ประเด็นกฎหมายที่ต้องคิดต่อ จากเอกสารข่าวแจกศาล คดี “ทรูไอดี” ฟ้อง กสทช. “พิรงรอง”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
คำตัดสินของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งสั่งจำคุก ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และต่อมาได้รับการประกันในชั้นอุทธรณ์ ในคดีที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ฟ้องร้องผิด ม.157 ออกหนังสือเตือนการโฆษณาแทรกในรายการที่เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “ทรูไอดี (TrueID)” นำมาสู่ปฏิกิริยาจากเครือข่ายสื่อ องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ภาควิชาการ และสถาบันการศึกษาด้านนิเทศศาสตร์หลายแห่ง
คำพิพากษาของศาลที่ปรากฏในเอกสารข่าวจากศาลอาญาคดีทุจริตฯ ชี้ว่า พฤติการณ์ของ ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง เป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ “มีเจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์” หรือ บริษัท ทรู ดิจิทัลฯ และใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
จากรายละเอียดคำพิพากษาฉบับย่อในเอกสารข่าวที่เผยแพร่จากศาลจำนวน 3 หน้า .สำรวจความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ได้แก่ ผศ.ดร.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน และ รศ.ดร.ณรงค์เดช สรุโฆษิต อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งร่วมแสดงความเห็นในเวทีเสวนา “พิรงรอง Acquire” ทิศทางกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคสื่อต่อจากนี้” ที่จัดโดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ในวันนี้ (7 ก.พ.)
หมายเหตุ – ความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญตั้งอยู่บนพื้นฐานคำพิพากษาฉบับย่อที่เอกสารข่าวจากศาลเผยแพร่จำนวน 3 หน้า เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2568 ซึ่งอาจมีการสรุปคำพิพากษาที่ไม่ครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมด
“ล้มยักษ์” ส่อ “เจตนาพิเศษ” หรือไม่
“ก่อนจบการประชุมของคณะอนุกรรมการ จำเลย (ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง) ให้เตรียมความพร้อมที่จะล้มหรือระงับการให้บริการแอปพลิเคชัน Upright ID ของโจทก์ (บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด) โดยใช้คำพูดว่า ‘ต้องเตรียมตัวจะ จะล้มยักษ์' และจำเลยก็ยอมรับว่า คำว่า ‘ยักษ์' หมายถึงโจทก์ ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เจตนามุ่งประสงค์กลั่นแกล้งโจทก์และใช้อำนาจหน้าที่ของตนไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด”
and continue finding outเรื่องแนะนำ
นี่คือบางส่วนของสรุปคำพิพากษาฉบับย่อในเอกสารข่าวแจก ซึ่งระบุถึงคำสำคัญที่เป็นพฤติการณ์ของกรรมการ กสทช. เกี่ยวกับการทำหนังสือเตือนเรื่องการแทรกโฆษณาบนแพลตฟอร์มของทรูไอดี ได้แก่ การใช้วิธีการ “ตลบหลัง” ทำหนังสือแจ้งต่อช่องรายการที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. และคำว่า “ล้มยักษ์”
ประเด็นนี้ ผศ.ดร.เข็มทอง มีข้อสังเกตว่า คำพูดที่ส่อเจตนามากกว่าการกำกับดูแลทั่วไป ได้แก่ ตลบหลัง, ล้มยักษ์ เป็นคำที่สามารถกเถียงได้เกี่ยวกับการเจตนา แต่ว่าไม่ได้มีน้ำหนักพอที่จะแสดงให้เห็นว่ามี “เจตนาพิเศษ” ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพราะจากที่ปรากฏ คำดังกล่าวเหมือนเป็นคำพูดที่ตัดมาเพียงคำเดียว โดยไม่มีบริบท ซึ่งการตัดมาเพียงคำเดียวอย่าง “ล้มยักษ์” อาจไม่ได้หมายถึงความตั้งใจหรือการทำให้เกิดความเสียหายขึ้นจริง
รายงานการประชุมที่ระบุว่า “เป็นเท็จ” ยังไม่ชัดเจน
พฤติการณ์ของจำเลยในการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2566 โดยจำเลยได้ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุม มีการต่อว่าและตำหนิฝ่ายเลขานุการที่มีการจัดทำหนังสือ โดยไม่ได้ระบุหรือเจาะจงถึงการให้บริการ Upright ID ของบริษัท ทรู ดิจิทัลฯ และในรายงานการประชุมของคณะอนุกรรมการพิจารณาอนุญาตด้านกิจการโทรทัศน์ ครั้งที่ 3/2566 ไม่ได้มีมติให้สำนักงาน กสทช. จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์โดยระบุเจาะจงถึงบริการ Upright ID
แต่ตามบันทึกรายงานการประชุมกลับมีการระบุว่า ที่ประชุมมีมติรับรองรายงานการประชุมครั้งที่ 3/2566 และเห็นควรมีหนังสือแจ้งผู้ให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ ทั้งที่ในความเป็นจริงการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 4/2566 ไม่ได้มีมติดังกล่าวแต่อย่างใด อันเป็น “การทำเอกสารรายงานการประชุมอันเป็นเท็จ”
ผศ.ดร.เข็มทอง กล่าวในประเด็นนี้ว่า ประเด็นนี้ยังมีความไม่ชัดเจนตามคำอธิบายในเอกสารข่าวแจก จึงต้องพิจารณาจากคำพิพากษาฉบับเต็มและพยานหลักฐานอีกครั้ง
สอดคล้องกับความเห็นของ รศ.ดร.ณรงค์เดช จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้เช่นกันว่ายังไม่ชัดเจน
“การจด (รายงานการประชุม) เท็จนี่ใครจด ถ้ามีการจดเท็จจริง ใครเป็นคนจด และมีพยายานหลักฐานนำสืบชัดแจ้งขนาดไหนว่ามีการสั่งการหรือเปล่า ถึงจะมีความผิดได้ เป็นคำถามที่เกิดขึ้น” นักวิชาการกฎหมายกล่าว และบอกด้วยว่า รายละเอียดอาจอยู่ในคำพิพากษาฉบับเต็ม ซึ่งอาจมีคำตอบที่ทำให้ข้อสงสัยตกไปได้
สถานะของ “จดหมายเตือน” และปมเจตนาคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ
จากเอกสารข่าวของศาล ถึงการทำหนังสือแจ้งต่อผู้ได้รับอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ทุกรายทราบเกี่ยวกับการให้บริการแอปฯ ทรูไอดี ของโจทก์เพียงรายเดียวว่ายังไม่ได้เป็นผู้รับอนุญาติประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ และยังมิได้แสดงความประสงค์ขอรับใบอนุญาตตามขอบเขตการได้รับบริการประเภทโครงข่ายไอพีทีวี
ผศ.ดร.เข็มทอง ชี้ว่า หนังสือเตือนดังกล่าว ไม่ได้มีสถานะเป็นการสั่งการ เมื่อเทียบกับกฎหมายปกครองที่เมื่อสั่งการแล้วจะมีผลทางกฎหมายในอีกอย่างหนึ่ง หนังสือเตือน หรือการพูดเตือนขึ้นมาลอย ๆ ต้องมีการพิสูจน์ว่าเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 หรือไม่
“ในทางกฎหมายปกครอง ไม่ถือว่าเป็นการออกคำสั่ง จึงทำให้ดูว่าอาจจะไม่ครบองค์ประกอบตาม ม.157 หรือไม่ คำเตือนมีสถานะเป็นอะไรกันแน่ ยกเว้นจะมีคำสั่งลงโทษด้วย แต่เท่าที่ดูตอนนี้ยังไม่มี”

ที่มาของภาพ : WATCHIRANONT THONGTEP/BBC THAI
ตามมาตรา 157 ระบุว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต”
ด้าน รศ.ดร.ณรงค์เดช สุรโฆษิต อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ แสดงความเห็นในประเด็นจดหมายแจ้งเตือนซึ่งเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีว่า จดหมายดังกล่าวเป็นการแจ้งไปยังผู้รับใบอนุญาต ไม่ได้แจ้งไปยังผู้ฟ้อง/โจทก์ (บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด) ซึ่งผู้รับใบอนุญาตรายต่าง ๆ ถูกกำกับควบคุมให้ปฏิบัติตามกฎหมายหรือประกาศโดยสำนักงาน กสทช. อยู่แล้ว
“ปกติแล้วคำเตือนไม่ได้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิในทางกฎหมาย คุณจะเอาคำเตือนไปฟ้องศาลปกครองเขาไม่รับ เว้นแต่คุณเตือนบางอย่าง ที่หากไม่ทำตามคำเตือน คุณจะติดคุกทางอาญา อันนี้เป็นเงื่อนไขอีกแบบ ตรงนี้สิ่งที่อยากให้ดูกันต่อไปคือ เนื้อหาจริง ๆ ในคำเตือนมันรุนแรงขนาดไหน”
รศ.ดร.ณรงค์เดช ยังกล่าวด้วยว่า เงื่อนไของค์ประกอบที่จะเป็นการกระทำตาม ม.157 คือ การมี “เจตนาพิเศษ”
เขาอธิบายว่า เจตนาปกติคือความประสงค์ต่อผล หรือมุ่งหมายให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ ม.157 โดยเนื้อหาแล้วการจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้หนึ่งผู้ใดต้องเป็นการจงใจกลั่นแกล้ง แต่กรณีนี้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ได้ต้องมีอำนาจตามกฎหมายเพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือคุ้มครองผู้บริโภค
“เท่าที่ติดตามและเนื้อหาในเอกสารข่าว มติการออกจดหมายเตือน คือเพื่อเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะและการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนั้น จึงเป็นคำถามในฐานะนักวิชาการว่า จะเข้าเจตนาพิเศษหรือกลั่นแกล้งหรือไม่ เพราะเอาเข้าจริง ๆ มีประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคในการเสพสื่อกรณีนี้ด้วย”
ความได้สัดส่วนของการลงโทษ
ผศ.ดร.เข็มทอง กล่าวว่า การตัดสินความผิดเป็นเรื่องของพยานหลักฐาน แต่เมื่อปรากฏว่าศาลลงโทษจำคุก โดยไม่รอลงอาญา ทำให้ตนแปลกใจว่า คนที่ไม่เคยถูกลงโทษหรือไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อน และเข้าใจว่าไม่ใช่ความผิดร้ายแรงจากการออกจดหมายเตือนที่ไม่ได้มีใครเสียหาย เหตุใดจึงมีคำตัดสินลงโทษโดยไม่รอลงอาญา
“ที่ผ่านมาถ้าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เคยทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ ยังมีการรอการกำหนดโทษก็มี หรือรอลงอาญาก็มี แต่การไม่รอลงอาญาเราอธิบายไม่ได้จริง ๆ ผิดหรือไม่ผิดถกเถียงกันได้ในแง่ข้อเท็จจริงในสำนวนซึ่งเราไม่เห็น แต่มาตรฐานการไม่รอลงอาญา คนที่คุ้นกับวงการกฎหมายอาจจะตกใจนิดหนึ่ง เพราะตามมาตรฐานที่เคยเรียนมา ไม่น่าไปทางนั้นได้”
ที่มา BBC.co.uk