ที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ลงมติเห็นพ้อง ‘กระทบความมั่นคงและเป็นภัยคุกคามของประเทศไทย’ – ฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. เตรียมส่งหนังสือ ถึง ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ-รมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภาความมั่นคง ลงนามพรุ่งนี้ 4 ก.พ.68 คาด ส่งข้อมูลให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค-กระทรวงมหาดไทย พิจารณาระงับจ่ายไฟ แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก แม่สอด-เมียวดี และ พญาตองซู เร็วที่สุด เช้าวันพุธ 5 ก.พ.68
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ทำเนียบ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แถลงผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง อาทิ กระทรวงมหาดไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเรื่องปัญหาการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับประเทศเมียนมา ว่า ที่ผ่านมา สมช.มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่กลางปี 67 ล่าสุด ตนได้มีการจัดให้มีการหารือระหว่าง กฟภ. และสมช. เพื่อกำหนดแนวทางการในการทำงาน และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติจึงได้มีการกำหนดให้มีการหารือในวันนี้ เพื่อตรวจสอบและกลั่นกรองข้อมูลที่สมช.มีอยู่ให้เกิดความรอบคอบยิ่งขึ้น อาทิ หน่วยงานด้านการข่าว และหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ที่ประชุมจึงประมวลข้อมูลด้านความมั่นคง ซึ่งมีหลักฐานที่ปรากฏระดับหนึ่งเพื่อส่งให้กระทรวงมหาดไทยและกฟภ.ประกอบการพิจารณาตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาว่าผิดสัญญาที่กำหนดหรือไม่เพื่อดำเนินการกับบริษัทคู่สัญญา โดยมีการสรุปประเด็นการหารือ ดังนี้
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ประเด็นแรก ข้อมูลด้านความมั่นคงในเรื่องที่ตั้งจุดต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เชื่อว่ามีความเสี่ยง หรือ มีหลักฐานระดับหนึ่งว่าเกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประกอบด้วยหลายจุด ยกตัวอย่างเช่น แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก แม่สอด-เมียวดี และพญาตองซู ประเด็นที่สอง การเชื่อมโยงของบุคคลในบริษัทสัมปทาน กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลุ่มบ่อนกาสิโน ซึ่งเชื่อมโยงกับการจำหน่ายไฟในเมียนมา
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ประเด็นที่สาม พบว่ามีความต้องการพยามขอใช้ไฟเพิ่มผิดปกติ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าจะนำไปทำอะไร ประเด็นที่สี่ แม้จะมีการตัดไฟในพื้นที่ ชเวก๊กโก และเคเคพาร์คไปแล้ว แต่ยังสามารถใช้ไฟฟ้าเพื่อดำเนินกิจกรรมได้ ส่วนจะเป็นการใช้น้ำมันในการปั่นไฟหรือไม่ ยังต้องไปตรวจสอบ ประเด็นที่ห้า การกลับมาพิจารณาสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าตามจุดต่าง ๆ เป็นอย่างไร เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา และประเด็นที่หก จุดที่เคยตัดไฟไปแล้ว พบหลักฐานบางอย่างว่า อาจจะมีการความเชื่อมโยง เส้นทางใหม่ในการเอาจากแหล่งอื่น จุดอื่น ที่เคยจ่ายไฟไปไปใช้จุดที่เคยตัดไฟไปแล้ว ซึ่งมีข้อมูลและหลักฐาน
นายฉัตรชัยกล่าวว่า ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติ 3 เรื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประกอบด้วย หนึ่ง นำข้อมูลส่งให้ กฟภ.และกระทรวงมหาดไทย สอง ให้กฟภ.นำข้อมูลไปเจรจากับบริษัทคู่สัญญาให้ปฏิบัติเป็นไปตามสัญญา โดยมีมาตรการจากเบาไปหานัก เพื่อพิจารณาเรื่องการจ่ายไฟอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา กฟภ.ได้แจ้งเตือนไปยังบริษัทคู่สัญญาไปแล้วในเรื่องการนำไฟไปใช้ไม่ถูกต้อง และ สาม ขอให้กระทรวงต่างประเทศ ประสานกับรัฐบาลเมียนมาในการไปกำชับบริษัทคู่สัญญา เพราะเป็นบริษัทที่รัฐบาลเมียนมาอนุมัติให้สัมปทานกับไทย โดยจะตั้งคณะทำงานเพื่อเข้าไปตรวสอบจุดที่มีปัญหา
นายฉัตรชัยกล่าวว่า สำหรับมาตรการการแก้ไขปัญหาระยะยาว ต้องพิจารณา ทบทวนมติครม.เมื่อปี 39 เพื่อปรับปรุงนโยบายเพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดย สมช.จะเสนอสภาความมั่นคงเพื่อกำหนดนโยบายที่เหมาะสมในอนาคตต่อไป รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ เช่น กัมพูชา และ สปป.ลาว
รายงานข่าวจากที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า ภายหลังจากที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเห็นพ้องเป็นมติในที่ประชุมว่า พื้นที่จ่ายไฟดังกล่าว เป็นการ ‘กระทบความมั่นคงและเป็นภัยคุกคามของประเทศไทย’ โดยในวันพรุ่งนี้ ( 4 ก.พ.68) เลขาธิการ สมช.จะลงนามในหนังสือถึงนายภูมิธรรม เพื่อลงนามเห็นชอบการส่งมอบข้อมูลถึงกฟภ. และ กระทรวงมหาดไทย คาดว่า เร็วสุดเช้าวันพุธที่ 5 ก.พ. 68 เพื่อดำเนินการตามมติในที่ประชุมต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า สำหรับคณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบการรใช้ไฟของบริษัทคู่สัญญา รูปแบบจะเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่ชัดเจน แต่เบื้องต้นจะมี กฟภ.เป็นหน่วยงานหลัก กับหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ โดยกระทรวงต่างประเทศจะทำหนังสือถึงรัฐบาลเมียนมาเพื่อขออำนวยความสะดวกในการเข้าไปตรวจสอบ
แหล่งข่าวจากจาก กฟภ. เปิดเผยว่า สำหรับการพิจารณาการจ่ายไฟ ตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก เช่น เบาสุด ลดการจ่ายไฟ รองลงมา ระงับการจ่ายไฟแต่สัญญายังอยู่ และหนักที่สุด คือ การรยกเลิกสัมปทาน
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )