เผยความคืบหน้าสอบปากคำคดีหมอบุญ พบมีผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนมูลค่าสูงสุดถึง 2 พันล้าน ชี้พฤติการณ์โบรกเกอร์-หมอบุญอ้างให้ดอกเบี้ยสูงถึง 8%ต่อปี ขณะพนักงานสอบสวนค้านประกันภรรยา-ลูกสาวหมอบุญ เหตุยังมีเรื่องต้องสอบปากคำอีกหลายประเด็น ด้านศาลอาญานัด 28 พ.ย.พิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่
สำนักข่าวอิศรา . รายงานข่าวความคืบหน้าการสอบสวน นพ.บุญ วนาสิน หรือ “หมอบุญ” ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน กรณีหลอกให้ร่วมลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับการแพทย์ โดยในวันนี้ (25 พ.ย.) ได้มีการสอบปากคำนางจารุวรรณ อายุ seventy nine ปี และน.ส.นลิน อายุ 51 ปี ภรรยาและบุตรสาวของ นพ.บุญหลังจากที่ทั้งคู่เดินทางมามอบตัวในวันนี้ ทั้งนี้มีผู้เสียหาย 3 ราย เดินทางมายื่นขอคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนจะหลบหนี
นายหมี หนึ่งในผู้เสียหายที่ร่วมลงทุน เสียหาย 70 ล้านบาท ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ตนได้ร่วมลงทุนกับเพื่อนผ่านโบรกเกอร์บริษัทดังรายหนึ่ง ถูกชักชวนให้ไปลงทุนร่วมกับเพื่อน ตนลงทุนไป 70 ล้านบาท ส่วนเพื่อนลงทุนไป 100 ล้านบาท รวมทั้งหมดเป็น 170 ล้านบาท ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับ หมอบุญ เป็นการส่วนตัว แต่เห็นผ่านสื่อโฆษณา และเห็นว่าเป็นหมอที่มีชื่อเสียง คิดไม่ถึงว่าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้ โดยส่วนใหญ่จะอ้างว่าจะนำไปลงทุนโครงการเวลเนสริมแม่น้ำ พระราม 3 และโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง และอ้างว่าจะนำไปลงทุนซื้อถุงมือทางการแพทย์ในช่วง โควิด-19
นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายรายอื่นอีกหลายราย โดยมีผู้เสียหายรายหนึ่งเสียหายมูลค่าสูงสุดถึง 2,000 ล้านบาท ในการลงทุน และเชื่อว่ามูลค่าความเสียหายทั้งหมดน่าจะสูงถึง 20,000 ล้านบาท และมีบุคคลที่อยู่ในตระกูลดัง นามสกุลดัง นักธุรกิจ ที่เข้ามาร่วมลงทุนแล้วได้รับความเสียหาย แต่ไม่กล้าเปิดเผยตัวอีกมาก
ทั้งนี้ โบรกเกอร์และหมอบุญอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย ร้อยละ 8% ต่อปี ซึ่งช่วงแรกมองว่าไม่สมเหตุสมผล แต่หมอบุญนำหุ้นของโรงพยาบาลธนบุรีมาใช้ในการค้ำประกัน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ซึ่งผู้เสียหายมีหลายรูปแบบ ทั้งที่ได้หุ้นและยังไม่ได้หุ้นดังกล่าว และจากการตรวจสอบย้อนหลังหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าหุ้นดังกล่าวเหลือเพียงหุ้นที่เป็นชื่อของลูกและภรรยาของหมอบุญเท่านั้น โดยหมอบุญถือหุ้นอยู่เพียงเล็กน้อย และที่ลูกสาวและภรรยาหมอบุญปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นและอ้างว่าถูกปลอมลายเซ็นนั้น ตนไม่เชื่อ เพราะเป็นครอบครัวเดียวกันจึงน่าจะมีส่วนรู้เห็น
ส่วนกรณีของลูกสะใภ้ของหมอบุญที่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน แต่ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา นายหมี ระบุว่า ตนรู้สึกแปลกใจที่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะเชื่อว่าลูกสะใภ้มีส่วนรู้เห็นในขบวนการนี้ เนื่องจากในเวลาจำนองหุ้น ตนได้เข้าไปร่วมระหว่างการโอนหุ้นด้วย พบว่ามีการใช้บัตรประชาชนตัวจริง และยืนยันทางโทรศัพท์กับเจ้าของหุ้น ซึ่งมีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ และเชื่อว่าทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการนี้
ล่าสุดมีรายงานว่า ภายหลังการสอบสวนภรรยาและลูกสาวของ “หมอบุญ” พนักงานสอบสวนไม่ให้ประกันตัวในชั้นสอบสวน โดยได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนขึ้นรถตู้ของ สน.ห้วยขวาง นำไปฝากควบคุมตัวไว้ที่ สน.พญาไท เนื่องจากต้องควบคุมตัวกลับมาสอบปากคำอีกครั้งในช่วงสายวันพรุ่งนี้ (24 พ.ย. 67) เพราะยังต้องสอบปากคำเพิ่มเติมอีกหลายประเด็น ก่อนพิจารณานำตัวไปส่งฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.นี้
ต่อมาศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งที่ 1 บุตรสาวของหมอบุญ ผู้ต้องหาที่ 1 และภรรยาของหมอบุญ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. ถึง 6 ธ.ค. 2567 ซึ่งญาติของผู้ต้องหาทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท
โดยศาลอาญาพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า เนื่องจากตามคำร้องขออนุญาตปล่อตัวชั่วคราวมีเอกสารประกอบคำร้องที่ศาลต้องพิจารณาเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้จึงให้ไต่สวนคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาทั้งสอง ในวันพฤหัสที่ 28 พ.ย. 2567 เวลา 10.00 น. ดังนั้นในชั้นนี้ ให้หมายขังผู้ต้องหาทั้งสองไว้ก่อน โดยให้เบิกตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาศาลเพื่อไต่สวนในวันที่ 28 พ.ย. 2567 เมื่อศาลมีคำสั่งให้ออกหมายขังผู้ต้องหาทั้งสองไว้ก่อน ดังนั้นในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง
ด้าน พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เปิดเผยว่า การติดตามจับกุมตัว หมอบุญ ที่ยังหลบหนีอยู่ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ได้ประสานไปยังกองการต่างประเทศ ให้ทำหนังสือไปยัง interpol หรือ ตำรวจสากล เพื่อออกหมายแดงให้ช่วยติดตามจับกุมตัวหมอบุญมาดำเนินคดี ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนทางธุรการและประสานงานไปยังตำรวจสากล
ส่วนการออกหมายจับในล็อตที่ 2 ยืนยันว่ามีแน่นอน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยจะมุ่งเป้าไปที่เหล่าบรรดาโบรกเกอร์ที่ชักชวนผู้เสียหายร่วมลงทุนหรือกู้เงิน เพราะจากการสืบสวนสอบสวนพบว่าส่วนใหญ่ผู้เสียหายมาจากการหลงเชื่อโบรกเกอร์มากกว่า เพราะเป็นตัวแทนในการลงทุนซื้อขายหุ้นกันมาเป็นเวลานาน และถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเปอร์เซ็นต์หรือส่วนแบ่งจากการลงทุนกับหมอบุญ จึงต้องมีส่วนรับผิดชอบในคดีดังกล่าว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )