มาตรการภาษีของทรัมป์จะหยุดหยั้งการเป็นผู้นำด้านการผลิตของจีนได้หรือไม่

ที่มาของภาพ : Getty Photos

มาตรการทางภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ถือว่าโจมตีเข้าตรงกลางหัวใจของการเป็นผู้นำภาคการผลิตของจีน

Article files

  • Author, โจเอล กวินโต
  • Feature, บีบีซีนิวส์
  • Reporting from Singapore

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ใช้มาตรการด้านภาษีเป็นครั้งที่สองต่อจีน ซึ่งจะทำให้สินค้านำเข้าจากจีนต้องถูกจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 20%

นี่ถือเป็นการโจมตีรอบล่าสุดต่อรัฐบาลกรุงปักกิ่ง ที่เดิมต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บภาษี 100% ในสินค้าประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน ไปจนถึงอัตราภาษี 15% ในสินค้าประเภทเสื้อผ้าและรองเท้า

การโจมตีทางการค้าครั้งนี้ของทรัมป์ถือว่าเป็นการฟาดลงตรงใจกลางความเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาคการผลิตของจีน ที่ประกอบด้วยโครงข่ายโรงงาน สายพานการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่ผลิตและขายแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เสื้อผ้าในอุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น ของเล่น ไปจนถึงแผงโซลาร์เซลล์และรถยนต์ไฟฟ้า

ในปี 2024 จีนได้ดุลการค้าระหว่างประเทศสูงเป็นประวัติกาลที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากมูลค่าการส่งออก 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

จีนถือว่าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลกมายาวนาน ซึ่งผงาดขึ้นมาได้เนื่องจากมีแรงงานราคาถูก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จากรัฐนับตั้งแต่จีนเปิดประเทศให้ธุรกิจระหว่างประเทศเข้ามาทำธุรกิจได้ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970

and continue finding outเรื่องแนะนำ

Stay of เรื่องแนะนำ

แล้วสงครามการค้าระลอกใหม่ของทรัมป์จะส่งผลกระทบด้านลบต่อความสำเร็จในภาคอุตสาหกรรมการผลิตของจีนมากน้อยเพียงใด ?

ภาษีศุลกากรคืออะไร

ภาษีศุลกากรคือภาษีที่จัดเก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ส่วนมากภาษีประเภทนี้จะถูกกำหนดให้คิดตามอัตราร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์จากมูลค่าสินค้านั้น ๆ และโดยทั่วไปผู้นำเข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้

อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ หากว่ามีการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรไว้ที่ 10% ของสินค้านำเข้าจากจีนมายังสหรัฐอเมริกาที่ตั้งราคาไว้ที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้นำเข้าสินค้าดังกล่าวจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 0.40 ดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนภาษีศุลกากร

ที่มาของภาพ : Getty Photos

มาตรการภาษีของทรัมป์ถือเป็นการฟาดตรงใจกลางของการเป็นผู้นำด้านการผลิตของจีน

เมื่อราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้น จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคหาซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศที่มีราคาถูกกว่าแทน นั่นจึงช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศได้

ด้วยเหตุนี้ ทรัมป์จึงมองว่าวิธีการดังกล่าวเป็นช่องทางที่จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เติบโตได้ และปกป้องตำแหน่งงาน รวมทั้งสามารถเพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษี

อย่างไรก็ตาม การศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษี ซึ่งทรัมป์ได้ดำเนินการไปแล้วในช่วงที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ชี้ว่ามาตรการต่าง ๆ ทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ แพงขึ้นในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กล่าวว่ามาตรการภาษีล่าสุดมีขึ้นด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการกดดันทางการจีนให้เพิ่มมาตรการเพื่อหยุดยั้งการไหลของสารเฟนทานิลเข้ามายังสหรัฐฯ ให้ได้

นอกจากนี้ เขายังเพิ่มการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกและแคนาดาอีกด้วย โดยอ้างว่าผู้นำของประเทศทั้งสองไม่ได้ดำเนินมาตรการปราบปรามการค้ายาเสพติดข้ามพรมแดนอย่างเพียงพอ

มาตรการภาษีของทรัมป์จะทำร้ายอุตสาหกรรมการผลิตของจีนได้หรือไม่

คำตอบจากนักวิเคราะห์คือ “ได้”

เมอร์ฟี ครุยส์ นักเศรษฐศาสตร์จากฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลของสถาบันมูดี้ส์ (Touchy's) กล่าวว่า ที่ผ่านมาภาคการส่งออกของจีนถือว่าเป็น “องค์ประกอบสำคัญ” ของเศรษฐกิจจีน และถ้าหากภาษีดังกล่าวยังคงอยู่ การส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ อาจจะลดลงราวหนึ่งในสี่ถึงหนึ่งในสามของมูลค่าการส่งสินค้าในปัจจุบันก็ได้

หากพิจารณาจากมูลค่าอันมหาศาลของการส่งออกของจีน ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนราวหนึ่งในห้าของรายได้ประชาชาติของจีนแล้ว จะพบว่าการจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 20% ในแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ที่ลดลงจากต่างประเทศ และจะทำให้การได้ดุลการค้าของจีนลดลง

“มาตรการภาษีดังกล่าวจะทำร้ายเศรษฐกิจจีน” อลิเซีย การ์เซีย-เฮอร์เรโร หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จากบริษัทจัดการด้านการลงทุนและการเงิน Natixis ในฮ่องกง บอกกับบีบีซี

“พวกเขาจะต้องดำเนินการให้มากขึ้น พวกเขาต้องดำเนินการตามที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เคยกล่าวไปแล้ว คือการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ”

การดำเนินการเรื่องนี้เป็นงานที่ไม่ง่ายนัก ในสภาวะเศรษฐกิจที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนตกต่ำ และคนหนุ่มสาวยังคงดิ้นรนหางานที่มีเงินเดือนสูงอยู่

ขณะเดียวกันชาวจีนเองก็ไม่มีกำลังซื้อที่มากพอที่จะสามารถกลับมาขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

และไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนเพิ่งประกาศมาตรการจำนวนมากออกมาเพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชน

นักวิเคราะห์ระบุว่า แม้ว่ามาตรการทางภาษีจะสามารถชะลอภาคการผลิตของจีนได้ แต่สหรัฐฯ ไม่สามารถหยุดยั้งหรือขึ้นมาแทนที่จีนอย่างง่ายดายได้

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ที่ผ่านมา จีนได้ยกระดับจากการเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าและรองเท้า มาสู่ผู้ผลิตเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เช่น หุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์

“จีนไม่เพียงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เท่านั้น ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจรายนี้ในบางครั้งยังเป็นผู้ส่งออกเพียงรายเดียวในสินค้าบางประเภท เช่น แผงโซลาร์เซลล์ หากคุณต้องการแผงโซลาร์เซลล์ ที่เดียวที่คุณจะต้องไปคือ จีน” การ์เซีย-เฮอร์เรโร กล่าว

จีนได้เริ่มปรับเปลี่ยนภาคการผลิตจากการทำเสื้อผ้าและรองเท้า มาสู่การเป็นผู้ผลิตและคิคค้นเทคโนโลยีล้ำสมัย อย่างหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ มาก่อนที่ทรัมป์จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหร้ฐฯ เสียอีก และสิ่งนี้ช่วยให้จีนได้เปรียบจากการที่เป็นประเทศแรก ๆ ที่มุ่งมาสู่เส้นทางนี้ นอกจากนี้จีนยังมีข้อได้เปรียบอีกประการจากภาคการผลิตขนาดใหญ่ในประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกด้วย

ฉวง ติ้ง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีน ประจำสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่าโรงงานของจีนสามารถผลิตสินค้าเทคโนโลยีระดับสูงได้ในปริมาณมากด้วยต้นทุนต่ำ

“มันเป็นเรื่องยากที่จะหาใครมาทดแทนได้ สถานะของจีนในตอนนี้คือผู้นำตลาดที่ยากจะหาใครมาโค่นได้”

จีนจะตอบโต้มาตรการภาษีของทรัมป์ได้อย่างไร

จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้า 10-15% สำหรับสินค้าเกษตร ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว รถปิ๊กอัพ และรถสปอร์ตบางรายการ นอกจากนี้ จีนยังได้พุ่งเป้าไปยังบริษัทสหรัฐฯ บางรายในอุตสาหกรรมการบิน การป้องกันประเทศ และเทคโนโลยี ด้วยข้อห้ามด้านการส่งออก รวมถึงประกาศการสอบสวนเรื่องการผูกขาดต่อบริษัทกูเกิลด้วย

จีนใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวให้เข้ากับมาตรการภาษีของทรัมป์ที่มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก ผู้ประกอบการจีนบางรายได้ย้ายโรงงานออกไปนอกประเทศ ขณะที่ซัพพลายเชนต่าง ๆ ก็หันไปพึ่งพาเวียดนามและเม็กซิโกมากขึ้นด้วยการส่งสินค้าจากประเทศดังกล่าวไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีดังกล่าว

การ์เซีย-เฮอร์โรเร กล่าวว่า มาตรการภาษีของทรัมป์ระลอกล่าสุดทต่อเม็กซิโกจะไม่กระทบจีนมากนัก เนื่องจากเวียดนามเป็นเสมือนประตูหลังบ้านบานใหญ่กว่าสำหรับสินค้าส่งออกของจีน

“เวียดนามคือกุญแจสำคัญของจีน หากมีมาตรการภาษีต่อเวียดนามแล้ว ฉันคิดว่า มันจะกลายเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับจีน” เธอกล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos

แอปพลิเคชัน ดีพซีก (DeepSeek) สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อซิลิคอน วัลเลย์ รวมถึงสร้างความตกใจแก่รัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากการเปิดตัวแชทบอทซึ่งเป็นคู่แข่งกับแชทจีพีทีของ OpenAI

นักวิเคราะห์ยังกล่าวอีกว่า สิ่งที่เป็นข้อกังวลของจีนมากกว่ามาตรการภาษีนี้ คือข้อจำกัดเกี่ยวกับชิปขั้นสูงของสหรัฐฯ เนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าวนี้ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญระหว่างสองมหาอำนาจนี้

อย่างไรก็ตาม อุปสรรคดังกล่าวได้กลายเป็นแรงผลักดันให้จีนมุ่งมั่นลงทุนในเทคโนโลยีของตนเองที่ไม่ต้องพึ่งพาชาติตะวันตกได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สัญชาติจีนอย่างดีพซีก (DeepSeek) จึงสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ประกอบการเทคโนโลยีในซิลิคอนวัลเลย์ และสร้างความตกใจให้กับสหรัฐฯ หลังจากการเปิดตัวแชทบอทคู่แข่งของแชทจีพีทีของโอเพนเอไอ (OpenAI)

มีรายงานว่า บริษัทดังกล่าวได้สำรองชิปของเอ็นวีเดีย (Nvidia)ไว้แล้วก่อนที่สหรัฐฯ จะเริ่มปิดกั้นการเข้าถึงชิปขั้นสูงสุดในจีน

ถึงแม้ว่ามาตรการทางภาษี “จะสามารถส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของจีนได้ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะส่งผลกระทบต่อสถานะความเป็นผู้นำด้านการผลิตได้” ติ้ง กล่าว

อีกด้านหนึ่ง ความก้าวหน้าในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของจีนจะยิ่งเพิ่มการส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงได้

จีนกลายเป็นผู้นำด้านการผลิตได้อย่างไร

เหล่านักวิเคราะห์กล่าวว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการผลิตและศูนย์กลางอุตสาหกรรมของโลกได้ ก็เนื่องจากการสนับสนุนของภาครัฐ ห่วงโซอุปทานที่หาใครเทียบไม่ได้ และแรงงานราคาถูก

“กระแสโลกาภิวัตน์ นโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจของจีน และศักยภาพของตลาด เป็นส่วนผสมที่ลงตัวและช่วยดึงดูดกระแสเริ่มแรกของนักลงทุนชาวต่างชาติ” ชิม ลี นักวิเคราะห์จาก The Economist Intelligence Unit ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านเศรษฐกิจและการเมืองชั้นนำ บอกกับบีบีซี

จากนั้นรัฐบาลจีนก็มุ่งมั่นต่อไป ด้วยการลงทุนอย่างหนักในการสร้างโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อกับท่าเรือต่าง ๆ เพื่อนำเอาวัตถุดิบและนำสินค้าจีนส่งออกไปยังต่างประเทศ และสิ่งที่มีส่วนช่วยอีกอย่างคือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างเงินหยวนและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่มีเสถียรภาพ

นักวิเคราะห์ยังกล่าวอีกว่า การเปลี่ยนแปลงในหลายปีที่ผ่านมาที่มุ่งสู่เทคโนโลยีขั้นสูงได้สร้างความมั่นใจว่า ความได้เปรียบของจีนยังคงสอดคล้องกับสถานการณ์และนำหน้าคู่แข่งรายอื่น ๆ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

นักวิเคราะห์ระบุว่า เป็นเรื่องยากที่จะมีใครมาแทนที่จีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตของโลกได้

นอกจากนี้ จีนยังมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่างมากจากการเป็นศูนย์กลางการผลิตด้านอุตสาหกรรม แต่ก็มีโอกาสทางการเมืองอยู่ด้วย เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของสหรัฐฯ กับโลกเกิดการพลิกผัน

“ยังคงมีประตูที่แง้มไว้สำหรับจีนเพื่อที่จะจัดวางตำแหน่งของตนเองในฐานะผู้สนับสนุนการค้าเสรีและการเป็นพลังที่มั่นคงของโลก” ครุยส์ จากสถาบันมูดี้ส์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อคำนึงถึงว่ารัฐบาลกรุงปักกิ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดบรรทัดฐานการค้าระหว่างประเทศ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้ากว่า 200% ต่อไวน์นำเข้าจากออสเตรเลียในปี 2020

นักวิเคราะห์ยังกล่าวอีกว่า จีนต้องมองให้ไกลกว่าสหรัฐฯ ซึ่งยังคงเป็นเป้าหมายการส่งออกสำคัญของจีน ปัจจุบันจีนถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับที่สามสำหรับสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ รองจากแคนาดาและเม็กซิโก

ส่วนการค้าของจีนกับภูมิภาคยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และละตินอเมริกายังคงเติบโต แต่ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่า มหาอำนาจทางเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ทั้งสองของโลกจะสามารถหยุดการพึ่งพาระหว่างกันได้