บีบีซีไทยพบ World Inhabitants Review จัดการศึกษาไทยอยู่อันดับ 107 ของโลก อิงข้อมูลเก่าจากปี 2017

ที่มาของภาพ : Bloomberg/Getty Images
data
- Author, นงนภัส พัฒน์แช่ม
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เว็บไซต์ World Inhabitants Review เผยแพร่ข้อมูลการจัดอันดับการศึกษาประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปี 2025 ระบุว่าไทยอยู่อันดับ 107 ของโลก และอันดับ 8 ในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยตามหลังทั้งสิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย รวมถึงลาว
ช่วงหลายวันที่ผ่านมา สำนักข่าวหลายสำนักในไทยเผยแพร่ข้อมูลโดยอ้างอิงการจัดอันดับโดยเว็บไซต์ World Inhabitants Review นี้ จนกระทั่งสภาการศึกษาออกมาโต้ว่ารายงานดังกล่าว เป็นเพียงการ “ให้ความคิดเห็น” ที่ไม่ได้สะท้อนคุณภาพของระบบการศึกษาในแต่ละประเทศ
การจัดอันดับดังกล่าวโดยเว็บไซต์ World Inhabitants Review เชื่อถือได้แค่ไหน อ้างอิงข้อมูลการจัดอันดับจากแหล่งใด และสามารถเป็นดัชนีเพื่อสะท้อนภาพคุณภาพการศึกษาไทยในปัจจุบันได้จริงหรือไม่ บีบีซีไทยสำรวจและหาคำตอบในรายงานชิ้นนี้
World Inhabitants Review อ้างอิงข้อมูลจากไหน
ข้อมูลการจัดอันดับที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ World Inhabitants Review ระบุอันดับการศึกษาของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนประจำปี 2025 ไว้ดังนี้
- สิงคโปร์ อันดับที่ 11 ของโลก
- บรูไน อันดับที่ 47 ของโลก
- เวียดนาม อันดับที่ fifty three ของโลก
- อินโดนีเซีย อันดับที่ 67 ของโลก
- ฟิลิปปินส์ อันดับที่ 71 ของโลก
- มาเลเซีย อันดับที่ 89 ของโลก
- ลาว อันดับที่ 102 ของโลก
- ไทย อันดับที่ 107 ของโลก
- พม่า อันดับที่ 109 ของโลก
- กัมพูชา อันดับที่ 120 ของโลก
เว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่า อ้างอิงข้อมูลการจัดอันดับมาจากรายงาน “Easiest Worldwide locations file” (ประเทศที่ดีที่สุด) ที่จัดอันดับโดยเว็บไซต์สื่อ U.S. Recordsdata และจากรายงานการจัดอันดับอีกแหล่งขององค์กรไม่แสวงผลกำไร “World High 20”
สำหรับรายงาน “Easiest Worldwide locations file” เป็นการจัดทำร่วมกันโดยเว็บไซต์สื่อ U.S. Recordsdata, บริษัทด้านการตลาด BAV Neighborhood และโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย (Wharton College of the College of Pennsylvania) โดยรายงานดังกล่าวมีส่วนที่เป็นการจัดอันดับ “ประเทศที่ดีที่สุดด้านการศึกษา” ด้วย พร้อมระบุว่ารายงานดังกล่าวสอบถามความเห็นผู้คนกว่า 17,000 คนทั่วโลก
- ประเทศดังกล่าวมีระบบการศึกษาของรัฐที่พัฒนามาอย่างดีหรือไม่ ?
- ผู้ตอบแบบสอบถามจะพิจารณาเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยในประเทศนั้นหรือไม่ ?
- ประเทศดังกล่าวมีชื่อเสียงในด้านมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพสูงหรือไม่ ?
สำหรับการจัดอันดับ “ประเทศที่ดีที่สุดด้านการศึกษา (Easiest Worldwide locations for Training)” บนเว็บไซต์ของ U.S. Recordsdata ประจำปี 2024 ระบุว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ forty eight จากทั้งหมด 89 ประเทศ และอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปร์และมาเลเซีย

ที่มาของภาพ : BBC Thai
บีบีซีไทย ยังตรวจสอบอีกเว็บไซต์ที่ถูกนำมาอ้างอิงด้วย นั่นคือ “World High 20” และพบว่ามีการจัดอันดับการศึกษาของ 203 ประเทศทั่วโลกในปี 2024 ซึ่งการจัดอันดับประเทศต่าง ๆ ตรงกับที่เว็บไซต์ World Inhabitants Review เผยแพร่ทั้งหมด โดยไทยอยู่อันดับ 107 จาก 203 ประเทศ
เว็บไซต์ดังกล่าวระบุบนหน้าเว็บว่า การจัดอันดับนี้ยึดจากข้อมูลออนไลน์ที่แต่ละประเทศเปิดเผย อย่างไรก็ตาม บีบีซีไทยพบว่า ในหน้าเว็บไซต์ดังกล่าว (ขณะที่เริ่มสืบค้นข้อมูลเมื่อ 24 มี.ค.) ไม่มีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลออนไลน์ที่นำมาเป็นฐานในการจัดอันดับ รวมถึงไม่ระบุถึงระเบียบวิธีการศึกษาข้อมูลที่ชัดเจน
ข้อมูลเก่าจากปี 2017
บีบีซีไทยได้อีเมลไปสอบถามที่มาข้อมูลการจัดอันดับและระเบียบวิธีการศึกษาของการจัดอันดับทั้งจาก World Inhabitants Review และ World High 20
World Inhabitants Review ยังไม่ได้ชี้แจงข้อมูลใด ๆ กลับมา
ขณะที่ World High 20 ส่งอีเมลตอบกลับบีบีซีไทย ในนาม อัลเบิร์ต มิตเชลล์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้งของ NJMED (Unique Jersey Minority Tutorial Construction) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรในสหรัฐฯ ที่ดูแลเว็บไซต์ดังกล่าว
ผู้บริหารของ NJMED ระบุว่า การจัดอันดับบนเว็บไซต์ World High 20 อ้างอิงข้อมูลที่ได้รับการยืนยันจากสหประชาชาติ (UN) และองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ซึ่งการจัดอันดับพิจารณาจากอัตราการลงทะเบียนเข้าเรียนในชั้นปฐมวัย อัตราการสำเร็จการศึกษาของนักเรียนในระดับชั้นต่าง ๆ รวมถึงความปลอดภัยในโรงเรียน การลงทุนในการสอนต่ออัตราส่วนนักเรียน ผลการทดสอบต่าง ๆ โรงเรียนฟรี รวมไปถึงเด็กที่อยู่นอกระบบโรงเรียน
เขายังระบุด้วยว่า สหประชาชาติได้ขอให้ประเทศสมาชิกส่งข้อมูลด้านการศึกษาให้ทุกปี แต่มีน้อยกว่า 25% ที่ส่งข้อมูลมาตามการร้องขอ สำหรับข้อมูลของประเทศไทย เขาระบุว่าไม่ได้มีข้อมูลอัปเดตใด ๆ มาตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ประเทศไทยส่งข้อมูลดังกล่าวให้กับสหประชาชาติ
ทั้งนี้ บนหน้าเว็บไซต์ของ World High 20 ยังระบุด้วยว่า ฐานข้อมูลการจัดอันดับด้านการศึกษาของ World High 20 ประจำปี 2024 ใช้ข้อมูลจากปี 2017 ถึง 2021 เท่านั้น
เมื่อบีบีซีไทยสอบถามว่าการจัดอันดับดังกล่าวสะท้อน “คุณภาพการศึกษา” ของประเทศต่าง ๆ หรือไม่ ผู้บริหารของ NJMED ตอบคำถามบีบีซีไทยผ่านอีเมล โดยเน้นย้ำเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ว่า “ไม่”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าการจัดอันดับ World High 20 นี้ มีจุดประสงค์เพื่อเป็นต้นทางให้องค์การสหประชาชาชาตินำไปใช้ในรายงานประจำปี พร้อมระบุว่าหน่วยงานของเขาสามารถอัปเดตข้อมูลได้ประมาณ 50 ประเทศในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลที่สหประชาชาติได้รับจากประเทศต่าง ๆ ในแต่ละปี
ผู้บริหารของ NJMED ยังเน้นย้ำว่าวัตถุประสงค์ในการจัดอันดับการศึกษาของพวกเขา คือต้องการจูงใจให้แต่ละประเทศส่งข้อมูลทางการศึกษาประจำปีให้กับ UN เนื่องจากหากไม่มีข้อมูลทางการศึกษาที่เป็นปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่สามารถติดตามข้อมูลและช่วยให้เด็กพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพได้

ที่มาของภาพ : Getty Images
การจัดอันดับนี้ วัดคุณภาพการศึกษาไทยได้หรือไม่ ?
รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการสภาการศึกษา โพสต์บทวิเคราะห์ของสภาการศึกษาต่อประเด็นนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าผลการจัดอันดับของ World Inhabitants Review อาจไม่ได้สะท้อนคุณภาพการศึกษาของประเทศต่าง ๆ อย่างแท้จริง
บทวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า การจัดอันดับนี้ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบตัวชี้วัด และระเบียบวิธีการจัดอันดับไว้ ระบุแต่เพียงว่า “ใช้ข้อมูลจากการสำรวจ” ดังนั้นจึงเป็นเพียงการให้ความเห็นด้านการศึกษาจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มากกว่าจะสะท้อนคุณภาพของระบบการศึกษาแต่ละประเทศอย่างแท้จริง
บทวิเคราะห์ดังกล่าวของสภาการศึกษายังระบุด้วยว่าเว็บไซต์ World Inhabitants Review ได้ให้ข้อมูลอัตราการรู้หนังสือ (literacy fee) ของประชากรในไทยอยู่ที่ 94% ซึ่งเป็นข้อมูลจากปี 2021 ที่ไม่ได้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งสภาการศึกษาเพิ่งประเมินอัตราการรู้หนังสือของคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ในเดือน มี.ค. 2568 พบว่ามีอัตราถึง 99% สูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Fb เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Fb และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Fb ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก “ยินยอมและไปต่อ”
ขณะที่ ดร.ดิลกะ ลัทธพิพัฒน์ ที่ปรึกษาเศรษฐศาสตร์ด้านทรัพยากรมนุษย์ ของธนาคารโลก (World Monetary institution) เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ตัวแปรต่าง ๆ ที่ถูกใช้ในการจัดอันดับที่เผยแพร่โดย World Inhabitants Review เป็นตัวแปรค่อนข้าง “พื้นฐาน” ที่ไม่ค่อยถูกนำมาใช้กับการประเมินคุณภาพทางการศึกษา
“หลัก ๆ ก็คือเขาใช้ literacy fee (อัตราการอ่านออกเขียนได้) enrolment fee (อัตราการเข้าเรียนในระดับต่าง ๆ) อัตราการเรียนจบ แล้วก็สัดส่วนครูต่อนักเรียน อะไรพวกนี้ ซึ่งมันไม่ได้ใช้ตัวแปรที่มันเข้มข้น อย่างเช่นคะแนนทดสอบ หรือ standardized test (การทดสอบที่ได้รับมาตรฐาน) อย่าง PISA… แล้ว World Inhabitants Review ก็ไม่ได้ดูเรื่องคุณภาพของมหาวิทยาลัยด้วย” ดร.ดิลกะ วิเคราะห์
เขายอมรับว่าการใช้ตัวแปรในลักษณะนี้ ทำให้การจัดอันดับดังกล่าวอาจสะท้อนการศึกษาได้ในเชิงปริมาณเท่านั้น แต่อาจไม่สะท้อนคุณภาพการศึกษาที่แท้จริง
ที่ปรึกษาของธนาคารโลกผู้นี้ ยกตัวอย่างการจัดอันดับคุณภาพการศึกษาที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น TIMSS (Traits in Worldwide Arithmetic and Science Gaze) ที่เป็นการศึกษาแนวโน้มการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ และ PISA (Programme for Worldwide Student Overview) ที่เป็นการสอบเพื่อประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล ส่วนในระดับมหาวิทยาลัย เขายกตัวอย่างการจัดอันดับของ QS College Ranking, Times Higher Training และการจัดอันดับ Easiest Worldwide Universities ของ U.S. Recordsdata
“ถ้าข้อสอบอย่าง PISA เขาวัดการอ่านจับใจความ การเข้าใจ การตีความ พวกอย่างนี้นะ แต่ว่า literacy fee (อัตราการรู้หนังสือ) นี่ เขียนประโยคได้ เขียนชื่อเขียนนามสกุลตัวเองได้ มันก็จะวัดไม่เข้มข้นเท่าแล้วกัน” ดร.ดิลกะ อธิบายเปรียบเทียบ “อย่างข้อสอบ PISA เขาสอบทีนี่ 2 ชั่วโมง แล้วก็มีการทดสอบทั้งด้านการอ่าน ด้านคณิตศาสตร์ ด้านวิทยาศาสตร์ นะครับ ฉะนั้นมันเข้มข้นกว่าแน่นอนอยู่แล้ว”
“คือ PISA นี่เขา test (ทดสอบ) ทุก 3 ปี รอบใหม่นี่ก็คือปีนี้แหละ แล้วก็กว่าผลจะออกมาก็อีกปีหนึ่งนะครับ ฉะนั้น PISA ผมว่าค่อนข้างจะเป็นเป็นไม้บรรทัดที่ดีนะในการวัดคุณภาพ” เขากล่าวเสริม พร้อมเปิดเผยด้วยว่าธนาคารโลก (World Monetary institution) ก็มักจะอ้างอิงข้อมูลจาก PISA เป็นหลักในการประเมินคุณภาพหรือแนะนำนโยบายต่าง ๆ เนื่องจากนอกจากจัดการทดสอบแล้ว PISA ยังเก็บข้อมูลพื้นฐานครอบครัวเด็ก และสัมภาษณ์บุคลากรในโรงเรียนถึงทรัพยากรในการเรียนการสอนที่มีด้วย

ที่มาของภาพ : Getty Ingenious
คุณภาพการศึกษาไทย เปรียบเทียบเพื่อนบ้านอาเซียน
ที่ปรึกษาทางเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกผู้นี้ ยังอ้างถึงผลการสอบวัดระดับ PISA ครั้งล่าสุดที่เพิ่งมีการทดสอบไปในปี 2022 ซึ่งพบว่าคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนไทย อยู่ในอันดับ 5 จาก 8 ประเทศอาเซียนที่เข้ารับการทดสอบ โดยเป็นรองสิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และมาเลเซีย
“ตรงนี้มันก็ไม่ได้น่าภูมิใจนะ เพราะว่าคะแนนในระดับจาก 80 ประเทศ คณิตศาสตร์ซึ่งเป็นโดเมนเทสต์ โดเมนหลักของปี 2022 นี่ เราอยู่ที่ 57 จาก 80 และตัวเลขที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือว่า ทางด้านคณิตศาสตร์เนี่ย เด็กไทยอายุ 15 มีมากถึง 68% นะ เกือบ 70% เลยนะครับ ที่ทาง PISA ประเมินว่า มีความสามารถ มีทักษะในคณิตศาสตร์ไม่ถึงขั้นพื้นฐาน” เขาระบุ
ดร.ดิลกะ มองว่า ผลคะแนนจากการทดสอบเมื่อปี 2022 “ไม่ได้ถือว่านาน” สำหรับการจะนำมาวัดคุณภาพทางการศึกษา ซึ่งตลอดกว่า 20 ปีที่ประเทศไทยทำการทดสอบ PISA มา พบว่ามีแนวโน้มของคะแนนทั้ง 3 วิชา คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และอ่าน ตกลงมาตลอด
ส่วนปัจจุบันจะมีพัฒนาการขึ้นหรือไม่ คงต้องรอการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการรายงานผลออกมาอย่างเป็นทางการในปี 2026
“แต่ว่าเราก็พอเดาได้นะ เทรนด์มันลงมาตลอด โอเค มันมีตกหนัก ๆ เลยตอนช่วงโควิด เพราะมันมีการปิดโรงเรียนนะครับ อย่างประเทศไทยนี่ ยกตัวอย่างคะแนนคณิตศาสตร์ ลงมาจาก 419 คะแนนนะ ลงมาอยู่ที่ประมาณ 394 คือตกลงมาต่ำกว่า 400” ดร.ดิลกะ ระบุ
“เราก็ต้องรอดูกัน 2025 เนี่ย ว่าผลมันจะออกเป็นอย่างไร แต่ผมคิดว่านะ ยังไงก็คงไม่กลับไปเท่าปี 2018 ตอนที่ 419 อันนี้ผมเดานะครับ ผมคิดว่ายังไงก็ไม่กลับไปตรงนั้น ผมคิดว่ามันน่าจะอยู่ในระหว่าง 400 – 419 นี่แหละ” เขาวิเคราะห์ให้บีบีซีไทยฟัง
ที่มา BBC.co.uk