนต่อเม็ดหรือต่อชิ้นอยู่น้อยกว่า แถมยังมีการเติมน้ำตาลหรือใส่สารเติมเต็มลงไปด้วย” โซอาเรสกล่าว
โซอาเรสยังแนะนำว่า แม้การกินอาหารโปรตีนสูงควบคู่กับวิตามินซี จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นได้ แต่ปริมาณคอลลาเจนในอาหารที่ผู้คนนิยมกินเพื่อการนี้ อย่างเช่นน้ำซุปจากการเคี่ยวกระดูก (bone broth) ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีคอลลาเจนอยู่มากน้อยเพียงใด ดังนั้นจะเป็นการดีกว่า หากเลือกกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบผงหรือของเหลว ที่มีปริมาณคอลลาเจนอยู่อย่างน้อย 5-10 กรัมต่อโดส
อย่างไรก็ตาม คำโฆษณาอวดอ้างของผลิตภัณฑ์คอลลาเจนส่วนใหญ่มักจะเกินจริง และถูกจับผิดได้อยู่เสมอหากมีการตรวจสอบ โดยภายในสหภาพยุโรป (อียู) นั้น “ไม่มีคำอวดอ้างสรรพคุณด้านการเสริมสุขภาพของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนยี่ห้อใด ที่ผ่านการรับรองหรือได้รับอนุญาตจากทางการให้เผยแพร่ออกไปได้เลย” เหล็ง เหิง เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายวิทยาศาสตร์เพื่อโภชนาการของมนุษย์ ในสังกัดองค์กรความปลอดภัยทางอาหารแห่งยุโรป (EFSA) กล่าว
EFSA เป็นองค์กรซึ่งทำหน้าที่ประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับอันตรายจากอาหารชนิดใหม่ ๆ เมื่อองค์กรนี้ลงมือตรวจสอบผลิตภัณฑ์คอลลาเจน พวกเขาพบว่าคำอวดอ้างสรรพคุณเหล่านั้น ไม่มีข้อมูลหลักฐานจากการวิจัยคุณภาพสูงมาสนับสนุนอย่างเพียงพอ
“ถ้อยคำโฆษณาที่ว่าขาดการนิยามจำกัดขอบเขตที่ชัดเจน และอ้างอิงหลักฐานจากการทดลองในสัตว์หรือในห้องปฏิบัติการเท่านั้น โดยยังไม่มีการทดลองในมนุษย์แต่อย่างใด เราไม่อาจใช้หลักฐานเท่าที่มีอยู่ มาคาดเดาถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้” เหิงกล่าวอธิบาย เธอยังชี้ว่าการอวดอ้างสรรพคุณของคอลลาเจน ในการช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวหนังและส่งเสริมการทำงานของข้อต่อ ยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์จากกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างเพียงพอเลย
ฮันเตอร์ยังกล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า อคติและความลำเอียงจากอุตสาหกรรมผลิตคอลลาเจน ยังอาจเป็นตัวขับเคลื่อนให้มีการตีพิมพ์รายงานวิจัยที่สนับสนุนข้อดีของคอลลาเจนในวารสารวิชาการมากขึ้น งานวิจัยหลายชิ้นได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยไม่มีการเปิดเผยถึงผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้วิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่นงานวิจัยหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารของสำนักพิมพ์ Elsevier สมาชิกทีมวิจัย 5 ใน 7 คน ระบุว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแห่งหนึ่ง แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอื่นใดเพิ่มเติมในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอีก (บีบีซีได้สอบถามไปยังสำนักพิมพ์ Elsevier ซึ่งตอบกลับมาว่ากำลังดำเนินการสอบสวนทีมผู้เขียนรายงานวิจัยนี้อยู่)

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ฮันเตอร์กล่าวสรุปในประเด็นนี้ว่า “ในความเป็นจริงแล้ว ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่างานวิจัยเหล่านี้เป็นอิสระจากอุตสาหกรรมผลิตคอลลาเจนได้อย่างสิ้นสงสัย การสนับสนุนจากภาคธุรกิจยิ่งส่งเสริมให้มีงานวิจัยคุณภาพต่ำออกมามากขึ้น ซึ่งจะไปส่งเสริมให้มีการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปริมาณที่สูงขึ้น จนเกินกว่าระดับที่หน่วยงานสุขภาพของทางการแนะนำ”
ความต้องการบริโภคคอลลาเจนที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยแรงผลักดันทางการตลาดนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการควบคุมโรคระบาดด้วย หลังมีรายงานว่าความต้องการบริโภคคอลลาเจนจากข้อต่อของวัว เป็นสาเหตุหนึ่งที่เร่งให้มีการตัดไม้ทำลายป่าในบราซิลเพื่อเพิ่มพื้นที่เลี้ยงปศุสัตว์
ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) มอบหมายให้มีการวิจัยเพื่อหาคำตอบว่า การบริโภคคอลลาเจนและเจลาตินจากวัวที่แพร่หลายมากขึ้น อาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของเชื้อพรีออน (prion) โปรตีนผิดรูปที่ทำให้เกิดโรควัวบ้าและโรคสมองฝ่อในคนได้หรือไม่นั้น ผลการประเมินของ EFSA พบว่ามีความเสี่ยงต่ำหรืออาจไม่มีความเสี่ยงเลย
คอลลาเจนสำหรับผิว เนื้อเยื่อ และข้อต่อ
แพทย์หญิงอัญชลี มาห์โท ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังในกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีเมื่อปี 2019 ว่า “มีข้อพิสูจน์ที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนอยู่น้อยมาก ในเรื่องที่ว่าโมเลกุลคอลลาเจนสามารถรอดพ้นจากการย่อยในระบบทางเดินอาหาร จนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเ-ือด และเดินทางไปถึงชั้นผิวหนังได้สำเร็จ”
อันที่จริงแล้วเมื่อโปรตีนทุกชนิดตกถึงกระเพาะอาหาร มันจะถูกย่อยให้กลายเป็นกรดอะมิโน ซึ่งสามารถจะกลับมาประกอบเข้าด้วยกันได้ใหม่ เพื่อสังเคราะห์โปรตีนชนิดที่ร่างกายต้องการขึ้นในขณะนั้น แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถรับประกันได้ว่า กรดอะมิโนดังกล่าวจะรวมตัวกันเป็นคอลลาเจนที่จำเป็นต่อผิวหนัง
ปัญหาอีกอย่างในการตรวจสอบประสิทธิภาพของคอลลาเจน ก็คือการกำหนดสูตรของผู้ผลิต ซึ่งอาจใส่สารเสริมสุขภาพผิวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คอลลาเจนลงไปด้วย ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่ากินแล้วผิวอิ่มฟูและขาวเนียนใสขึ้นผิดตา แม้นั่นจะไม่ใช่ผลที่เกิดขึ้นจากการกินคอลลาเจนก็ตาม การที่ผู้บริโภคทั่วไปไม่อาจจะแยกแยะได้เช่นนี้ กลับส่งผลให้พวกเขามองว่าการกินคอลลาเจนนั้นให้ผลดีต่อผิวพรรณอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม เคยมีงานวิจัยขนาดใหญ่ที่รวบรวมและวิเคราะห์งานวิจัยหลายชิ้นในอดีต ชี้ว่าคอลลาเจนชนิดที่ละลายในน้ำ มีประโยชน์ต่อการเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิวหนังได้จริง ส่วนงานวิจัยอีกชิ้นที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ระบุว่าการกินคอลลาเจนเปปไทด์ 2 ชนิด ในปริมาณสูง (prolylhydroxyproline และ hydroxyprolylglycine) สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและทำให้ผิวดูผ่องใสเรียบเนียนขึ้น ซึ่งโซอาเรสบอกว่าอาจเป็นไปได้ แต่ต้องอาศัยการบริโภคเป็นประจำสม่ำเสมออย่างยาวนาน
มีเทคนิคบางอย่างที่อาจช่วยเสริมประสิทธิภาพของคอลลาเจนจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นั่นก็คือการออกกำลังกายเพื่อให้ข้อต่อและเส้นเอ็นแข็งแกร่งขึ้น โดยโรเบิร์ต เออร์สคีน อาจารย์ผู้สอนวิชาสรีรวิทยาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อร่วมประสาท (neuromuscular physiology) จากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จอห์น มัวร์ส ของสหราชอาณาจักร แนะนำว่าการออกกำลังกายสามารถกระตุ้นให้เนื้อเยื่อสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้มากกว่าปกติ ซึ่งจะช่วยให้เส้นเอ็นแข็งแรงและเคลื่อนไหวร่างกายได้รวดเร็วว่องไวโดยไม่หกล้ม
เออร์สคีนและคณะเคยทำการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า คอลลาเจนแบบละลายน้ำได้ง่าย สามารถจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น หลังฝึกออกกำลังแบบมีแรงต้านอย่างหนักได้หรือไม่ ซึ่งผลการทดลองกลุ่มเล็กกับชายหนุ่มสุขภาพดีจำนวนหนึ่ง พบว่าการกินคอลลาเจนแบบละลายน้ำได้ง่าย 30 กรัม ผสมกับวิตามินซีก่อนเริ่มออกกำลัง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพิ่มได้มากอย่างมีนัยสำคัญ แม้ปริมาณคอลลาเจนที่ใช้ในการทดลองจะสูงกว่าที่มีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสูงกว่าคำแนะนำสำหรับคนทั่วไปก็ตาม

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ผลการทดลองอีกครั้งหนึ่งของเออร์สคีนยังพบว่า การกินคอลลาเจนเสริมในกลุ่มชายวัยกลางคน ยังส่งผลดีต่อการสังเคราะห์คอลลาเจนของร่างกายเหมือนกับที่พบในกลุ่มชายหนุ่ม เพียงแต่อัตราการสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนในกลุ่มชายวัยกลางคน จะไม่สูงเท่าคนกลุ่มอายุน้อยกว่า ซึ่งแสดงว่าวัยเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตคอลลาเจนของร่างกาย ในขณะที่เพศก็มีความเกี่ยวข้องอย่างมาก เช่นการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนของผู้หญิงนั้น สัมพันธ์กับการสร้างคอลลาเจนโดยตรง เออร์สคีนมองว่าความรู้ที่จะได้จากการศึกษาเจาะลึกเพิ่มเติมในประเด็นเหล่านี้ จะช่วยเสริมสมรรถนะและลดการบาดเจ็บให้กับนักกีฬาทั้งชายและหญิงได้
คอลลาเจนยังได้รับความสนใจว่าอาจเป็นตัวช่วยใหม่ ในการรักษาหรือบรรเทาอาการโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา เช่นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) แต่ผลการรวบรวมและวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในอดีตซึ่งจัดทำขึ้นล่าสุด กลับพบว่าไม่อาจหาข้อสรุปในเรื่องนี้ได้ เพราะงานวิจัยในอดีตส่วนใหญ่คุณภาพต่ำเกินไป
ส่วนกรณีของโรคข้อเสื่อม (osteoarthritis) ผลวิจัยของฮันเตอร์และคณะพบว่า คอลลาเจนช่วยลดความเจ็บปวดจากโรคนี้ได้ในระยะสั้น แต่ก็ยังมีหลักฐานสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ในประเด็นนี้ไม่เพียงพอ ทำให้ทีมของฮันเตอร์ตัดสินใจไม่นำคอลลาเจนไปรวมอยู่ในโครงการศึกษาทดลองระดับคลินิก เพื่อค้นหาตัวยาทางเลือกในการรักษาโรคข้อเสื่อม ส่วนสารที่มีศักยภาพสูงกว่าคอลลาเจนที่เข้าร่วมในการทดลองครั้งนี้ ได้แก่สารสกัดจากเปลือกสน, สารสกัดกำยานอินเดีย (Boswellia serrata), และสารเคอร์คิวมินจากขมิ้นชัน
สรุปแล้วควรกินคอลลาเจนดีหรือไม่ ?
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดมีความเสี่ยง เพราะอาจทำปฏิกิริยากับยารักษาโรคที่คนผู้นั้นกินอยู่เป็นประจำ ฮันเตอร์จึงแนะนำให้ผู้ที่สนใจจะกินคอลลาเจนเสริม หรือผู้ที่คิดจะลองผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดอื่น ๆ ขอคำปรึกษาจากบุคลากรทางการแพทย์เสียก่อน เนื่องจากการกินโปรตีนทุกชนิดซึ่งรวมถึงคอลลาเจนเพิ่มมากขึ้น อาจส่งผลกระทบทางลบต่อผู้ป่วยโรคไตและโรคตับได้ เพราะความสามารถในการสลายและสร้างโปรตีนของกระบวนการเผาผลาญหรือเมตาบอลิซึม ได้รับความเสียหายไปแล้ว
ฮันเตอร์ยังให้คำแนะนำกับบรรดาหมอและนักโภชนาการว่า เมื่อมีผู้ป่วยมาขอคำปรึกษาเรื่องผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อย่าเพิ่งรีบบอกปัดหรือห้ามปรามในทันที “เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพ ควรเปิดใจรับฟังคนไข้และผู้มาขอคำปรึกษา เพราะหากแสดงท่าทางปฏิเสธไปก่อนอย่างเต็มที่ คนไข้ก็จะออกไปหายาและผลิตภัณฑ์พวกนี้มากินเองอย่างแน่นอน”
ฮันเตอร์เล่าว่าเขามักจะแนะนำให้คนไข้ลองผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่น่าสนใจสัก 3-4 สัปดาห์ เพื่อทดสอบดูว่ามันให้ผลเป็นอย่างไร ส่วนผลิตภัณฑ์สำหรับการบำรุงผิวอย่างคอลลาเจนนั้น เคยมีงานวิจัยระบุว่าจะต้องกินติดต่อกันอย่างน้อย 2-3 เดือน ก่อนจะบอกได้ว่าเห็นผลตามที่โฆษณาเอาไว้หรือไม่ แต่ในกรณีของผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากโรคข้อเสื่อมนั้น หากกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้วยังไม่เห็นผลภายในหนึ่งเดือน ก็คงยากที่จะมีใครยอมอดทนต่อความเจ็บปวดต่อไปได้
เนื่องจากทุกคนต่างสรรหาคอลลาเจนมาบริโภคด้วยสารพัดเหตุผลที่แตกต่างกัน จึงไม่อาจจะตัดสินได้อย่างxายตัวว่า การซื้อหาผลิตภัณฑ์คอลลาเจนมากินของคนผู้หนึ่งคุ้มค่าหรือไม่ เพราะมันขึ้นอยู่กับเหตุผลส่วนตัว, ระยะเวลาที่ต้องการบริโภค, รวมทั้งกำลังทรัพย์ของคนผู้นั้นว่ามีพอจ่ายไหวหรือไม่ นอกจากนี้ เกณฑ์การพิจารณายังขึ้นอยู่กับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งผลต่อสุขภาพที่ออกมาว่าเป็นที่พอใจของผู้บริโภคหรือไม่ด้วย ซึ่งเออร์สคีนกล่าวเตือนว่า “ใช่ว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนในแบบเดียวกัน”
ท้ายที่สุดแล้ว บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังคงยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า แทนที่จะเสียเงินปีละหลายหมื่นเพื่อซื้อคอลลาเจนราคาแพง เราอาจใช้เงินนี้ลงทุนซื้ออาหารคุณภาพมากินให้ได้สมดุลครบทุกหมู่ดีกว่า เพราะจะช่วยเสริมสุขภาพในหลายมิติให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนแบบไม่ต้องลุ้น และหากเพิ่มข้อปฏิบัติอย่างการออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ผิวเด้งสวยใสมีสุขภาพดีย่อมไม่หนีไปไหนเสียอย่างแน่นอน
คำเตือน: เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ผู้อ่านไม่ควรนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติแทนคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพการดูแลสุขภาพ บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบใด ๆ ต่อการวินิจฉัยโรคของผู้อ่าน หากใช้เนื้อหาในบทความนี้เป็นหลักในการวินิจฉัยโรคดังกล่าว นอกจากนี้ บีบีซียังไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาจากลิงก์ภายนอก และไม่ได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์หรือบริการเชิงพาณิชย์ใด ๆ ที่มีการแนะนำหรือเอ่ยถึงในหน้าเว็บไซต์นี้ กรุณาขอคำปรึกษาจากแพทย์ทั่วไปประจำตัวของคุณทุกครั้งหากมีความกังวลเรื่องสุขภาพ
ที่มา BBC.co.uk