ภารกิจปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของ “หลิว จงอี้” กับปมอธิปไตยไทย สะท้อนปัญหาอะไรบ้าง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
Article data
- Creator, วัชชิรานนท์ ทองเทพ
- Feature, ผู้สื่อข่าว.
แม้ภารกิจปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารหน่วยงานด้านความมั่นคงของจีนจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่สังคมบางส่วนยังคงมีข้อกังวลและกังขาทั้งต่อบทบาทของทางการจีนและไทย ว่าจัดวางกันอย่างไรในเรื่องนี้ โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการรุกล้ำอธิปไตย
จากคำให้สัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังจากหารือกับนายหลิว จงอี้ พร้อมด้วยผู้ช่วยทูตทหารจีน ที่กระทรวงกลาโหม ที่อ้างคำพูดของผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านความมั่นคงของจีนว่า การทำงานของเขาในไทย เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้
ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า ดูเหมือนภารกิจของนายหลิว จงอี้ เป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยนั้น รมว.กลาโหมของไทยก็ได้ถ่ายทอดข้อความของนายหลิว จงอี้ ว่า เขาเคารพในอธิปไตยของไทยและกฎหมายไทย พร้อมกับกล่าวว่าเขากล่าวขอโทษคนไทยที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ
“อาจเป็นความเร่งร้อนและมุ่งมั่นมากเกินไป เพราะห่วงประชาชนของตัวเองจีน จึงทำให้เกิดความไม่เข้าใจไปบ้าง” นายภูมิธรรมกล่าวอ้างถึงคำพูดของผู้ช่วยรัฐมนตรีด้านความมั่นคงของจีนในการแถลงข่าวในวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการรัฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญที่ทำวิจัยเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเห็นสอดคล้องกันว่า ภารกิจของนายหลิว จงอี้ ทั้งในไทยและเมียนมา สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดำรงอยู่มานานของราชการไทย และกลายเป็นโจทย์สำคัญของหน่วยงานความมั่นคง รัฐบาล และการต่างประเทศ ว่าจะบูรณาการกันอย่างไร เพื่อชะลอบทบาทมหาอำนาจอย่างจีน
เรื่องแนะนำ
Hand over of เรื่องแนะนำ
จุดอ่อน: ไร้เจ้าภาพ มีปัญหาเชิงโครงสร้าง
ปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงรูปแบบตามยุคสมัย แต่สำหรับภัยการหลอกลวงทางโทรศัพท์ มิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Name Center) เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะมูลค่าความเสียหายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ที่มาของภาพ : thaipoliceonline.com
จากข้อมูลการแจ้งความออนไลน์ คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่เผยแพร่โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ระบุว่า ความเสียหายตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 20 ก.พ. 2568 มีคดีออนไลน์ 49,063 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 3,959 ล้านบาท ส่วนหนึ่งในนั้นมีส่วนเกิดมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีต้นตอมาจากเมืองสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้านโดยกลุ่มทุนจีนสีเทา และเป็นสาเหตุให้ทางการจีนส่งนายหลิว จงอี้เข้ามาจัดการ
“นี่เป็นปัญหาแฝงฝังลึกอยู่ในระบบสังคมการเมืองชายแดน โดยเฉพาะชายแดนไทย-เมียนมาอยู่แล้ว ขณะที่ประเทศไทยก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างในการบริหารจัดการชายแดนที่ทำให้เกิดความไม่คล่องตัว ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการรับส่วยของเจ้าหน้าที่บางกลุ่ม โครงสร้างระบบอุปถัมถ์ข้ามแดน ทำให้เกิดการพึ่งพิงพึ่งพาช่วยเหลือกันระหว่างตัวแสดงต่าง ๆ ของทั้งสองฝั่งชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะลุ่มแม่น้ำเมยอย่างเด่นชัด” รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา กล่าวกับ.
จากสภาพปัจจัยข้างต้น นักวิชาการรายนี้จึงมองว่า นี่จึงทำให้ประเทศไทยรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะการที่ขาดหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็น “เจ้าภาพ” ยิ่งทำให้การพิจารณาดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้เป็นไปอย่างล่าช้า
ส่วนกลไกในภูมิภาคอย่างคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นไทย – เมียนมา (Township Border committee – TBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) ในปัจจุบันก็ถือว่ายังไม่เพียงพอในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นจีนเทา ซึ่งไม่ใช่แพลตฟอร์มหรือกลไกที่รองรับจีน

ที่มาของภาพ : สมจิตร รุ่งจำรัสรัศมี/BBC THAI
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ดุลยภาค ตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากที่รัฐบาลไทยมีท่าทีเอาจริงเอาจังกับ “มาตรการ 3 ตัด” คือ ตัดไฟฟ้า ตัดการส่งน้ำมัน และตัดเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแล้ว เป็นการส่งสัญญาณบวกให้กับทางการจีน ซึ่งแต่เดิมมีความมุ่งมั่นอยากจะจัดการปัญหานี้อยู่แล้วระยะหนึ่ง จึงทำให้ทางการจีนตัดสินใจเข้ามามีบทบาทในการร่วมบริหารชายแดนหรือแก้ปัญหาจีนเทามากขึ้น
แม้ว่าภารกิจของนายหลิว จงอี้ดูเหมือนจะสำเร็จลุล่วงลงด้วยการนำคนจีนกลับประเทศได้ แต่นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาผู้นี้ชี้ให้เห็นว่า ฝ่ายไทยก็มีปัญหาหลายประการที่ยังจัดการไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบราชการ ความหละหลวมในบริหารจัดการหรืองานข่าวกรองสื่อสารของไทยและฝ่ายเมียนมา การหาเจ้าภาพในหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นช่องโหว่ จนทำให้การทำงานของทางการจีนดูดำเนินการรวบรัดเกินไป ลดตัดช่องทางที่เยื้ดเยื้อบางอย่างของไทยออกไป จนทำให้ดูเหมือนไทยไม่มีบทบาทมากนักในการดำเนินการเรื่องนี้
อีกหนึ่งในประเด็นที่นักวิชาการรายนี้ชี้ให้เป็นว่าเป็นจุดอ่อนของฝ่ายรัฐไทยคือ การบูรณาการข่าวกรองของหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงไม่เป็นเอกภาพและขาดการแลกเปลี่ยนกันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น กองทัพบกก็มีกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งทำงานงานข่าวความมั่นคงรูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่ เรื่องจีนเทา คอลเซ็นเตอร์ แต่ตำรวจตระเวนชายแดนก็มีอีกชุดข้อมูล กองอาสารักษาดินแดน ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ก็มีทีมทำงานและชุดข้อมูลอีกแบบ นี่ยังไม่รวมกับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพ
“เวลาจะเอาข้อมูลของแต่ละหน่วยมาสังเคราะห์เพื่อให้เกิดงานข่าวกรองด้านการสื่อสารเป็นระบบร่วมที่มีเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่เพราะปัญหาข้างต้น จึงทำให้ไม่สามารถทำได้สำเร็จ”
โจทย์ใหญ่: หน่วยงานความมั่นคงของไทย
ก่อนที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีนจะเดินทางกลับไปพร้อมกับกลุ่มชาวจีนกลุ่มแรกถูกส่งตัวออกจากเมืองชเวโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ทางการจีนได้เสนอมาตรา 4 ข้อ เพื่อเป็นการปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งนายภูมิธรรมระบุว่า ไทยปฏิเสธหนึ่งใน 4 ข้อเสนอที่ทางการจีนต้องการให้ไทยปิดกั้นสิ่งอุปโภคบริโภคไปยังเมียนมา เนื่องจากเหตุผลหลักมนุษยธรรม
ส่วนข้อเสนอที่เหลือ ประกอบด้วย
- การเสริมสร้างกลไกไตรภาคีที่เป็นรูปธรรมโดยความร่วมมือระหว่างไทย เมียนมา และจีน เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ให้เป็นแบบอย่างในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างเป็นรูปธรรม คาดว่าจะหารือเรื่องนี้ในสัปดาห์หน้า
- มาตรการตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต ตัดน้ำมัน ใน จ.เมียวดี ประเทศเมียนมา ต่อไป จนกว่าจะพิสูจน์ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะเบาบางจนถึงหมดไป พร้อมสกัดไม่ให้อาชญากรย้ายฐานไปที่อื่น
- ไทยจะช่วยเหลือในการส่งกลับคนจีนที่มีทั้งเหยื่อและผู้ร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปัจจุบันมีชาวจีนที่ผ่านการคัดกรองอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา 600 คน ซึ่งทางจีนจะส่งเครื่องบินมารับทั้งหมด 3 เที่ยว แบ่งเป็นเที่ยวละ 200 คน ห่างกัน 3 วัน

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
รศ.ดร.พิทยา สุวคันธ์ อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง บอกกับ.ว่า ผลของการจัดการปัญหาดังกล่าวของทางการจีน ก็มีผลกระทบเชิงบวกอยู่บ้าง อย่างน้อยก็ทำให้เกิดความร่วมมือในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลมากขึ้น มีข้อตกลงใหม่ ๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น
รศ.ดร.พิทยาชี้ให้เห็นว่า นี่ยังถือเป็น “โจทย์ใหญ่” สำหรับหน่วยงานด้านความมั่นคง เนื่องจากว่า ในปัจจุบัน อาชญากรรมในโลกออนไลน์ หรือ สแกมเมอร์ไม่หายไปไหน เนื่องจากข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีดิจิทัล กลุ่มทุนจีนออนไลน์สามารถเคลื่อนที่ไปได้เสมอ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมากมายนัก
“ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องทำงานประสานกันกับทุกฝ่าย ตำรวจ รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลที่ควรจะใช้โอกาสที่ปีนี้ที่ไทยและจีนฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี เพื่อหาวิธีการทำงานกันอย่างสร้างสรรค์ เมื่อไม่ให้ในอนาคตจะไม่เกิดประเด็นการรุกล้ำอธิปไตยกันอีกในอนาคต” รศ.ดร.พิทยา กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค เสนอแนะว่า รัฐบาลไทยและฝ่ายความมั่นคงไม่ควรปล่อยผ่านเรื่องการสืบสวนกลุ่มชาวจีนถูกส่งตัวกลับจีนโดยไม่ผ่านระบบยุติธรรมของไทย และอาจจะไม่สามารถเรียกร้องความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับความเสียหายหลายแสนรายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย จนกลายเป็นคำถามต่อ “เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
แนวความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับทัศนะของ รศ.ดร.พิทยา ที่ว่า การส่งตัวชาวจีนอาจจะเป็นการตัดตอนข้อมูลบางอย่างที่มีเครือข่ายคนไทย หรือที่เรียกว่า “ไทยเทา” มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม ก็เรียกร้องให้ทางการไทยประสานทางการจีนให้แบ่งปันฐานข้อมูลบุคคลที่ก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการแบล็กลิตส์หรือขึ้นบัญชีดำบุคคลดังกล่าวไว้ในอนาคต
บทบาทในสัดส่วนที่เหมาะสมของจีนควรเป็นอย่างไร
แม้ว่าภาพที่สื่อออกมาผ่านสื่อมวลชนนับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยเดินทางเยือนจีน ตามมาด้วยการเดินทางเข้าปราบปรามของนายหลิว จงอี้เป็นส่วนสะท้อนความสัมพันธ์ที่กระชับแนบแน่นมากขึ้นระหว่างจีนและไทย แต่ประเด็นความน่ากังวลในทัศนะของ รศ.ดร.ดุลยภาค คือ ประเทศไทยควรทอดจังหวะให้จีนเข้ามาช่วยเหลือแก้ปัญหานี้ในสัดส่วนที่เหมาะสม
“บางอย่างถ้าเราจะมีบทบาทนำได้ ก็ควรจะนำเพราะเป็นพื้นที่อธิปไตยของเรา คนที่ส่งเข้ามาก็อยู่ในชายแดนเรา ชายแดนที่ติดกับเมียนมาก็เป็นชายแดนของเรา เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็ต้องมีอิทธิพลและบทบาท อย่างไรก็ตาม ก็ยอมรับว่า เรารับบทนำทั้งหมดไม่ได้ เพราะทรัพยากรมีอย่างจำกัดและเราไม่ใช่ชาติมหาอำนาจในระดับจีน” อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos
รศ.ดร.ดุลยภาค ยังชี้ไปยังความพยายามขยายขอบเขตด้านความมั่นคงของทางการจีน ตามข้อริเริ่มโครงการสายแถบและเส้นทาง (Belt and Avenue Initiative – BRI) ซึ่งเน้นการลงทุนของจีนไปยังภูมิภาคต่าง ๆ รวมทั้งลุ่มแม่น้ำโขง ที่นอกจากจะเป็นการดึงดูดนักลงทุนจีนแล้วยังทำให้กลุ่มจีนเทาฉวยโอกาสตามไปลงทุนด้วย นั่นจึงทำให้ทางการจีนพยายามที่จะส่งหน่วยความมั่นคงเข้าไปเพื่อปกป้องธุรกิจเศรษฐกิจจีนและจัดการกับกลุ่มจีนเทาไปด้วย แต่การจะส่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนเข้าไปมีบทบาทก็จะเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศอย่างปากีสถานและเมียนมา
“ในสุดท้ายแล้ว การเจรจาของจีนและเมียนมาออกมาในรูปแบบโมเดลการตั้งบริษัทเอกชนด้านการรักษาความปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาคุ้มครองผลประโยชน์ที่อยู่ลึกเข้าไปในเมียนมา หรือ ปากีสถาน ผมจึงคิดว่า ไม่ต้องการให้โมเดลเช่นนี้มาเกิดใกล้กับชายแดนไทย” เขาแสดงความกังวล
“ในอนาคตหากเราไม่ชะลอบทบาทของจีน แต่พื้นที่ตรงนั้นมีการประกอบธุรกิจหรือโลจิสติกส์ต่าง ๆ ย่อมดึงดูดจีนให้มาพิทักษ์ผลประโยชน์ของตัวเอง ไทยสามารถมีมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามจีนเทาในบางปริมณฑล ปล่อยให้จีนเข้ามาจัดการบ้างในสัดส่วนที่เหมาะสม แต่ไม่มีอิทธิพลมากจนเกินไป” เขากล่าวทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk