นโยบายรับรองเพศสภาพ “เพียงสองเพศ” ของทรัมป์ จะกระทบคนทั่วโลกอย่างไร ?

ที่มาของภาพ : Getty Footage
Article files
- Creator, เมกฮา โมฮัน
- Goal, ผู้สื่อข่าวสายเพศสภาพและอัตลักษณ์
นักรณรงค์เพื่อกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ (LGBT) รู้สึกกังวลว่า คำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับโครงการความหลากหลาย บุคคลข้ามเพศ และสิทธิของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศนั้น เป็นเรื่อง “อันตราย” และอาจคุกคามการทำงานของพวกเขาในประเทศอื่น ๆ แต่กลุ่มอนุรักษนิยมกลับรู้สึกยินดีกับความเคลื่อนไหวดังกล่าว และได้บอกกับบีบีซีว่านโยบายดังกล่าวของทรัมป์สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ได้
คำสั่งดังกล่าวซึ่งเรียกว่า “การปกป้องผู้หญิงจากอุดมการณ์ทางเพศสุดโต่ง และฟื้นฟูความจริงทางชีวภาพแก่รัฐบาลกลาง” ประกาศว่าสหรัฐฯ รับรองอย่างเป็นทางการว่า มีเพียงสองเพศเท่านั้น คือ “ชายและหญิง”
ประกาศนี้ระบุว่าพนักงานของรัฐทุกคนที่ทำหน้าที่อย่างเป็นทางการต้องใช้คำว่า “เพศ” (sex) ไม่ใช่คำว่า “เพศสภาพ” (gender) ในนโยบายและเอกสารต่าง ๆ ขณะที่เอกสารทางการต่าง ๆ รวมถึงหนังสือเดินทาง ควรยึดตามเพศที่บันทึกไว้ตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอธิบายว่าเป็น “การจำแนกทางชีววิทยาที่ไม่เปลี่ยนรูปของบุคคล” และย้ำอีกครั้งว่าต้องเป็นชายหรือหญิง
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทุกคนที่ทำงานในโครงการตามนโยบาย DEI (ความหลากหลาย, เท่าเทียม และการรวมคนทุกกลุ่ม) ลางานโดยได้รับค่าจ้างทันที ก่อนที่สำนักงานและโครงการต่าง ๆ ดังกล่าวจะถูกปิดตัวลง
แนวนโยบายดังกล่าวนับได้ว่าเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับนโยบายที่กำหนดขึ้นภายใต้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งสนับสนุนกฎหมายที่คุ้มครองพนักงานจากการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากอัตลักษณ์ทางเพศหรือรสนิยมทางเพศ โจ ไบเดน เคยเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้พลเมืองสหรัฐฯ เลือกเครื่องหมาย X เป็นเครื่องหมายระบุเพศในใบสมัครหนังสือเดินทาง เป็นทางเลือกแทนเพศชายหรือเพศหญิง
and proceed finding outเรื่องแนะนำ

ที่มาของภาพ : Getty Footage
จูเลีย เอิร์ต กรรมการบริหารของ ILGA World สหพันธ์องค์กรกลุ่มหลากหลายทางเพศระดับโลกกล่าวว่า ทิศทางใหม่จากประธานาธิบดีทรัมป์นั้น “อันตราย” โดยแนวทางนี้จะสามารถกลายเป็น “ตัวกระตุ้นเสมือนลูกบอลหิมะ ให้ความก้าวหน้าทางประวัติศาสตร์เพื่อความเท่าเทียมของ LGBTI ทั่วโลกถอยหลังลงคลองได้”
เธอกลัวว่าสิ่งนี้ “จะเป็นแบบอย่างที่อาจกระตุ้นให้เกิดการริเริ่มที่คล้ายกันในประเทศอื่น ๆ” และ “ถ้อยคำของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะทำให้ผู้นำเผด็จการทั่วโลกกล้าหาญขึ้นในการขยายการโจมตีและทำให้ชนกลุ่มน้อยกลายเป็นแพะรับบาป”
อย่างไรก็ตาม ในบางแง่ คำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ก็สะท้อนถึงการกระทำของประธานาธิบดีฮาเวียร์ มิเลของอาร์เจนตินา ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือน ธ.ค. 2023 ประธานาธิบดีมิเล ได้สั่งปิดกระทรวงสตรี เพศ และความหลากหลาย และสถาบันแห่งชาติเพื่อต่อต้านการเลือกปฏิบัติ ความหวาดกลัวชาวต่างชาติ และการเหยียดเชื้อชาติ ( National Institute In opposition to Discrimination, Xenophobia and Racism – INADI ) โดยกล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลด “การใช้จ่ายสาธารณะที่ไม่จำเป็น” และคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชนบางส่วนนอกสหรัฐอเมริกา
“ทรัมป์เป็นพลังที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพล” อัลมา ซานเชซ นายแพทย์วัย 25 ปี ในฮอนดูรัส กล่าวและว่า “ฝ่ายบริหารงานของรัฐบาลไบเดนให้ทุนแก่โครงการเกี่ยวกับเพศและความหลากหลายในประเทศของเรา คำสั่งผู้บริหารของทรัมป์หมายความว่า การให้ทุนสำหรับโครงการประเภทนี้ในประเทศต่างๆ เช่น ฮอนดูรัส จะถูกระงับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา”
ซานเชซเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม Generacion Celeste ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้หัวอนุรักษ์ในฮอนดูรัสสำหรับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี
“ประธานาธิบดีซิโอมารา คาสโตรของเราใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองในการแต่งตั้งเลขานุการด้านความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ ตามอย่างการนำของรัฐบาลไบเดน” ซานเชซหวังว่า ประเทศของเธอจะเปลี่ยนแนวทางและเดินตามการนำของประธานาธิบดีทรัมป์แทน
“ฮอนดูรัสเป็นประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ที่ยึดคุณค่าดั้งเดิม ทรัพยากรต่าง ๆ ควรลงไปที่เรื่องการศึกษาและการดูแลสุขภาพ” เธอกล่าว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศ เช่นเดียวกับกลุ่มศาสนาบางกลุ่ม บิชอปจอห์น เพรส แดเนียล รองประธานกลุ่ม Pentecostal Fellowship แห่งไนจีเรีย กล่าวกับ สำนักข่าววอยซ์ ออฟ อเมริกา (Converse of The US) ว่า เขายินดีรับคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดให้บทบาททางเพศเป็นแบบไบนารี (สองเพศ) คือ ชาย และหญิง และเพศไม่มีความลื่นไหล
“เราไม่ต้องการความสับสนขนาดนั้น” เขากล่าวและว่า “นำคุณธรรม ความสงบเรียบร้อย และสติกลับมาสู่สังคม”
เพศและอัตลักษณ์ทางเพศ
- อัตลักษณ์ทางเพศของบุคคลนั้นไม่เหมือนกับเพศที่บันทึกไว้ในสูติบัตรต้นฉบับเสมอไป ซึ่งอาจเป็นชายหรือหญิง
- อัตลักษณ์ทางเพศเป็นคำที่บางคนใช้เพื่ออธิบายความรู้สึกหรือความรับรู้ถึงอัตลักษณ์ของบุคคล ซึ่งอาจเป็นเพศหญิง ชาย หรือมีอยู่ในช่วงสเปกตรัมทางเพศในระดับต่าง ๆ
- ตามที่องค์การอนามัยโลกระบุ อัตลักษณ์ทางเพศถือเป็นโครงสร้างทางสังคม และแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม และอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
- ตามข้อมูลในเดือน พ.ย. 2024 มี 21 ประเทศ รวมถึงอาร์เจนตินา ปากีสถาน และเนปาล อนุญาตให้มีการระบุตัวตนทางเพศโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากศาลหรือทางการแพทย์
ตามข้อมูลของศูนย์วิจัยพิว ระบุว่า ในสหรัฐอเมริกา มีประชาชนวัยผู้ใหญ่ราว 1.6% ระบุว่า เป็นคนข้ามเพศหรือไม่ใช่ไบนารี และในการสำรวจทั่วโลกปี 2023 ที่จัดทำโดย Statistica พบว่า 3% ของผู้ตอบแบบสอบถามจาก 30 ประเทศ ระบุว่าพวกเขาเป็นคนข้ามเพศหรือไม่ใช่ไบนารี
นักรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกบางส่วนกังวลว่า คำสั่งผู้บริหารของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อองค์กรระดับรากหญ้าในประเทศที่แทบไม่ได้รับการสนับสนุนสำหรับบุคคลข้ามเพศ
ส่วนในบางประเทศ เช่น เคนยา ยังไม่มีการรับรองทางกฎหมายสำหรับคนข้ามเพศ ขณะที่องค์กรท้องถิ่นขนาดเล็กต้องอาศัยหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ (USAID) ในการสนับสนุนทางการเงินสำหรับกลุ่มหลากหลายทางเพศ (LGBT+)
กลุ่มที่สนับสนุนผู้หญิงและความเท่าเทียมทางเพศยังได้รับทุนจาก USAID อีกด้วย ในปี 2023 ประธานาธิบดีไบเดนร้องขอประมาณ 2.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8.75 หมื่นล้านบาท) สำหรับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศและความเท่าเทียมทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากปี 2022

ที่มาของภาพ : Getty Footage
อย่างไรก็ตาม “คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์หมายความว่า งานสำคัญที่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก USAID อยู่ภายใต้การคุกคามที่จะถูกตัดเงินสนับสนุน” พัตเซย์ จิธินจิ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศและอินฟลูเอนเซอร์ในกรุงไนโรบีของเคนยา กล่าว
“การระดมทุนช่วยให้ชุมชนเปราะบางในเคนยาเชื่อมต่อถึงกัน และยังช่วยให้การสนับสนุนด้านการดูแลสุขภาพและจิตสังคมด้วย” เธอกล่าว
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านเพศสภาพระหว่างประเทศยังกังวลว่าคำพูดต่อต้านคนข้ามเพศจะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก ขณะที่อินเดียได้ยอมรับ “ฮิจรา” (Hijra) อย่างเป็นทางการว่าเป็นเพศที่สาม ภายหลังคำสั่งศาลฎีกาในปี 2014 ฮิจราถือเป็นอัตลักษณ์ที่สามารถทำเครื่องหมายบนเอกสารราชการรวมถึงหนังสือเดินทางได้
อย่างไรก็ตาม คำสั่งฝ่ายบริหารของผู้นำสหรัฐฯ กำลังสร้างความกังวลให้กับหลาย ๆ คนในเอเชียใต้ โรหิต เค ดาสกุปตา รองศาสตราจารย์ด้านเพศสภาพและเรื่องเพศจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (The London College of Economics and Political Science – LSE) และผู้ร่วมเขียนหนังสือชื่อ Desi Queers กล่าว
“ผมได้พูดคุยกับนักเคลื่อนไหวกลุ่มเควียร์และทรานส์ในอินเดีย ซึ่งฉันทำวิจัยและทำงานร่วมเป็นหลัก พวกเขาแบ่งปันความกังวลว่านโยบายเช่นนี้มักจะไม่จำกัดอยู่แค่ภายในพรมแดนของสหรัฐฯ” เขากล่าว
“แนวทางที่สวนทางกลับกันนี้อาจส่งผลกระทบอย่างไม่เป็นสัดส่วนต่อกลุ่มคนที่อ่อนแอที่สุด รวมถึงคนผิวสีด้วย”
โดยสรุปแล้ว คำสั่งฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ มักจะมีข้อจำกัด และการนำไปปฏิบัติอาจล่าช้าหรือถูกขัดขวางจากการโต้แย้งทางกฎหมายหรือการคัดค้านจากสภาคองเกรส และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการพิจารณาว่า สิ่งนี้มีความหมายอย่างไร ไม่ใช่แค่สำหรับชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนทั่วโลกด้วย
ที่มา BBC.co.uk