วิเคราะห์อัตรากำลังคนในราชการไทย ควรลดขนาดหรือกระจายอำนาจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos
data
- Creator, ปณิศา เอมโอชา
- Characteristic, ผู้สื่อข่าว.
ทั้งการก่อตั้งกระทรวงประสิทธิภาพ (DOGE) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่มีอีลอน มัสก์ เข้ามาเป็นผู้ดูแล จนนำไปสู่คำสั่งปลดเจ้าพนักงานจำนวนมาก หรือแม้แต่การบังคับให้บุคลากรต้องเขียนอีเมลอธิบายว่าตนเองทำงานอะไรบ้าง
เรื่อยมาจนถึงการปฏิรูปโครงสร้างรัฐบาลครั้งใหญ่ของเวียดนาม ที่โปลิตบูโร หรือคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์เพิ่งแถลงเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยให้เน้นไปที่ข้อเสนอควบรวมหน่วยปกครองระดับจังหวัด ยกเลิกระดับอำเภอ และดำเนินการควบรวมระดับตำบลอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ในต่างประเทศทั้งหมดนี้ ทำให้สังคมไทยหันกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งว่า รัฐราชการไทย ขนาดของหน่วยงาน อัตรากำลังพล บทบาทหน้าที่ทับซ้อนกันหรือไม่ และการจัดสรรงบประมาณมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด จะสามารถหรือควรดำเนินการในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศหรือไม่
.ได้สนทนากับนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนักวิชาการที่ทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อวิเคราะห์และอธิบายถึงสถานการณ์ในปัจจุบันว่า แนวทางที่รัฐไทยควรดำเนินการเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือ การเพิ่มประสิทธิภาพมากที่สุดในการบริหารราชการแผ่นดิน
“ไปเปิดดูแถลงนโยบายของ นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ข้อที่ 8 เขาพูดแบบโคตรรู้ ผมกล้าบอกเลยว่าเขาเข้าใจปัญหาของประเทศนี้อย่างถ่องแท้…”
เรื่องแนะนำ
ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เริ่มเกริ่นกับ. ตอนที่เราเปิดฉากถามว่า ปัญหาส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยเป็นเพราะขนาดของข้าราชการที่ใหญ่มากเกินไปจนทำให้ไม่คล่องตัวหรือไม่
“ระบบรัฐราชการแบบรวมศูนย์และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ไม่เต็มที่ การทำงานระหว่างหน่วยงานที่มีอำนาจและบทบาทซ้ำซ้อน โครงสร้างของหน่วยราชการที่แตกกระจายและไม่ประสานร่วมมือกัน มีการขยายตัวไปสู่สำนักงานส่วนภูมิภาคมากเกินความจำเป็น ระบบขนาดใหญ่โต เทอะทะและเชื่องช้า รูปแบบการประเมินและตัวชี้วัดการทำงานไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนเท่าที่ควร ขนาดและศักยภาพไม่ทันกับภารกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แถมยังเป็นภาระของประชาชนในการใช้บริการอีกด้วย”
นี่คือหนึ่งคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตรต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2567
“…เขาเข้าใจปัญหานี้ แต่ข้อเสนอคือบอกให้มีการกระจายอำนาจแค่นี้ ปัญหาที่มีกับข้อเสนอมันไม่พอกันนะ” ผศ.ดร.ณัฐกร กล่าวต่อจนจบประโยค
จำนวน ‘กำลังคนภาครัฐ' ที่แท้จริงเยอะไหม ?
จากข้อมูลภาพรวมกำลังคนภาครัฐ โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนตามปีงบประมาณ 2566 พบว่า ประเทศไทยมี กำลังคนภาครัฐ 3,037,803 คน แบ่งเป็น ข้าราชการ 58% และกำลังคนประเภทอื่นอีก 42% เช่น ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานจ้าง เป็นต้น

“จริง ๆ สัดส่วนกำลังคนภาครัฐต่อกำลังแรงงานทั้งหมด มันน้อยมากถ้าไปเทียบกับประเทร่างัฒนาแล้ว แต่รายจ่ายของบุคลากรต่องบประมาณ ส่วนนั้นเยอะ เทียบกับประเทศไหน ๆ ก็เยอะ” ดร.บุญวรา สุมะโน นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าว พร้อมย้ำว่าหากเปรียบเทียบกับประเทศที่มีสวัสดิการดี ๆ ก็นับว่าตัวเลขของไทยไม่มากเกินไป
กำลังคนภาครัฐรวมปัจจุบันคิดเป็นเพียง 7.47% ของกำลังแรงงานในประเทศ หมายถึง ผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป ตัวเลขข้างต้นหมายความว่า ไทยมีเจ้าหน้าที่รัฐ 1 คน ต่อประชากร 22 คน
ขณะที่ข้อมูลซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ World Population Evaluate ระบุว่า ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียร์มีสัดส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ที่ตั้งแต่ 24-32% ของกำลังแรงงานในประเทศ
ข้อมูลจาก ดร.บุญวรา สอดคล้องกับ บทความที่เผยแพร่เว็บไซต์ศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง 101 PUB เรื่อง “รัฐราชการขยายใหญ่ เบียดพื้นที่การคลัง ยังด้อยประสิทธิภาพ” ซึ่งวิเคราะห์ไว้ว่า รายจ่ายบุคลากร ซึ่งรวมถึงรายจ่ายแฝงมีสัดส่วนสูงถึง 42% ของงบประมาณภาครัฐทั้งหมดในปี 2565
รายงานจาก 101 PUB ชี้ว่า รายจ่ายด้านบุคลากรของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 19.4%
แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภาครัฐสูงถึง 42% แต่เมื่อไปดูประสิทธิภาพของรัฐบาล (govt effectiveness) ตามคะแนนจากธนาคารโลก ก็พบว่านับตั้งแต่ปี 2539 เรื่อยมาจนถึงปี 2567 คะแนนของไทยแทบไม่ปรับขึ้น และอยู่ในระดับอันดับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 60 หรือหมายความว่า ไทยมีประสิทธิภาพของรัฐบาลดีกว่า 60% ของประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในการจัดอันดับ แต่ด้วยกว่า 40 % ของประเทศที่เหลือ
การลดขนาดภาครัฐในไทยเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อใด
แนวความคิดเกี่ยวกับการลดขนาดของหน่วยงานภาครัฐไม่ใช่เรื่องใหม่ ผศ.ดร.ณัฐกร เล่าว่า แนวคิดการลดขนาดภาครัฐลงได้รับอิทธิพลมาจากหนังสืออย่าง “Reinventing Authorities: How The Entrepreneurial Spirit Is Reworking The Public Sector” ชื่อหนังสือภาษาไทยคือ สวมวิญญาณธุรกิจเนรมิตระบบราชการ ต้นแบบการปฏิรูประบบราชการยุคใหม่ โดยเดวิด ออสบอร์น และเท็ด เกเบลอร์ ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ 33 ปีก่อน
เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้มีอยู่ 2 ข้อคือ 1. การปรับโอนอำนาจจากรัฐศูนย์กลางไปยังท้องถิ่น และ 2. คือการโอนกิจการบางส่วนของรัฐในเป็นของเอกชน (privatisation)
เขาเล่าต่อว่า อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ ทำให้เกิดการปฏิรูประบบราชการของสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีบิล คลินตัน เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร
“พอมาปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในไทย ประกอบกับเกิดเรื่องรัฐธรรมนูญ 2540 แล้วก็ได้รัฐบาลทักษิณ เลือกตั้งสมัยแรกเข้ามาในปี 2544 คือทั้งหมดเป็นเรื่องต่อเนื่องกัน และก็เกิดกระบวนการที่เรียกว่าปฏิรูประบบราชการ ก็ได้หน่วยงานที่ชื่อว่า ก.พ.ร. ขึ้นมา”

ที่มาของภาพ : Getty Photos
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2545 ซึ่ง ผศ.ดร.ณัฐกร อธิบายต่อว่าในยุคของรัฐบาลทักษิณนั้นก็มีความพยายามปฏิรูปกระทรวงทบวงกรม และมีเรื่องกฎหมายกระจายอำนาจ ทว่าผ่านมาแล้ว 20 ปี “ปลายทางตอนนี้ มันไม่ได้ถึงไหน แต่มันกลับหัวกลับหาง”
จากข้อมูลกำลังคนภาครัฐในปี 2566 เราพบว่า กำลังคนของภาครัฐในกํากับฝ่ายบริหาร หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การบริหารและควบคุมโดยฝ่ายบริหารของรัฐบาล ประจำอยู่ในส่วนกลาง/ภูมิภาค ถึง 81% คิดเป็นตัวเลขราว 2.4 ล้านคน และประจำอยู่ในส่วนท้องถิ่นเพียง 17% หรือคิดเป็น 5.2 แสนคน
“คุณต้องเอา งาน-เงิน-คน ที่เคยอยู่ที่รัฐบาลกลาง ลงมาอยู่ท้องถิ่น แต่ปรากฏว่าของไทยมันกลับหัวกลับหาง ท้องถิ่นมันเล็กมาก”
เหตุใดจึงลดขนาดรัฐราชการไม่ได้
เราตั้งคำถามต่อไปว่า เมื่อ ก.พ.ร. ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ทำไมสถานการณ์ยังกลับหัวกลับหาง ?
ผศ.ดร.ณัฐกร อธิบายตอบเราว่า นอกจากประเด็นสัดส่วนคนที่กลับหัวกลับหางแล้ว ยังมีมิติเรื่องงบประมาณด้วย
จากข้อมูลรายงานวิเคราะห์รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปี 2564 พบว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 เคยมีการกำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจและส่งเสริมการพึ่งตนเองของท้องถิ่น แต่ไม่ได้ระบุสัดส่วนงบประมาณที่ต้องจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยตรง
อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ได้กำหนดเป้าหมายว่า ภายในปี พ.ศ. 2549 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีรายได้เพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ของรัฐบาลไม่น้อยกว่า 35%
ถ้าย้อนกลับไปดูข้อมูลตั้งแต่ปี 2558 – 2564 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ ก็จะพบว่าไม่มีปีไหนเลยที่สัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อปท. เกิน 30% อยู่ในระดับ 27.8%-29.72% เท่านั้น ตามข้อมูลรายงานวิเคราะห์ฉบับดังกล่าว
“ส่วนกลางหวงอำนาจ เพราะถ้ากระจายอำนาจ งบประมาณที่รัฐบาลกลางใช้จะถูกแบ่งให้ท้องถิ่น และคนตัดสินใจเองก็มีอคติ ไม่ไว้ใจว่าท้องถิ่นจะบริหารได้” ผศ.ดร.ณัฐกร อธิบาย
เขายกตัวอย่าง กรณีของจังหวัดจังหวัดภูเก็ต ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับที่สองของไทย รองจากกรุงเทพฯ แต่กลับไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเองได้ เพราะต้องส่งรายได้เข้าส่วนกลางก่อนแล้วรอการจัดสรรคืน ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น ระบบขนส่งมวลชนและสาธารณูปโภค ไม่สามารถพัฒนาได้อย่างที่ควรจะเป็น จึงเกิดการเรียกร้องให้จังหวัดภูเก็ตเป็น ‘เขตปกครองพิเศษ' เช่นเดียวกับกรุงเทพฯ และพัทยา แต่ข้อเสนอนี้ยังไม่ได้รับอนุมัติ

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ผศ.ดร.ณัฐกร ให้ความเห็นว่า “ตราบใดที่ผู้มีอำนาจยังได้ประโยชน์จากโครงสร้างการเมืองแบบนี้ พวกเขาก็ไม่มีแรงจูงใจให้กระจายอำนาจ” เนื่องจากเม็ดเงินกองอยู่ที่ส่วนกลาง และพวกเขาอยู่ในศูนย์กลางอำนาจที่สามารถให้คุณให้โทษได้ แม้ไม่ได้เป็นพรรครัฐบาลอันดับหนึ่ง แต่ก็มีอำนาจต่อรองสูง จึงสามารถดึงงบประมาณจากส่วนกลางไปยังพื้นที่ของตนมากกว่าที่ควรจะเป็น นี่คือเหตุผลว่าทำไม แม้ผู้มีอำนาจในท้องถิ่นอาจได้ประโยชน์จากการกระจายอำนาจ พวกเขาก็ยังไม่สนับสนุนแนวทางนี้
ด้าน ดร.บุญวรา เสริมว่า ระบบราชการไทยมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง แม้ว่าจะมี อปท. แต่กลับไม่ได้ลดอำนาจของส่วนกลางลงจริง ทำให้เกิดปัญหาความซ้อนทับของอำนาจและการบริหารงบประมาณ
เธอเสริมว่า อปท. มีจำนวนมากถึง 7,850 แห่ง แต่มีขนาดเล็กเกินไปที่จะบริหารงบประมาณและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น นายก อบจ. ยังมีอำนาจจำกัด เนื่องจากอำนาจการตัดสินใจและงบประมาณหลักยังคงอยู่ในมือของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลาง ซึ่งปัญหานี้สะท้อนว่า แม้ประเทศไทยจะมีองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่โครงสร้างอำนาจที่แท้จริงยังคงรวมศูนย์อยู่ที่รัฐบาลกลาง
“นี่คือเหตุผลหลักที่ว่าทำไมการกระจายอำนาจไม่เคยประสบผลสำเร็จในประเทศไทย เพราะอำนาจที่แท้จริงยังอยู่ที่ส่วนกลาง และงบประมาณก็ถูกควบคุมไว้ที่นั่น'”
“การลดขนาดรัฐบาลกลางไม่สามารถทำได้เพียงแค่ลดจำนวนข้าราชการ เพราะปัญหาหลักอยู่ที่โครงสร้าง ระบบบริหารงาน และประสิทธิภาพมากกว่าจำนวนคน ปัญหาคลาสสิกของระบบราชการไทยคือเรื่องบูรณาการ หน่วยงานต่างคนต่างทำ ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ทำให้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมยังคงอยู่และซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ”
ลดกำลังพลกองทัพ เผื่อกร้อนในสังคมไทย

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ที่ผ่านมาสังคมมีข้อถกเถียงกันว่าประเทศไทยมีทหารมากเกินไปเมื่อเทียบกับบทบาทที่มีอยู่ของกองทัพในปัจจุบัน ขณะที่นักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์บางส่วนเสนอให้ ปรับลดจำนวนกำลังพล และโอนบางภารกิจของทหารไปให้หน่วยงานพลเรือนรับผิดชอบแทน
ประเด็นนี้ยังได้รับการตอบสนองจากฝ่ายการเมือง โดยมีหลายพรรคการเมืองเสนอนโยบายปฏิรูปกองทัพ เช่น พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน แต่หลังจากจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยก็เปลี่ยนแปลงท่าทีจาก “การปฏิรูปกองทัพ” มาเป็น “พัฒนาร่วมกองทัพ” ในสมัยที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี
ข้อมูลจาก Global Firepower 2025 ระบุว่า กองทัพไทยมีทหารประจำการประมาณ 360,850 นาย และหากรวมกำลังสำรองและหน่วยสนับสนุนอื่น ๆ ตัวเลขอาจสูงถึง 585,850 นาย
ก่อนหน้านี้ .รายงานไว้ว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมไทยในปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ ราว 1.98 แสนล้านบาท หรือประมาณ 6% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศ เพิ่มขึ้นราว 4 พันล้านบาทจากปีงบประมาณก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งของงบประมาณถูกนำใช้ไปกับเงินเดือนและสวัสดิการของกำลังพล ซึ่งเป็นภาระคล้ายกับปัญหาในภาคราชการพลเรือน
ทั้งนี้ ตัวเลขงบประมาณดังกล่าวนี้ ก็ถูกพรรคก้าวไกล ในขณะนั้น โจมตีอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นของนายเศรษฐา ทวีสิน เคยแถลงไว้ว่าจะปรับลดขนาดกองทัพ
ข้อเสนอะแนะเพิ่มเติม
ดร. บุญวรา เสนอแนะว่า ควรลดความซ้ำซ้อนที่เกิดขึ้นจากโครงสร้างราชการที่กระจัดกระจาย เช่น กระทรวงต่าง ๆ ที่มีฝ่ายกฎหมายของตัวเอง ทั้งที่ควรมีหน่วยงานกลางดูแลเรื่องกฎหมายให้ทั้งระบบ หรือการตั้งองค์กรอิสระใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่หน่วยงานหลักไม่สามารถจัดการได้แทนที่จะปรับปรุงหน่วยงานเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังควรจัดให้มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเพื่อให้สามารถบริหารจัดการตนเองอย่างแท้จริงจะช่วยลดภาระของส่วนกลาง เช่น การยกเลิกโครงสร้าง “ส่วนภูมิภาค” ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดจากการแต่งตั้ง และให้ท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เป็นผู้ดูแลแทน เพื่อลดระดับการบริหารที่ซ้ำซ้อนและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
การปรับลดขนาดภาครัฐยังควรมาพร้อมกับการทบทวนโครงสร้างการจ้างงาน เช่น การเปลี่ยนจากระบบข้าราชการประจำไปเป็นพนักงานสัญญาจ้างมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งที่สามารถใช้แรงงานภาคเอกชนหรือเทคโนโลยีทดแทนได้ ขณะที่ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณะโดยตรง เช่น บุคลากรทางการแพทย์และนักสังคมสงเคราะห์ ควรได้รับการสนับสนุนให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ควรมีการปฏิรูประบบราชการให้เน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ลดกฎระเบียบที่ล้าสมัยและเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน รวมถึงเร่งผลักดันรัฐบาลดิจิทัลให้เกิดขึ้นจริง เพื่อลดภาระงานเอกสาร ลดต้นทุน และเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานของภาครัฐ

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ด้าน ผศ.ดร.ณัฐกร เสนอว่า “ถ้าผมคิดใหญ่ ผมคิดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ” เขาเชื่อว่า หากต้องการลดขนาดรัฐบาลกลางลงอย่างแท้จริง การแก้รัฐธรรมนูญให้มีการกระจายอำนาจที่เป็นระบบเป็นสิ่งจำเป็น
“เราเชื่อเพราะว่าเราเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 40 มันทำสำเร็จ แต่ตอนนั้นฉันทามติในสังคมมันเป็นปึกแผ่น” ทว่าภายหลังในการรัฐประหารปี 2549 และ 2557 แนวทางนี้ถูกชะลอและลดทอนลง หากไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญให้ท้องถิ่นมีอำนาจตัดสินใจและบริหารงบประมาณเอง โครงสร้างรวมศูนย์ของไทยจะยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาในระยะยาว
รัฐธรรมนูญ 2540 เคยกำหนดให้รัฐต้องกระจายงบประมาณให้ท้องถิ่น 35% แต่หลังรัฐประหาร 2549 มีการแก้ไขกฎหมาย ทำให้ไม่มีข้อบังคับด้านสัดส่วนงบประมาณอีกต่อไป ส่งผลให้ส่วนกลางยังสามารถควบคุมงบได้เกือบทั้งหมด
กรณีที่เห็นชัดเจนอีกตัวอย่างคือ ปัญหา พีเอ็ม 2.5 ในเชียงใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นทุกปี แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดกลับไม่มีอำนาจโดยตรงในการแก้ปัญหา ต้องรอคำสั่งและงบประมาณจากส่วนกลาง ในขณะที่ ท้องถิ่นที่มีศักยภาพในการแก้ปัญหา เช่น เทศบาลเชียงใหม่ กลับขาดงบและอำนาจหน้าที่ ทำให้ปัญหายังคงเกิดขึ้นซ้ำซาก
เขายังเสนอเรื่อง แนวคิดการถ่ายโอนภารกิจจากภาครัฐไปยังเอกชน ว่าจะเป็นอีกแนวทางที่ช่วยลดขนาดรัฐบาลและเพิ่มประสิทธิภาพบริการ เช่น การให้เอกชนบริหารเรือนจำ โดยรัฐทำหน้าที่เพียงควบคุมมาตรฐาน หรือในกรณีของสถานีบริการน้ำมัน ที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องดำเนินการเอง แต่เน้นกำกับดูแลแทน หากนำแนวทางนี้มาใช้มากขึ้น จะช่วยลดภาระของภาครัฐและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนพัฒนาบริการที่มีคุณภาพมากขึ้น
ที่มา BBC.co.uk