ทำไมชื่อ ทักษิณ กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในญัตติซักฟอกนายกฯ แพทองธาร

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ศึกซักฟอกรัฐบาล “แพทองธาร” ยังไม่ชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นทันสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรนี้หรือไม่ หลัง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา แจ้งฝ่ายค้านให้แก้ไขญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยถอดชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ออกจากญัตติ ทว่าแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน (ปชน.) ยืนกรานจะไม่มีการแก้ญัตติ
ทำไมชื่อ ทักษิณ กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในญัตติซักฟอก?
เหตุผลของประธานสภาคืออะไร
หนังสือด่วนที่สุดจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ส่งถึง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา เมื่อ 7 มี.ค. แจ้งว่า วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาแล้ว เห็นว่าการระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติอาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ จึงขอให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว โดยนำรายชื่อบุคคลภายนอกออกจากเนื้อหาญัตติ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 เพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ
สส. ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ต่อประธานสภา เมื่อ 27 ก.พ. โดยเนื้อหาในญัตติระบุตอนหนึ่งว่า “นายกรัฐมนตรีสมัครใจยินยอมให้นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ”

ที่มาของภาพ : กองโฆษก พรรคประชาชน
วันมูหะมัดนอร์ ให้ความเห็นว่า ข้อบังคับการประชุมสภาระบุว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แค่กล่าวถึงก็ห้ามอยู่แล้ว แต่เขียนเป็นญัตติชัดเจนยิ่งกว่ากล่าว จะนำไปสู่การประท้วงวุ่นวายในสภา
เรื่องแนะนำ
“ประธานต้องรับผิดชอบในฐานะอนุญาตให้ญัตติที่มีชื่อบุคคลภายนอกเข้าไป ถ้ามีการฟ้องร้อง ประธานเป็นจำเลยด้วย ไม่อยากให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้ ฝ่ายค้านอภิปรายได้ทุกเรื่อง ยกเว้นที่ข้อบังคับห้าม” ประธานสภา ผู้เป็น สส. สังกัดพรรคประชาติซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล กล่าว
วันมูหะมัดนอร์ บอกด้วยว่า อำนาจบรรจุวาระเป็นของประธาน แต่ประธานไม่ได้ตัดสินคนเดียว ฟังจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายกฎหมาย เลขาธิการสภา รวมถึง พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาสังกัดพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ได้รับมอบหมายให้พิจารณาเรื่องญัตติ กระทู้ ต้องให้ความเห็นเบื้องต้น ทุกฝ่ายให้ความเห็นมาเรียบร้อยว่าการกล่าวถึงบุคคลภายนอกจะเป็นประเด็น เรื่องข้อบังคับ ความสงบเรียบร้อยในที่ประชุม จึงแจ้งให้ประธานทราบ ก็เห็นด้วยตามนั้น จึงเรียกผู้นำฝ่ายค้านมารับทราบตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 6 มี.ค.
เขายังปฏิเสธด้วยว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไม่มีอคติกับใคร หรือรับงานใครมา ยืนยันว่าแค่รักษากติกาข้อบังคับการอภิปรายถึงบุคคลภายนอกที่ไม่สามารถเข้ามาชี้แจงในสภาได้
“ผมเป็น สส. มา 40 กว่าปี ไม่เคยมีญัตติที่เขียนชื่อคนนอกไว้ ไม่เช่นนั้นสภาจะไม่เป็นสภา หากเอ่ยชื่อใครก็ได้” วันมูหะมัดนอร์กล่าว
ประธานสภาวัย 80 ปี ยังยกตัวอย่างด้วยว่า ในปี 2545 สมัยที่ อุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภา เคยให้ ชวน หลีกภัย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาในขณะนั้น ไปแก้ญัตติ ซึ่ง ชวน ก็รับไปแก้ไขทั้งที่ไม่เห็นด้วย ตอนนั้นไม่ใช่เรื่องการบรรจุชื่อคนนอกมาไว้ในญัตติ โดยคำชี้แจงบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ แต่เพื่อความร่วมมือที่ดีก็ยอมแก้
“เราอยากเห็นการอภิปราย ไม่ใช่การประท้วง ผมก็ดำเนินการตามนั้น เพราะประธานมีหน้าที่ดูแลการประชุม อันไหนที่จะเกิดปัญหา ประธานต้องไม่ให้เกิดขึ้น” ประธานวันนอร์แจกแจง
ฝ่ายค้านโต้แย้งอย่างไร
ในขณะที่ประธานสภาตีความว่าการมีชื่อบุคคลภายนอกปรากฏในญัตติถือเป็น “ข้อบกพร่อง” และคิดว่ามีอำนาจในการแจ้งผู้เสนอญัตติให้แก้ไขได้ แต่ฝ่ายค้านมองต่าง
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ส่งหนังสือโต้แย้งถึงประธานสภาเมื่อ 10 มี.ค. สรุปใจความสำคัญได้ว่า ประธานไม่มีอำนาจทั้งจากรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาให้สั่งแก้ไขญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เว้นแต่เป็นเรื่อง “ข้อบกพร่อง” ในเชิงข้อเท็จจริงหรือรูปแบบ เช่น การลงชื่อไม่ครบ การระบุชื่อรัฐมนตรีผิด หรือการอ้างอิงข้อกฎหมายผิดมาตรา
เขาจึงเห็นว่า สิ่งที่ วันนอร์ ทำ “เป็นการใช้และตีความกฎหมายที่ลุแก่อำนาจ” และย้ำว่า การหารือนอกรอบไม่ใช่การแจ้ง “ข้อบกพร่อง” ที่ถูกต้องตามขั้นตอนของข้อบังคับการประชุมสภาซึ่งต้องแจ้งภายใน 7 วัน (อย่างเป็นทางการ โดยทางหนังสือ)

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ณัฐวุฒิ ยืนกรานผ่านสื่อมวลชนว่าจะไม่มีการแก้ไขญัตติ และได้ยืนยันกับประธานสภาไปแล้วว่าการใส่ชื่อ ทักษิณ ลงในญัตติ ทำให้สามารถอภิปรายอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ไม่ต้องพูดอะไรอ้อมค้อม
“เรายืนยันว่าจำเป็นต้องมีชื่อ คุณทักษิณเองเคยให้สัมภาษณ์ว่ามีส่วนในการบริหารราชการแผ่นดิน ในตัวญัตติก็เป็นไปตามข้อเท็จจริงตามที่คุณทักษิณพูดเองด้วยซ้ำ การรับผิดชอบคำพูดของสมาชิกพาดพิงคนนอกที่ทำให้เกิดความเสียหาย เป็นความรับผิดชอบของผู้อภิปราย ประธานสภาไม่เกี่ยว” ณัฐวุฒิ กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้านยังขอให้ วันมูหะมัดนอร์ ดำเนินทุกอย่างไปตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติควรทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านถ่วงดุลตรวจสอบฝ่ายรัฐบาล ไม่ควรต้องมาออกตัวรับแทน ทักษิณ ไม่เช่นนั้นประชาชนส่วนหนึ่งอาจมองได้ว่าประธานสภาพยายามปกป้องฝ่ายบริหารหรือไม่ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ
คนนอกไม่เคยถูกเอ่ยถึงกลางสภาจริงหรือ
นอกจากนี้ฝ่ายค้านยังรวบรวมข้อเท็จจริงที่มี สส. เสนอญัตติหรืออภิปรายอ้างอิงถึงประเทศเพื่อนบ้าน บริษัทเอกชน สถาบันการเงิน ไปจนถึงปัจเจกบุคคล ข้าราชการ ตำรวจ มาหักล้างคำกล่าวของประธานวันนอร์ที่ว่า “ผมอยู่ในสภามา 44 ปี ยังไม่เห็นมีญัตติไหนมีชื่อคนนอกแล้วอยู่ได้” โดยมีตัวอย่าง อาทิ
- 25 ก.ย. 2529 บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ สส. พรรคสหประชาธิปไตย เสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมว.พาณิชย์ โดยมีการอภิปรายอ้างอิงถึงประเทศเพื่อนบ้านและบริษัทเอกชน 2 แห่ง
- 26 มิ.ย. 2562 วันมูหะหมัดนอร์ มะทา สส. พรรคประชาชาติ เสนอญัตติด่วนให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษาตรวจสอบโครงการรถไฟ 3 สนามบิน โดยในเนื้อหาญัตติและการอภิปราย มีการกล่างถึงบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด
- 9 ม.ค. 2563 ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ สส. พรรคชาติไทย เสนอญัตติด่วนให้สภาตั้ง กมธ.ศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาทุจริตในสหกรณ์ต่าง ๆ โดยมีการอภิปรายอ้างอิงสหกรณ์ครูขอนแก่น สหกรณ์ออมทรัพย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจแห่งชาติ และสหกรณ์ออมทรัพย์แรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
- 27 ต.ค. 2563 พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ สส. พรรคก้าวไกล เสนอญัตติด่วนให้สภาตั้ง กมธ.ศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกพร่องในการจัดขบวนเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยมีการอ้างอิงถึงชื่อนายตำรวจอย่างน้อย 3 คน
- 9 ส.ค. 2566 เลิศศักดิ์ พัฒนาชัยกุล สส. พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติตั้ง กมธ.ศึกษาแก้ไขการทุจริต บริษัท สตาร์ค คอร์เปเรชัน จำกัด (มหาชน)
ข้อกฎหมายเขียนไว้อย่างไรกันแน่
ผู้สื่อข่าว.ตรวจสอบรัฐธรรมนูญ 2560 และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร 2562 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายในรัฐสภา-อภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้ห้ามพาดพิงบุคคลคนนอก แต่กำหนดเงื่อนไขกรณีพูดพาดพิงบุคคลอื่นเอาไว้ 2 ข้อ ผู้อภิปรายต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำเอง
หนึ่ง ถ้าถ่ายทอดสดการประชุมไปปรากฏนอกรัฐสภา ผู้พูดไม่ได้รับเอกสิทธิ์
สอง กรณีผู้ถูกพาดพิงได้รับความเสียหาย มีสิทธิให้ประธานสภาจัดให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง
รัฐธรรมนูญ มาตรา 124 ระบุว่า ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคําใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนําไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใด ๆ มิได้
เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคําในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใด หากถ้อยคําที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคํานั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น
ในกรณีตามวรรคสอง ถ้าสมาชิกกล่าวถ้อยคําใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้นได้รับความเสียหาย ให้ประธานแห่งสภานั้นจัดให้มีการโฆษณาคําชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่กําหนดในข้อบังคับการประชุมของสภานั้น ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสิทธิของบุคคลในการฟ้องคดีต่อศาล
เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ย่อมคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ดําเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใดซึ่งได้รับอนุญาตจากประธานแห่งสภานั้นด้วยโดยอนุโลม”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 (แก้ไขเพิ่มเติม) ที่เกี่ยวข้องมีอย่างน้อย 4 ข้อ
ข้อ 39 ระบุว่า ในกรณีที่สมาชิกกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศประเภทอื่น อันอาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกได้รับความเสียหาย บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอต่อประธานสภาภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่มีการประชุมครั้งนั้นเพื่อให้มีการโฆษณาคำชี้แจง
การยื่นคำร้องต้องทำเป็นหนังสือพร้อมคำชี้แจงประกอบข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนและอยู่ในประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่าก่อให้เกิดความเสียหายเท่านั้น
ข้อ 69 วรรคสอง ระบุว่า ห้ามผู้อภิปรายแสดงกิริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด และห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น
ข้อ 178 วรรคสาม ระบุว่า การนำเอกสารหรือวัตถุใด ๆ เข้ามาแสดงในที่ประชุม ในการอภิปรายตามวรรคหนึ่งที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกได้รับความเสียหายหรือเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม สมาชิกผู้นั้นต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้น
ส่วนการแก้ไข “ข้อบกพร่อง” ที่ประธานสภาและฝ่ายค้านมองต่างกัน ระบุเอาไว้ใน ข้อ 176 ว่า เมื่อประธานสภาได้รับญัตติตามข้อ 175 (ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ) แล้ว ให้ทำการตรวจสอบหากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาแจ้งผู้เสนอทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ
เมื่อประธานสภาได้ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้ว ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วนและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ
คัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงยอมรับว่า ข้อบังคับไม่ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “ข้อบกพร่อง” ไว้อย่างชัดเจนว่าหมายถึงข้อบกพร่องที่เป็นข้อผิดพลาด เช่น มีลายชื่อผู้เสนอไม่ครบ ตามเกณฑ์กำหนด หรือลายมือชื่อผู้เสนอไม่ถูกต้องตรงกับลายมือชื่อจริง เป็นต้น จึงเป็นอำนาจของประธานสภาที่จะใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัย และเมื่อพิจารณาจากข้อบังคับการประชุมสภา ข้อ 178 และข้อ 69 แล้ว ประธานสภาต้องการให้การประชุมและการอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดประโยชน์แก่ชาติและประชาชน จึงเห็นว่าหากปล่อยให้ชื่อบุคคลภายนอกอยู่ในญัตติต่อไป จะเกิดความเสียหายและความไม่เรียบร้อยในที่ประชุมจนยากจะแก้ไข เนื่องจากอาจจะเกิดการประท้วงไปมาหรือประท้วงประธานสภาว่าทำผิดข้อบังคับด้วย ไม่ควบคุมรักษาความสงบในที่ประชุม ซึ่งท่านจะต้องรับผิดชอบด้วย จึงต้องใช้ดุลยพินิจในการวินิจฉัยข้อบกพร่องของญัตติดังกล่าว
ปฏิกิริยาจากนายกฯ-เพื่อไทย
แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ คนที่ 31 และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน้อย 2 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อ 9 มี.ค. เธอปฏิเสธว่าไม่มีการล็อบบี้ให้ถอดชื่อ ทักษิณ ออก “ล็อบบี้ไม่ได้ ทุกอย่างเป็นตามกฎที่ตั้งไว้ หากไม่มีกฎ ไม่มีหลัก ก็เอาชื่อใครเข้าก็ได้ จะไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ยืนยันทุกอย่างเป็นตามกฎ ไม่มีการล็อบบี้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการนำชื่อคนนอกมาใส่ในญัตติ แพทองธารตอบว่า “ไม่ควรนะคะ ถ้าจะพูดถึงใคร คนนั้นต้องมีสิทธิโต้ตอบชี้แจง ถ้าเขาไม่อยู่ในนั้น แล้วพูดถึงเขาผ่านปาว ๆ ผ่านทีวี แล้วเขาจะทำอย่างไร มันไม่สมควร”
อีกครั้งเมื่อ 11 มี.ค. แพทองธาร ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าได้คุยกับบิดาบ้างหรือไม่ โดยบอกว่า เขาไม่ว่าอะไรเลย เพียงแต่ถามเฉย ๆ ว่าเข้าได้หรือ เพราะไม่ได้อยู่ในสภา หรือจะให้เขาไปตอบสภา เป็นการถามเล่น ๆ ไม่ได้มีอะไร
เมื่อถูกถามว่า ส่วนตัวติดหรือไม่หากมีชื่อ ทักษิณ ในญัตติ นายกฯ อุ๊งอิ๊งตอบว่า อันนี้เอาข้อเท็จจริง อย่าใช้อารมณ์เลย หลักการ กฎ คืออะไรดีกว่า ถ้าเราไม่ทำตามกฎตามหลักการ ตั้งกฎตั้งหลักการไว้ทำไม ถ้าสมมติว่าหลักการมันเข้าได้ ได้เลย เราจะห้ามอย่างไร แต่ถ้าหลักการเข้าไม่ได้ จะฝืนหลักการก็ไม่ได้
ส่วนจะมีการชี้แจงต่อสาธารณชนว่า ทักษิณ ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารโดยให้ตั้งโต๊ะแถลงเลยหรือไม่นั้น แพทองธาร ย้อนถามว่า “ท่านทักษิณจะแถลงเพื่ออะไรหรือคะ แต่ถ้าเพื่อให้มีประเด็นอื่นต่อไป ไม่จำเป็น ท่านทักษิณเป็นคุณพ่อของนายกฯ คนที่ 31 เท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นนายกฯ ด้วย จะไปอภิปรายท่าน หรือให้ท่านตั้งโต๊ะแถลง” ก่อนกล่าวติดตลกว่า “แต่ถ้าฮอลลีวูดชวนท่านไปเป็นดารา ท่านแถลงได้ แต่พ่อคงไม่เป็นดาราเพราะแก่แล้ว”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ด้านแกนนำพรรค พท. นำโดย วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ตั้งคำถามไปยังฝ่ายค้านว่า ตั้งใจอภิปรายจริง ๆ หรือไม่ และย้ำว่า ถ้าอภิปรายบุคคลภายนอกก็ไปต่อไม่ได้ หากฝ่ายค้านไม่แก้ไขญัตติและวาระถูกบรรจุ จะเกิดความวุ่นวายล้านเปอร์เซ็นต์
“ฝั่งผมคงไม่ให้พูด พูดมาก็ประท้วง จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้ในอนาคตอภิปรายคนภายนอกได้ใช่หรือไม่ อะไรนักหนากับคุณทักษิณ กลัวหรือ” สส. อาวุโสของพรรค พท. กล่าว
ประธานวิปรัฐบาลเตือนด้วยว่า การอภิปรายบุคคลภายนอก เป็นวัฒนธรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน อย่าสร้างประวัติศาสตร์ผิด ๆ
“ไม่แก้ญัตติก็อภิปรายไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่การปกป้องคุณทักษิณ แต่ทำตามระเบียบรัฐสภา”
ที่มา BBC.co.uk