จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากศาลสูงสุดสหรัฐฯ สั่งแบนติ๊กตอก (TikTok)
Article records
- Creator, ทอม เกอร์เคน และ ลิฟ แมคมาฮอน
- Feature, ผู้สื่อข่าวเทคโนโลยี
ติ๊กตอก (TikTok) สื่อสังคมออนไลน์ชื่อเตรียมยุติการให้บริการในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 19 ม.ค. นี้ ซึ่งเป็นผลจากคำพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ยืนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ซึ่งถือเป็นการปฏิเสธข้อต่อสู้ทางกฎหมายของไบต์แดนซ์ บริษัทสัญชาติจีนเจ้าของแอปพลิเคชันดังกล่าว ที่ขอคัดค้านการบังคับใช้กฎหมายแบนติ๊กตอกในสหรัฐฯ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การสั่งยุติการให้บริการติ๊กตอกไม่ถือว่าละเมิดบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่ 1 ที่ไม่ให้รัฐบาลลดทอนเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน และผู้ใช้งานแอปฯ ดังกล่าว 170 ล้านราย ตามที่บริษัทกล่าวโต้แย้ง
ทว่า คำวินิจฉัยของศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะสามารถหยุดยั้งชาวอเมริกันยุติการใช้แอปฯ ยอดฮิตดังกล่าวได้จริงหรือไม่
ขณะที่ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บอกอย่างเรียบง่ายว่า อนาคตของติ๊กตอกขึ้นอยู่กับตัวเขา ส่วนทำเนียบขาวระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงกรอบระยะเวลาแล้ว กระบวนการบังคับใช้กฎหมายจะตกในช่วงของสมัยรัฐบาลของทรัมป์ ผู้ที่จะสาบานตนเข้ารับตําแหน่งในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันหลังจากคำสั่งห้ามมีผลบังคับใช้
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
Skip เรื่องแนะนำ and proceed readingเรื่องแนะนำ
Cease of เรื่องแนะนำ
ทรัมป์สามารถแทรกแซงคำสั่งนี้ได้หรือไม่
ทรัมป์อาจเคยพยายามแบนติ๊กตอก แต่เขาได้ระบุซ้ําแล้วซ้ําเล่าในช่วงปี 2024 ว่าตอนนี้เขาต่อต้านกฎหมายอย่างเด็ดขาด และเคยพยายามให้เกิดการชะลอคำสั่งดังกล่าวแล้วแต่ยังไม่สําเร็จ
แม้ว่าจะมีคำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลสูงสุด ทรัมป์ยืนยันระหว่างการสัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นว่า อนาคตของติ๊กตอกขึ้นอยู่กับเขา แม้ว่าเขาไม่ได้บอกตัวบ่งชี้ใดในการตัดสินใจของเขาจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของติ๊กตอกก็ตาม
ส่วนในสื่อสังคมออนไลน์เขาเคยบอกว่า ขั้นตอนต่อไปที่เขาจะดำเนินการอาจจะต้องใช้เวลา
“คำวินิจฉันของศาลสูงสุดไม่เกินความคาดหมาย และทุกคนจะต้องเคารพการตัดสินนั้น” เขาเขียนไว้ในสื่อสังคมออนไลน์
“การตัดสินใจของผมต่ออนาคตติ๊กตอกจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ผมจะต้องมีเวลาในการพิจารณาทบทวนสถานการณ์ต่าง ๆ ”
อย่างไรก็ตาม ก่อนการให้สัมภาษณ์ เขาได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขากำลังมองหา สิ่งที่เรียกว่า “ทางออกในทางการเมือง”
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลสูงสุดจะอ่านคำวินิจฉัย เขาได้หารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนเกี่ยวกับอนาคตติ๊กตอก ร่วมกับประเด็นอื่น ๆ ด้านการค้า
“นี่คือ สิ่งที่ผมคาดหวังไว้ว่า เราจะต้องแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นี้ร่วมกัน และเริ่มขึ้นทันที” เขาโพสต์ข้อความนี้บนสื่อสังคมออนไลน์
และในวันพฤหัสบดี ไมค์ วอลทซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์บอกกับสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์ว่า ว่าที่ประธานาธิบดีกำลังมองหาวิธีการรักษาติ๊กตอกไว้ โดยระบุว่า การเข้าถึงแพลตฟอร์มดังกล่าวของชาวอเมริกัน รวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ของพวกเขาจะต้องได้รับการรักษาไว้
“ผมไม่ต้องการไปไกลเกินกว่า คำสั่งพิเศษของประธานาธิบดี (executive orders) แต่เราจะสร้างพื้นที่ที่สามารถทำให้มีการเจรจาหาข้อตกลงกันก่อน” วอลทซ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่บังคับใช้กฎหมาย ดั้งนั้นทางเลือกอื่นที่จะให้ทรัมป์เดินตามและปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย แค่เพียงให้กระทรวงยุติธรรมเพิกเฉยต่อเรื่องนี้
รัฐบาลเองก็ควรจะแจ้งต่อแอปเปิลและกูเกิลอย่างจริงจังให้รับทราบว่า พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษในกรณีที่ปล่อยให้ประชาชนสามารถดาวนโหลดติ๊กตอกบนอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขา นั่นหมายความว่า กฎหมายดังกล่าวยังคงมีผลบังคับใช้ แต่โดยพื้นฐานแล้วจะมีความซ้ำซ้อนกันอยู่
ก่อนหน้านี้ บริษัทต่าง ๆ อาจจะรู้สึกไม่สบายใจว่าจะละเมิดกฎหมายนี้หรือไม่ แม้ว่าจะได้รับแจ้งว่า ไม่เป็นไร เนื่องจากอาจจะทำให้พวกเขาจำเป็นต้องอ้างคำพูดของประธานาธิบดีในการนี้เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญหน้ากับการรับโทษใด ๆ
ชาวอเมริกันยังสามารถใช้ติ๊กตอกได้หรือไม่ หากถูกสั่งห้าม
หากว่าทรัมป์ไม่สามารถยับยั้งคำสั่งห้ามบริการของติ๊กตอกได้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น
แนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ ทางการสหรัฐฯ จะบังคับใช้กฎหมายเพื่อยุติบริการของแอปฯ ติ๊กตอก โดยสั่งให้ผู้ให้บริการแอปสโตร์ทำให้แอปฯ ดังกล่าวไม่สามารถดาวโหลดได้ในประเทศ
แต่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุไว้ว่า กระบวนการที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมาย และทําให้แน่ใจว่าบริษัทต่างๆ ปฏิบัติตามข้อกําหนด จะเป็น “กระบวนการที่ดําเนินไปเมื่อเวลาผ่านไป”
หากว่า ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงติ๊กตอกตามช่องทางที่ถูกกฎหมายผ่านผู้ให้บริการแอปสโตร์แล้ว ก็จะไม่ส่งผลอะไรต่อผู้ที่ได้ติดตั้งแอปฯ นี้ไปแล้วบนโทรศัพท์
แต่เพราะว่า ส่วนใหญ่แล้ว แอปฯ นี้ จะไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย ดั้งนั้น การอัพเดทใหม่ ๆ จะไม่ส่งมาเตือนผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้แอปฯ นี้มีปัญหามากขึ้นหรือมีบักมากขึ้น และในที่สุดก็จะใช้งานไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงว่า การอัพเดท[ซอฟต์แวร์] หลายอย่างที่จะช่วยอุดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นในแอปฯ ดังนั้นติ๊กตอกจะหยุดการอัพเดท ซึ่งจะทำให้มือถือหลายล้านเครื่องตกเป็นเป้าของบรรดาแฮกเกอร์ในปัจจุบันได้
แน่นอนว่า ยังคงมีวิธีต่าง ๆ [ในการใช้ติ๊กตอก] เพื่อหลีกเลี่ยงคำสั่งแบน มีการส่งต่อวิดีโดบนติ๊กตอกที่บอกวิธีการใช้วีพีเอ็น (virtual interior most community -VPN) หรือ ตัวช่วยที่เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต ที่จะทำให้อำพรางผู้ใช้งานเสมือนว่า ปรากฎตัวในประเทศอื่น
ในเขตประเทศที่แอปสโตร์ให้บริการอยู่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอุปกรณ์สื่อสารส่วนใหญ่ ดังนั้นตามทฤษฎีไมว่าใครก็ตามสามารถเข้าถึงแอปฯ ต่าง ๆ จากประเทศอื่น ๆ แม้ว่า สิ่งนี้อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา โดยไม่รวมกับการละเมิดข้อตกลงการให้บริการต่าง ๆ ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีการดาวน์โหลดแอปฯ จากอินเทอร์เน็ตด้วยการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ซึ่งนั่นอาจจะถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายด้านลิขสิทธิ์ และผลักดันให้ผู้ใช้ต้องเสี่ยงโดยลำพัง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอาจจะเข้ามามีส่วนร่วมในจุดนี้ ด้วยการเสนอให้สั่งแบนบริการพื้นที่บนอินเทอร์เน็ต (web hosting products and companies) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานเข้าถึงแอปฯ ดังกล่าว
ดังนั้นหากการแบนจบลงด้วยรูปแบบนี้ ดูเหมือนว่าผู้ที่มุ่งมั่นที่จะใช้ติ๊กตอกหลังจากกฏหมายมีผลบังคับใช้ พวกเขาก็จะยังคงสามารถใช้การได้ แต่จะอาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่พวกเขาคุ้นเคย
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเส้นทางอื่นที่รัฐบาลสามารถทำได้ เช่น กรณีของอินเดียที่มีคำสั่งแบนติ๊กตอกในปี 2020 รัฐบาลอินเดียมีคำสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตร่วมมือปิดกั้นการเข้าถึงแอปฯ นี้
ด้านทนายความของติ๊กตอกให้การต่อศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ว่า เขาเชื่อว่า แอปฯ ดังกล่าวจะ “จอดับ” ในสหรัฐฯ
ศาสตราจารย์มิลตัน แอล. มุลเลอร์ จากสถาบันเทคโนโลยีในรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นผู้ที่ยื่นบันทึกสรุปทางกฎหมายเพื่อสนับสนุนการให้บริการของติ๊กตอก ระบุว่า ความซับซ้อนในประเด็นนี้ทำให้แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญยังไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า สิ่งที่ชัดเจนคือ ผลกระทบที่มีต่อกลุ่มผู้ใช้และบริการด้านอินเทอร์เน็ต
“นี่จะสร้างความชอบธรรมให้กับการกระจายตัวของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตามขอบเขตระดับชาติหรือขอบเขตอํานาจศาล” เขากล่าว
ยังจะมีผู้สนใจซื้อกิจการรายใหม่หรือไม่
จนถึงขณะนี้ ไบต์แดนซ์ยังคงมีความแน่วแน่ว่าจะไม่มีการขายทรัพย์สินในสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งนั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ในตอนนี้ที่ถูกแบนจริง ๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อประธานาธิบดีคนหนึ่งที่ภาคภูมิใจในตัวเองในด้าน “ศิลปะแห่งการเจรจาดีล” กำลังจะกลับมาที่ทำเนียบขาว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กนิวส์ รายงานว่า ผู้ซื้อที่มีศักยภาพยังคงเข้าแถว[เพื่อรอซื้อกิจการ] และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาสำนักข่าวแห่งนี้ได้รายงานว่า ติ๊กตอกกำลังสนใจที่จะการขายกิจการให้กับมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ แม้ว่า ติ๊กตอกจะอธิบายว่าสิ่งนี้เป็น “นิยายล้วน ๆ”
ด้านสตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของทรัมป์ และแฟรงก์ แม็กคอร์ตนักธุรกิจมหาเศรษฐี เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยแสดงความสนใจที่จะซื้อกิจการติ๊กตอก
แมคคอร์ต ซึ่งเป็นอดีตเจ้าของทีมเบสบอล Los Angeles Dodgers กล่าวว่า เขาได้รับเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จากข้อตกลงทางวาจาจากกลุ่มนักลงทุนเพื่อประมูลติ๊กตอก
นอกจากนี้ยังมียูทิวเบอร์ ชื่อ มร.บีสต์ (MrBeast) ชื่อดังอ้างว่า ตอนนี้เขากำลังทำข้อตกลงหลังจากที่เขามีเศรษฐีพันล้านติดต่อเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่ามันอาจจะดูเป็นเรื่องตลก แต่เขาก็มีแรงจูงใจทางการเงินที่สำคัญในการพยายามรักษาแอปฯ นี้ไว้
ทั้งนี้ MrBeast มีผู้ติดตามมากกว่า 100 ล้านคนบนแพลตฟอร์มติ๊กตอก
แพลตฟอร์มใดที่ผู้ใช้ชาวอเมริกันสามารถใช้แทนติ๊กตอกได้ ?
ติ๊กตอกระบุว่า มีผู้ใช้งานแอปฯ นี้ 170 ล้านคนในสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาใช้เวลา 51 นาทีต่อวันบนแอปในปี 2024
การสั่งแบนติ๊กตอกหรือทำให้เกิดการใช้งานแอปฯ นี้ลดลง จะถือว่าเป็นการสร้างโอกาสมหาศาลให้กับคู่แข่งทางเทคโนโลยีรายใหญ่ จัสมิน เอ็นเบิร์ก นักวิเคราะห์จาก Insider Intelligence กล่าว
“อินสตาแกรม รีลส์ (Instagram Reels) ของเมตา และ ยูทิวบ์ ชอร์ตส์ (YouTube Shorts) ของกูเกิล มีความเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ ผู้สร้าง และผู้ลงโฆษณาที่ย้ายมาจากติ๊กตอก” เธอกล่าว
เฟซบุ๊กอาจได้รับประโยชน์เช่นกัน เช่นเดียวกับแพลตฟอร์มทั้งหมดของเมตา แม้ว่า เอ็นเบิร์ก กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่กำลังเป็นข้อถกเถียงกันของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อาจลดความน่าสนใจลงได้
ผู้ใช้งานคือ สิ่งที่ดึงดูดเม็ดเงินจากผู้ลงโฆษณา ดังนั้นการสั่งห้ามบริการติ๊กตอกอาจเป็นผลบวกทางการเงินครั้งใหญ่ให้กับแพลตฟอร์มเหล่านั้น
“ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดที่เราได้พูดคุยด้วยยืนยันว่า พวกเขาจะโยกเงินโฆษณาของพวกเขาไปที่เมตาและกูเกิล หากพวกเขาไม่สามารถโฆษณาบนติ๊กตอกได้อีกต่อไป นี่เป็นพฤติกรรมแบบเดียวกับที่เราเห็นในอินเดียเมื่อพวกเขาแบนติ๊กตอกในปี 2020” ฟอร์เรสเตอร์ นักวิเคราะห์หลัก จากเคลซีย์ ชิกเกอร์ริ่ง กล่าว
สำหรับแอปฯ “Lemon8” ซึ่งไบต์แดนซ์เป็นเจ้าของด้วย น่าจะเป็นแอปฯ เป้าหมายถัดไปที่คนจะแห่ตามไป หลังจากมีคำสั่งห้ามบริการติ๊กตอก แต่ดูเหมือนกฎหมายจะมีผลบังคับกับแอปฯ อื่น ๆ ที่บริษัทเป็นเจ้าของเดียวกันหรือที่ดำเนินการด้วย ซึ่งหมายความว่า แอปฯ Lemon8 อาจจะถูกทำให้ไม่สามารถเข้าถึงในสหรัฐฯ ได้
ดังนั้นผู้ที่มีศักยภาพที่จะกำชัยชนะในเกมนี้รายอื่น ๆ อย่าง Twitch หลังจากสร้างชื่อเสียงในการโฮสต์สตรีมสดซึ่งเป็นฟีเจอร์ยอดนิยมบนติ๊กตอก ทั้งนี้ Twitch ยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เกมเมอร์โดยเฉพาะ และจะยังคงเติบโตไปพร้อมกับเนื้อหาอื่น ๆ ด้วย
นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่ชาวจีนเป็นเจ้าของ เช่น เสี่ยวหงซู (Xiaohongshu) หรือที่รู้จักกันในชื่อ RedNote ในหมู่ผู้ใช้ในสหรัฐฯ มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ถึงกระนั้น บางคนแนะนำว่า ไม่มีแอปฯ ใดที่จะมาแทนที่ติ๊กตอกได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟีเจอร์ TikTok Shop ซึ่งให้ผู้ใช้สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ได้โดยตรงจากวิดีโอ และสร้างรายได้มหาศาลให้กับผู้สร้างเนื้อหาในสหรัฐฯ
เครก แอตคินสัน ซีอีโอของ Code3 บริษัทการตลาดดิจิทัลกล่าวว่า ไม่มีคู่แข่งโดยตรงที่ผู้คนสามารถเปลี่ยนไปใช้ได้อย่างง่ายดาย และตั้งข้อสังเกตว่า เอเจนซีของเขากำลังเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับลูกค้าเพื่อสร้างแคมเปญ TikTok Shop จนถึงปลายเดือน ธ.ค.
ที่มา BBC.co.uk