ปปง.ตามยึดที่ดิน-เงินฝาก 2.2 ล้าน คดี พล.อ.สมโภชน์ เงินเจริญ อดีตที่ปรึกษาแม่ทัพภาค 4 กับพวก หลอกมีงบฯ จัดซื้อหลอดไฟแอลอีดี เครื่องออกกำลังกายให้ รร.ร้อยแห่งภาคอีสาน รู้จักผู้ใหญ่ในกระทรวงจัดสรรได้เรียกเก็บเงิน เสียหายกว่า 10 บริษัท กลับไม่มีโครงการ คดีอาญาถูกศาลสั่งจำคุก 20 ปี ปรับเงินคนละ 250,000 บาท
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย. 16 /2568 ลงวันที่ 20 มกราคม 2568 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวราย พลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ได้แก่ ที่ดินตามโฉนดที่ดิน ตำบลท่าข้าม อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 2 งาน 28.4 ตารางวา ราคาประเมิน 2,000,000 บาท เงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร 2 บัญชี ชื่อบัญชี บริษัท บังหมัด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดเงินคงเหลือจำนวน 143,119.52 บาท และ เงินในบัญชีเงินฝาก สาขาเซ็นทรัล พระราม 2 ยอดเงินคงเหลือจำนวน 73,635.56 บาท รวมราคาประเมินทั้งสิ้น 3 รายการ จำนวนประมาณ 2,216,755.08 บาท
พฤติการณ์ได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายว่า มีงบประมาณของทางราชการเพื่อจัดซื้อจัดจ้างหลอดไฟแอลอีดี (LED) เครื่องออกกำลังกาย เครื่องเล่นสนามเด็กเล่นกลางแจ้ง ตลอดจนครุภัณฑ์อื่น ๆ ให้กับโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาหลายร้อยโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อ้างว่าสามารถจัดสรรให้กับทางโรงเรียนได้ รู้จักกับผู้ใหญ่ในกระทรวงหรือหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวข้องจนทำให้บริษัทผู้เสียหายกว่า 10 บริษัท หลงเชื่อเข้าร่วมโครงการและจ่ายเงินค่าจองงาน ค่าลงนามในสัญญา จัดซื้อจัดจ้าง ค่าติดตั้งอุปกรณ์ ตลอดจนค่าดำเนินการอื่น ๆ ให้กับกลุ่มผู้ต้องหา แต่กลับไม่มีโครงการ ไม่มีงบประมาณของทางราชการ และไม่ได้รับเงินจากโครงการตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด มีลักษณะการกระทำเป็นขบวนการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ศาลอาญามีคำพิพากษา จำคุก พลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ และนายกิตติ์ธเนศ พิศาลวรวัฒน์ คนละ 20 ปี กับให้ปรับ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นเงินคนละ 250,000 บาท
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ปปง.ได้ให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดมูลฐานราย พลเอก สมโภชน์ เงินเจริญ กับพวกประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568
- ปปง.ให้ผู้เสียหายยื่นขอชดใช้คืน คดี พล.อ.สมโภชน์-พวก ฉ้อโกงเอกชนโครงการ‘ทิพย์’
สำหรับคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ มีรายละเอียดดังนี้
@ เปิดรายละเอียดคำสั่งยึดอายัดทรัพย์
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงาน จากกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม ตามหนังสือที่ ตช 0026.23/5105 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2561 เรื่อง รายงานพฤติการณ์บุคคลต้องสงสัยว่ากระทำผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ราย พลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ กล่าวคือ
@ หลอกเอกชนมีโครงการจัดซื้อจัดจ้างอ้างรู้จักผู้ใหญ่จัดสรรให้ได้- เรียกค่าตอบแทน
ระหว่างวันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2561 ได้มีผู้เสียหายหลายคนเข้าแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับ พลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก ซึ่งได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายว่า มีงบประมาณของทางราชการเพื่อจัดซื้อจัดจ้างหลอดไฟแอลอีดี (LED) เครื่องออกกำลังกาย เครื่องเล่นสนามเด็กเล่นกลางแจ้ง ตลอดจนครุภัณฑ์อื่น ๆ ให้กับโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาหลายร้อยโรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออ้างว่าสามารถจัดสรรให้กับทางโรงเรียนได้ รู้จักกับผู้ใหญ่ในกระทรวงหรือหน่วยงานของทางราชการที่เกี่ยวข้องจนทำให้บริษัทผู้เสียหายซึ่งมีจำนวนเกินกว่า 10บริษัท หลงเชื่อเข้าร่วมโครงการและจ่ายเงินค่าจองงาน ค่าลงนามในสัญญา จัดซื้อจัดจ้าง ค่าติดตั้งอุปกรณ์ ตลอดจนค่าดำเนินการอื่น ๆ ให้กับกลุ่มผู้ต้องหา แต่กลับไม่มีโครงการ ไม่มีงบประมาณของทางราชการ และไม่ได้รับเงินจากโครงการตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด อันเป็นการหลอกลวง ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย มีลักษณะการกระทำเป็นขบวนการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากซึ่งต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องพลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก ต่อศาลอาญา ในความผิดฐานฉ้อโกง และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร โดยผู้เสียหายได้เข้าร่วม เป็นโจทก์
@ คดีอาญาศาลสั่งจำคุก 20 ปี ปรับเงินคนละ 250,000 บาท
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 ศาลอาญาในคดีหมายเลขดำที่ อ1533/2563 หมายเลขแดง ที่ อ 2631/2566 ได้มีคำพิพากษาว่า บริษัท บังหมัดอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำเลยที่ 1 พลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ จำเลยที่ 2 บริษัท โอเมก้า เอสเอ็นซี จำกัด จำเลยที่ 3 และนายกิตติ์ธเนศ พิศาลวรวัฒน์ จำเลยที่ 4 กระทำความผิดเกี่ยวกับเอกสารและฉ้อโกง ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 คนละ 20 ปี กับให้ปรับ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3เป็นเงินคนละ 250,000 บาท นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ของกลุ่มผู้ต้องหายังพบว่าเคยกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการร่วมกันฉ้อโกงและความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ มาก่อนอีกหลายคดี อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า พลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
@ พฤติการณ์เข้าลักษณะความผิดมูลฐาน กม.ปปง.
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 10/2566 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ที่ประชุมมีมติมอบหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม.683/2566 ลงวันที่ 3พฤศจิกายน 2566 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำ ความผิด รายพลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก และคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การฟอกเงิน ลับ ที่ ม.628/2567 ลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) รายพลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคล ดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่าพลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน
@ พบถือครองที่ดิน – เงินฝาก 3 รายการ
และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้ง จากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 3รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ประกอบด้วย อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินตามโฉนดที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็น ผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองโดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดำเนินการ ทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้ และสังหาริมทรัพย์ ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น ได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิ ในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมา ศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าว กลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพลเอกสมโภชน์ เงินเจริญ กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา Forty eight วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 20มกราคม 2568 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 3รายการ พร้อมดอกผล ได้แก่
รายการที่ 1 ยึดที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 127491 เลขที่ดิน 54 หน้าสำรวจ 22618 ตำบลท่าข้าม อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 2 งาน 28.4 ตารางวา ผู้ถือกรรมสิทธิ์ นางสาวนันทกา
รายการที่ 2 อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 407-7-0053Xxชื่อบัญชี บริษัท บังหมัด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยอดเงินคงเหลือจำนวน 143,119.52 บาท (หนึ่งแสนสี่หมื่นสามพันหนึ่งร้อยสิบเก้าบาทห้าสิบสองสตางค์) (ณ วันที่ 18 ธันวาคม2567) และ
รายการที่ 3 อายัดเงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล พระราม 2 เลขที่บัญชี 033-0-9141xxชื่อบัญชี นางสาวนันทกา ภุชงค์ประเวศ ยอดเงินคงเหลือจำนวน 73,635.56 บาท(เจ็ดหมื่นสามพันหกร้อยสามสิบห้าบาทห้าสิบหกสตางค์) (ณ วันที่ 11ธันวาคม 2567)
รวมราคาประเมินทั้งสิ้นจำนวนประมาณ 2,216,755.08 บาท (สองล้านสองแสนหนึ่งหมื่นหกพันเจ็ดร้อยห้าสิบห้าบาทแปดสตางค์) พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่ คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือนับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 19 เมษายน 2568
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
ในกรณีผู้ซึ่งถูกยึดและอายัดทรัพย์สินตามคำสั่งนี้หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินดังกล่าวประสงค์ จะขอให้มีการเพิกถอนคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวนั้น ให้ยื่นคำขอเป็นหนังสือต่อเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพร้อมด้วยหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่แสดงว่าเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดดังกล่าวนั้นมิใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้ง คำสั่งเป็นหนังสือ
อนึ่ง การยักย้าย ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ทำให้สูญหายหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานยึดหรืออายัดไว้หรือที่ตนรู้หรือควรรู้ว่าจะตกเป็นของแผ่นดิน อาจมีความผิดทางอาญา และต้องระวางโทษตามนัยมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
สั่ง ณ วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )