สำรวจเหมืองแร่ในกรีนแลนด์ เหตุใด โดนัลด์ ทรัมป์ จึงอยากให้สหรัฐฯ ครอบครอง

เอลดูร์ โอลาฟสัน ผู้บริหารบริษัทเหมืองแร่แห่งหนึ่ง กล่าวว่ากรีนแลนด์มีแร่ธรรมชาติเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของชาติตะวันตกได้เป็นเวลา “หลายทศวรรษ”

data

  • Writer, เอเดรียนน์ เมอร์เรย์
  • Role, ผู้สื่อข่าวธุรกิจ
  • Reporting from กรีนแลนด์

ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะกลับเข้าทำเนียบขาว เขาประกาศว่าสหรัฐฯ จำเป็นต้องซื้อกรีนแลนด์เพื่อกระตุ้น “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ของอเมริกา แม้ดินแดนอาร์กติกแห่งนี้ได้ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่าดินแดนของตนไม่ได้มีไว้ขาย แต่ทรัพยากรแร่ธาตุจำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกนำขึ้นมาใช้ ตอนนี้เป็นที่ต้องการอย่างมาก

ขณะที่เรือแล่นไปบนผืนน้ำชายฝั่งที่มีคลื่นลมแรงและฟยอร์ดที่งดงามที่ปลายสุดด้านใต้ของกรีนแลนด์ ทันใดนั้นยอดเขาสีเทาขรุขระก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเรา

“ภูเขาสูงชันเหล่านี้ เป็นเหมือนแถบทองคำ” เอลดูร์ โอลาฟสัน ซีอีโอของบริษัทขุดแร่ เอมาร็อค มิเนอรัลส์ (Amaroq Minerals) กล่าวพร้อมชี้ไปทางยอดเขา

หลังจากล่องเรือเป็นเวลาสองชั่วโมง เราก็ขึ้นฝั่งที่หุบเขาอันห่างไกลใต้ภูเขานาโลแน็ค (Nalunaq) ซึ่งบริษัทกำลังขุดเจาะหาทองคำอยู่

บริษัทแห่งนี้ยังสำรวจเทือกเขาและหุบเขาโดยรอบเพื่อค้นหาแร่ธาตุที่มีค่าอื่น ๆ ด้วย โดยได้ซื้อใบอนุญาตสำรวจที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางกิโลเมตร

and proceed readingเรื่องแนะนำ

Quit of เรื่องแนะนำ

“เรากำลังมองหาทองแดง นิกเกิล และแร่หายาก” ผู้บริหารชาวไอซ์แลนด์กล่าว “พื้นที่นี้ยังไม่เคยถูกสำรวจ แต่มีศักยภาพที่จะมีแหล่งแร่ขนาดใหญ่หลายแห่ง”

ฐานปฎิบัติงานหลักเต็มไปด้วยอาคารสำนักงานที่เคลื่อนที่ได้และเต็นท์ที่พักสีส้มสำหรับพนักงานกว่า 100 คน ซึ่งมีทั้งชาวกรีนแลนด์ ชาวออสเตรเลีย และอดีตคนงานเหมืองถ่านหินชาวอังกฤษ จากที่นั่นจะมีถนนขึ้นไปตามหุบเขา และพวกเราขับรถเข้าไปในเหมืองทองคำ โดยเดินทางไปตามอุโมงค์มืด ๆ ขึ้นไปด้านในภูเขา

“ดูตรงนี้สิ!” นายโอลาฟสันพูด พร้อมชี้ไปที่รอยต่อของควอตซ์สีขาวและเส้นสีเข้มบาง ๆ “ทองคำ ทองคำ ทองคำ ตลอดทางเลย มันน่ามหัศจรรย์ใช่ไหม”

เหมืองที่บริษัทเอมาร็อคซื้อมาในปี 2015 แห่งนี้ ดำเนินการมาเกือบตลอดทศวรรษที่ผ่านมา แต่ต้องปิดตัวลงเนื่องจากราคาทองคำร่วงลงและต้นทุนการดำเนินการที่สูง

แต่บริษัทเอมาร็อคก็มั่นใจว่าเหมืองแห่งนี้จะทำกำไรได้ในปัจจุบัน และบริษัทมีแผนที่จะเร่งการผลิตในปีนี้ โดยได้สร้างโรงงานแปรรูปแห่งใหม่เพื่อบดแร่และกลั่นโลหะมีค่าให้กลายเป็นทองคำแท่ง

“เราสามารถเดินออกจากไซต์งานพร้อมกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบที่บรรจุทองคำ หรือไม่ก็ออกไปพร้อมเรือขนาด 30,000 ตัน ซึ่งบรรทุกแร่ อย่างใดอย่างหนึ่งในทุก ๆ เดือน”

เขากล่าวว่ากรีนแลนด์คือโอกาสที่หาใครเทียบได้ยาก เนื่องจากแหล่งแร่สำรองจำนวนมหาศาลของกรีนแลนด์ยังไม่เคยได้รับการสำรวจ

“กรีนแลนด์สามารถเป็นผู้จัดหาแร่ธาตุทั้งหมดที่โลกตะวันตกต้องการได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ” นายโอลาฟสันกล่าวเสริม “และนั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเหมือน”

โรงงานทำเหมืองที่ภูเขานาโลแน็คตั้งอยู่ในสถานที่อันน่าทึ่ง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเหมืองที่ดำเนินการอยู่เพียงสองแห่งเท่านั้นบนเกาะกรีนแลนด์ทั้งเกาะ

กรีนแลนด์เป็นดินแดนปกครองตนเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก แต่มีอำนวจควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง

กรีนแลนด์ยังเป็นแหล่งสำรองแร่หายาก (rare earth parts) ใหญ่สุดเป็นอันดับแปด ซึ่งแร่ดังกล่าวเหล่านั้นมีความสำคัญต่อการผลิตทุกอย่าง ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงแบตเตอรีและมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีโลหะสำคัญอื่น ๆ จำนวนมาก เช่น ลิเธียมและโคบอลต์ และยังมีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีกด้วย แต่ห้ามขุดเจาะใหม่ ส่วนการทำเหมืองใต้น้ำลึกก็ถูกห้ามเช่นกัน

คริสเตียน คเยลด์เซน ผู้อำนวยการสมาคมธุรกิจกรีนแลนด์ กล่าวว่า “สถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกในขณะนี้ยิ่งทำให้เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้เป็นที่สนใจ”

เขาชี้ว่าจีนมีแหล่งสำรองแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะที่ชาติตะวันตกต้องการครอบครองแหล่งสำรองอื่น ๆ

“จีนกำลังครอบครองแหล่งแร่ธาตุที่สำคัญอย่างยิ่งเป็นจำนวนมาก” เขากล่าว

นั่นทำให้ชาติตะวันตกหันมาให้ความสนใจในการเข้าถึงแร่ธาตุของกรีนแลนด์มากขึ้น จีนเองก็สนใจที่จะเข้ามามีส่วนร่วมเช่นกัน แต่การเข้ามามีบทบาทของจีนถูกจำกัด

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สหรัฐฯ ได้เกลี้ยกล่อมบริษัทเหมืองแร่ของออสเตรเลียไม่ให้ขายโครงการแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดในกรีนแลนด์ให้กับผู้ซื้อชาวจีน

นาจา นาธาเนียลเซน รัฐมนตรีกระทรวงธุรกิจ การค้า และแร่ธาติดิบของกรีนแลนด์ กล่าวว่าความสนใจในแร่ธาตุของกรีนแลนด์ “เพิ่มขึ้นอย่างมากใน 5 ปีที่ผ่านมา”

เธอกล่าวเสริมว่า “กรีนแลนด์เคยชินกับการเป็นจุดที่เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เราต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา”

ปัจจุบันกรีนแลนด์ได้ออกใบอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ กว่า 100 แห่ง ซึ่งบริษัทเหล่านี้กำลังมองหาแหล่งแร่ที่มีศักยภาพ บริษัทเหมืองแร่ของอังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย เป็นผู้ถือใบอนุญาตจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด ในขณะที่บริษัทอเมริกันถือครองใบอนุญาตเพียงใบเดียวเท่านั้น

แต่ยังมีขั้นตอนอีกมากมายก่อนที่แหล่งสำรวจเหล่านี้จะกลายเป็นเหมืองแร่ที่มีศักยภาพ

ที่พักปัจจุบันที่เหมืองนาโลแน็คค่อนข้างเรียบง่าย

แม้ว่ากรีนแลนด์จะร่ำรวยด้วยแร่ธาตุ แต่ความตื่นตัวในการขุดแร่เหล่านี้ขึ้นมายังเติบโตช้า

เศรษฐกิจซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ต่อปีมากกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 100,000 ล้านบาท) เพียงเล็กน้อย ยังคงถูกขับเคลื่อนโดยภาครัฐและการประมง และดินแดนแห่งนี้ยังคงต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนประจำปี 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20,000 ล้านบาท) จากเดนมาร์ก

เหล่านักการเมืองของกรีนแลนด์หวังว่ารายได้จากการทำเหมืองจะช่วยลดการต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนประจำปี 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเดนมาร์ก และช่วยหนุนความพยายามในการแยกตัวเป็นเอกราช แต่ในช่วงเวลานี้ กรีนแลนด์ก็ยังคงทำเงินได้มากขึ้นจากการท่องเที่ยวด้วย

คาเวียร์ อาร์โนต์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์แห่งอาร์กติกจากมหาวิทยาลัยกรีนแลนด์ กล่าวว่า ในทางหลักการ การทำเหมืองยังคงมีความสำคัญต่อการแยกตัวเป็นเอกราช “แต่ในทางปฏิบัติ คุณจะเห็นได้ว่ามีใบอนุญาตการทำเหมืองเพียงไม่กี่ใบที่ได้รับอนุมัติ”

นาธาเนียลเซนยอมรับว่า แม้จะมีการยกระดับความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป แต่ “เรายังไม่ได้เห็นว่ามีเงินจำนวนมากไหลเข้าสู่ภาคส่วนนี้” เธอหวังว่าจะมีเหมืองอีกสามถึงห้าแห่งที่จะเปิดดำเนินการได้ภายในทศวรรษหน้า

อย่างไรก็ตาม การทำเหมืองในกรีนแลนด์ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากภูมิประเทศที่ห่างไกลและสภาพอากาศ เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ 80% ของพื้นที่เกาะถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็ง มีภูเขาสูงชันและไม่มีถนนเชื่อมระหว่างชุมชน

“มันเป็นภูมิประเทศแบบอาร์กติก” ยาคอบ คลูฟ คายดิง จากสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาของเดนมาร์กและกรีนแลนด์ ซึ่งทำแผนที่แหล่งแร่ในดินแดนแห่งนี้กล่าว “เราพบกับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายและโครงสร้างพื้นฐานที่จำกัด ดังนั้นการเปิดเหมืองจึงมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง”

ต้นทุนที่สูงเหล่านี้ประกอบกับราคาโลหะที่ตกต่ำทั่วโลกทำให้นักลงทุนลังเล

ส่วนคนอื่น ๆ โทษระเบียบราชการซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาคส่วนนี้เติบโตช้า พื้นที่แห่งนี้มีกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดและมีข้อกำหนดด้านผลกระทบต่อสังคม การขอใบอนุญาตจึงต้องใช้เวลา

นาธาเนียลเซนยืนกรานว่าชุมชนส่วนใหญ่สนับสนุนการทำเหมือง และมันยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นอีกด้วย “พวกเขา คนงานเหมืองจากต่างประเทศ มักซื้อของในร้านท้องถิ่น จ้างพนักงานในท้องถิ่น และเช่าเรือหรือเฮลิคอปเตอร์ของท้องถิ่น” เธอกล่าว

ชาวกรีนแลนด์ไม่แน่ใจว่าการทำเหมืองแร่จะช่วยเหลือคนในพื้นที่ได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ที่ชื่อคากอร์ทอค (Qaqortoq) ไฮดี มอร์เทนเซน มุลเลอร์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่แน่ใจว่าเหมืองใหม่จะนำไปสู่การจ้างงานสำหรับคนในท้องถิ่นหรือไม่ “เวลาพวกเขาบอกว่าจะสร้างงานเพิ่ม พวกเขาพูดถึงใครกันแน่”

เจส เบอร์เทลเซน หัวหน้าสหภาพแรงงานท้องถิ่น กล่าวว่าผู้คนไม่น้อยคิดว่ารายได้จากการทำเหมืองจะ “ออกนอกประเทศ” และไม่เป็นประโยชน์ต่อกรีนแลนด์ แต่เขาสนับสนุนการเติบโตของภาคส่วนนี้ “กรีนแลนด์ต้องการรายได้เพิ่มขึ้น และต้องหารายได้ทางอื่นนอกเหนือจากการประมง”

ยังไม่ชัดเจนว่ากลเม็ดครั้งล่าสุดของทรัมป์ต่อกรีนแลนด์จะมีผลออกมาเป็นอย่างไร แต่นายกรัฐมนตรี มูเต เอเกเด ของกรีนแลนด์กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า “เราจำเป็นต้องทำธุรกิจกับสหรัฐฯ” และเรา “เปิดกว้างในแง่ของการทำเหมือง”

นายเคเยลด์เซนจากสมาคมธุรกิจ หวังว่าสหรัฐฯจะนำ “การลงทุนที่จำเป็นอย่างยิ่ง” มาสู่ภาคส่วนนี้ “ในทางกลับกัน หากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสัญญาณจากทรัมป์ยังเกิดต่อไปเป็นเวลานาน มันอาจส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของการลงทุนในทางลบได”