“ผมสูญเสียฟันไป 9 ซี่ ระหว่างถ่ายทำสควิดเกม” ผู้กำกับเปิดใจกับบีบีซี
Article recordsdata
- Creator, ฌอง แม็คเคนซี
- Role, ผู้สื่อข่าวบีบีซีประจำกรุงโซล เกาหลีใต้
เมื่อบีบีซียิงคำถามใส่ผู้สร้างซีรีส์เรื่อง Squid Game หรือ “สควิดเกม เล่นลุ้นตาย” ถึงรายงานข่าวว่าเขาเกิดภาวะเครียดจัด จนฟันหักไป 6 ซี่ ในขณะถ่ายทำซีรีส์ภาคแรกจริงหรือไม่ เขารีบแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ว่า “ตอนนั้นฟันผมหายไป 8-9 ซี่” ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมา
บีบีซีพูดคุยกับ ฮวัง ดง-ฮยอก ผู้กำกับและเขียนบทสควิดเกมในกองถ่าย ขณะที่เขากำลังถ่ายทำภาค 2 ของซีรีส์แนวดิสโทเปียสุดระทึกขวัญของเน็ตฟลิกซ์ โดยตัวละครซึ่งเป็นผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยคนต้องต่อสู้เพื่อช่วงชิงเงินรางวัลก้อนโตจากการเล่นเกมสมัยเด็ก ซึ่งกลายเป็นเกมท้าความตาย
การสร้างซีรีส์ภาคต่อหาได้อยู่ในแผนเสมอมา ผู้กำกับรายนี้เคยปวารณาเอาไว้ว่าจะไม่ทำซีรีส์ภาคใหม่ หากพิจารณาจากความเครียดที่เกิดขึ้น ว่าแต่อะไรทำให้เขาเปลี่ยนใจ
“เงิน” เขาตอบโดยไม่ลังเล
“ถึงแม้ว่าซีรีส์ภาคแรกจะประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลไปทั่วโลก แต่พูดตามตรง ผมได้เงินไม่มากนัก ดังนั้นการสร้างภาค 2 จะช่วย[ทำเงิน]ชดเชยความสำเร็จจากซีรีส์ภาคแรกได้ด้วย” ผู้กำกับวัย fifty three ปี กล่าว
Skip เรื่องแนะนำ and proceed finding outเรื่องแนะนำ
Discontinue of เรื่องแนะนำ
“และผมยังเล่าเรื่องไม่จบ” เขากล่าวเสริม
สควิดเกมภาคแรกเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเน็ตฟลิกซ์จนถึงปัจจุบัน โดยผลักดันให้เกาหลีใต้และละครโทรทัศน์ในประเทศได้รับความสนใจ การเปิดเผยเรื่องราวด้านมืดเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในสังคมในซีรีส์นี้โดนใจผู้ชมทั่วโลก
แต่หลังจากตัวละครถูกสังหารไปเกือบทุกตัว ฮวาง ต้องเริ่มต้นใหม่ด้วยการควานหานักแสดงและเกมชุดใหม่ ท่ามกลางความคาดหวังของผู้ชมที่สูงลิ่ว
“ตอนนี้ผมรู้สึกเครียดมากขึ้นมาก” เขากล่าว
3 ปีหลังจากซีรีส์ภาคแรกออกอากาศ ฮวาง มีมุมมองในแง่ร้ายมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลก
เขาชี้ไปที่สงครามในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และช่องว่างทางรายได้ที่ถ่างกว้างขึ้นทั่วโลก อีกทั้งความขัดแย้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระหว่างคนรวยกับคนจนอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นระหว่างคนต่างรุ่น ต่างเพศ และต่างค่ายทางการเมือง
“เส้นแบ่งใหม่กำลังถูกขีดขึ้น เราอยู่ในยุคสมัยที่พวกเราต่อสู้กับพวกเขา ใครถูกและใครผิดกันแน่ ?”
ในขณะที่บีบีซีเดินเยี่ยมชมฉากถ่ายทำ ซึ่งมีบันไดสีสันสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้ เราก็พบร่องรอยความสิ้นหวังที่ผู้กำกับวางไว้และจะสะท้อนออกมาในภาคใหม่
ในซีรีส์ภาคนี้ ผู้ชนะในครั้งก่อนอย่าง กีฮุน จะกลับเข้าสู่เกมอีกครั้งเพื่อภารกิจในการล้มเกมและช่วยเหลือผู้เข้าแข่งขันรอบล่าสุด ตามที่ อี จอง-แจ ผู้รับบทเป็นตัวละครนำ กล่าวไว้ว่า เขา “สิ้นหวังและมุ่งมั่นมากขึ้น” กว่าเมื่อก่อน
พื้นหอพักที่ผู้เข้าแข่งขันนอนในเวลากลางคืนถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกถูกล้อมด้วยไฟนีออนสีแดงขนาดใหญ่ที่มีสัญลักษณ์ตัวอักษรเอ็กซ์ (X) อีกส่วนมีวงกลมสีน้ำเงิน
ในครั้งนี้ หลังจากจบแต่ละเกม ผู้เล่นทุกคนจะต้องเลือกฝ่าย ว่าพวกเขาต้องการยุติการแข่งขันและรอดชีวิตกลับไป หรือจะยังคงเล่นเกมต่อไปโดยรู้ว่าทุกคนจะต้องตายยกเว้นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว ผลจะเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งและการทะเลาะเบาะแว้งกันมากขึ้น
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงเรื่องที่ผู้กำกับฮวางเปิดเผยถึงอันตรายของการใช้ชีวิตในโลกที่แบ่งแยกพวกเขาพวกเรามากขึ้น เขาเชื่อว่าการบังคับให้ผู้คนเลือกฝ่ายจะทำให้เกิดความขัดแย้ง
สำหรับผู้ที่หลงใหลในเรื่องราวที่น่าตกใจของสควิดเกม ที่จริงยังมีอีกหลายคนที่พบว่ามันรุนแรงเกินไปและยากเกินกว่าจะรับชมได้
แต่จากการพูดคุยกับ ฮวาง จะเห็นได้ชัดว่าความรุนแรงนั้นผ่านการคิดมาอย่างดี เขาเป็นคนที่คิดและใส่ใจโลกอย่างลึกซึ้ง และมีแรงจูงใจจากความไม่สบายใจที่เพิ่มมากขึ้น
“เมื่อทำซีรีส์นี้ ผมถามตัวเองอยู่เสมอว่า ‘มนุษย์อย่างเรามีความสามารถพอที่จะนำโลกออกจากเส้นทางที่นำไปสู่จุดตกต่ำนี้หรือไม่’ พูดตามตรง ผมไม่รู้” เขากล่าว
แม้ว่าผู้ชมซีรีส์ภาค 2 อาจไม่ได้รับคำตอบสำหรับคำถามใหญ่ ๆ ในชีวิต แต่พวกเขาจะสบายใจได้ว่า อย่างน้อยพล็อตเรื่องบางส่วนจะได้รับการเติมเต็ม เช่น ทำไมถึงมีเกมนี้ และอะไรคือแรงผลักดันของตัวละครอย่าง Front Man หรือชายใต้หน้ากากที่เป็นผู้ควบคุมเกมนี้
“ผู้คนจะได้เห็นอดีตของ Front Man เรื่องราวของเขา และอารมณ์ของเขามากขึ้น” อี บยอง-ฮอน นักแสดงผู้รับบทเป็นตัวละครลึกลับ กล่าว และว่า “ผมไม่คิดว่าสิ่งนี้จะทำให้ผู้ชมรู้สึกอบอุ่นกับเขา แต่อาจช่วยให้คนดูเข้าใจทางเลือกของเขามากขึ้น”
ในฐานะนักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของเกาหลีใต้ อี ยอมรับว่าการที่ใบหน้าและดวงตาของเขาถูกปิดและเสียงของเขาบิดเบือนไปตลอดทั้งซีรีส์แรกนั้น “ค่อนข้างจะไม่น่าพอใจ”
ในซีรีส์เรื่องนี้ เขาชื่นชอบฉากที่เขาไม่ต้องใส่หน้ากาก ซึ่งเขาสามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาแทบจะไม่มีโอกาสได้ทำ
ฮวางพยายามสร้างสควิดเกมมานาน 10 ปี เขาต้องกู้เงินก้อนโตมาใช้จ่ายในครอบครัว ก่อนที่เน็ตฟลิกซ์จะเข้ามา
เน็ตฟลิกซ์จ่ายเงินล่วงหน้าให้ฮวางเพียงเล็กน้อย และทำให้เขาไม่มีส่วนได้เสียกับเม็ดเงินกว่า 650 ล้านปอนด์ (ราว 28,000 ล้านบาท) ที่คาดว่าซีรีส์ภาคแรกได้ทำให้กับแพลตฟอร์ม
นี่อธิบายความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดที่ผู้สร้างภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเกาหลีใต้มีกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงนานาชาติในปัจจุบันได้อย่างดี
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เน็ตฟลิกซ์ได้เข้ามาบุกตลาดเกาหลีด้วยเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ทำให้อุตสาหกรรมนี้ได้รับการยอมรับและชื่นชอบจากทั่วโลก ทว่าก็ทำให้ผู้สร้างรู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ
พวกเขากล่าวหาว่า แพลตฟอร์มบังคับให้พวกเขาสละลิขสิทธิ์เมื่อเซ็นสัญญา และทำให้พวกเขาเรียกร้องผลกำไรไม่ได้
นี่เป็นปัญหาทั่วโลก
ในอดีต ผู้สร้างสามารถพึ่งพาส่วนแบ่งจากการขายตั๋วหรือรายการรีรันทางโทรทัศน์ได้ แต่ผู้ให้บริการสตรีมมิงยักษ์ใหญ่ไม่ได้นำสัญญารูปแบบนี้มาใช้
เหล่าผู้สร้างซีรีส์กล่าวว่า ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้นในเกาหลีใต้ เนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์อันล้าสมัยซึ่งไม่ได้คุ้มครองพวกเขา
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา นักแสดง นักเขียน ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ได้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับระบบนี้
“ในเกาหลี การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เป็นเพียงตำแหน่งงาน ไม่ใช่หนทางในการหารายได้” โอ กี-ฮวาน รองประธานสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์เกาหลี กล่าวกับผู้ฟังในงานอีเวนต์แห่งหนึ่งที่กรุงโซล
เขาบอกว่า เพื่อนผู้กำกับของเขาบางคนต้องทำงานพาร์ทไทม์ในโกดังและหลายคนเป็นคนขับรถแท็กซี่
พัค แฮ-ยอง นักเขียน เล่าว่า เมื่อเน็ตฟลิกซ์ซื้อซีรีส์ของเธอเรื่อง “My Liberation Notes” หรือ “ปล่อยใจสู่เสรี” ไปเผยแพร่ มันก็ได้กลายเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
“ฉันเขียนมาตลอดชีวิต ดังนั้นการได้รับการยอมรับในระดับโลกเมื่อต้องแข่งขันกับผู้สร้างจากทั่วโลกจึงเป็นประสบการณ์ที่น่ายินดี” เธอเล่าให้บีบีซีฟัง
แต่ พัค แฮ-ยอง บอกว่ารูปแบบการสตรีมมิงในปัจจุบันทำให้เธอลังเลที่จะ “ทุ่มสุดตัว” ให้กับซีรีส์เรื่องต่อไปของเธอ
“ปกติแล้ว ฉันจะใช้เวลา 4 หรือ 5 ปีในการสร้างซีรีส์ โดยเชื่อว่าหากประสบความสำเร็จ มันก็จะช่วยรับประกันอนาคตของฉันได้ในระดับหนึ่ง ฉันจะได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทนที่เหมาะสม ถ้าไม่มีสิ่งนั้นแล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ต้องทำงานหนักขนาดนั้นด้วย”
เธอและผู้สร้างคนอื่น ๆ กำลังกดดันให้รัฐบาลเกาหลีใต้เปลี่ยนแปลงกฎหมายลิขสิทธิ์เพื่อบังคับให้บริษัทผู้ผลิตต้องแบ่งปันผลกำไรของตน
รัฐบาลเกาหลีใต้กล่าวกับบีบีซีผ่านแถลงการณ์ว่า แม้ว่ารัฐบาลจะยอมรับว่าระบบการชดเชยจำเป็นต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมเองที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้
ขณะที่เน็ตฟลิกซ์ปฏิเสธจะให้ความเห็นใด ๆ กับบีบีซี
ผู้กำกับฮวางจากสควิดเกมหวังว่า การที่เขาพูดตรงไปตรงมาเกี่ยวกับปัญหาค่าจ้างของตัวเองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เขาจุดประกายบทสนทนาเรื่องค่าจ้างที่ยุติธรรม และซีรีส์ภาค 2 นี้จะช่วยให้วงการนี้คึกคักขึ้นอย่างแน่นอน
แต่เมื่อคุยกันต่อหลังจากถ่ายทำเสร็จ เขาบอกว่า เขาเริ่มจะปวดฟันอีกแล้ว
“ผมยังไม่ได้ไปหาหมอฟัน แต่ผมว่าคงต้องถอนฟันออกอีกสัก 2-3 ซี่เร็ว ๆ นี้”
ซีรีส์สวิดเกมภาค 2 มีกำหนดฉายทางเน็ตฟลิกซ์ วันที่ 26 ธ.ค. นี้
ที่มา BBC.co.uk