สัปดาห์ที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาจำคุกคดีมาตรา 112 ใน 2 คดีคือ คดีของ ‘ใจ’ และ ‘พอร์ท ไฟเย็น’ โดยพฤติการณ์ของทั้ง 2 คดีจะเกี่ยวข้องกับอดีตกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ขณะที่มาตรา 112 ระบุคุ้มครอง 4 ตำแหน่งคือ พระมหากษัตริย์, พระราชินี, รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการฯ
ประชาไทชวนย้อนดูคดีในอดีต นอกจากคดีความของใจและพอร์ทแล้ว ศาลเคยตัดสินและให้เหตุผลว่าอย่างไร และการขยายปัญหาเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อสังคมภาพรวมอย่างไร
กฎหมายอาญามาตรา 112 ให้คุ้มครอง 4 ตำแหน่ง ประกอบด้วย กษัตริย์ (องค์ปัจจุบัน) พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หากผิดจริง จะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี
2 คดีที่ล่าสุดนั้นมีความน่าสนใจในแง่การตีความ ‘การคุ้มครอง’ นั่นคือ คดีของ ‘ใจ’ (นามสมมติ) ถูกกล่าวหาว่าทวีตรูปและพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมข้อความแสดงความเห็นเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยมีอารีย์ จิวรรักษ์ รับมอบอำนาจจากกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นผู้กล่าวหา
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ให้ยืนโทษจำคุก 2 ปี ตามศาลชั้นต้น แม้ศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชนจะโต้แย้งว่าการโพสต์ข้อความของใจ ไม่สามารถสื่อถึงรัชกาลที่ 10 กษัตริย์องค์ปัจจุบัน และไม่ได้เป็นการโพสต์ภาพหรือข้อความในช่วงสมัยของรัชกาลที่ 9
ขณะที่คดีความของ ‘พอร์ท’ ปริญญา ชีวินกุลปฐม อดีตนักร้องและนักดนตรีวงไฟเย็น มีพฤติการณ์ของคดีคือ การโพสต์เฟซบุ๊กว่า ‘ตุรกีรัฐประหารไม่สำเร็จ เพราะว่าไม่มีกษัตริย์เซ็นรับรอง’ รวมทั้งเนื้อเพลงและข้อความอีก 2 โพสต์ เมื่อปี 2559 ในสมัยที่รัชกาลที่ 9 ครองราชย์อยู่ โดยคดีนี้ศาลอุทธรณ์ให้ยืนโทษจำคุก 6 ปี ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
‘หมิ่นรัชกาลที่ 9 กระทบรัชกาลที่ 10'
แล้วศาลให้เหตุผลใน 2 คดีนี้ว่าอย่างไร? คดีของ ‘ใจ’ ในวันฟังคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ศาลอ่านคำพิพากษาแค่ในส่วนของโทษจำคุกเท่านั้น แต่ไม่มีการอ่านเหตุผลในการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดอย่างไรและเหตุใดคำอุทธรณ์ของใจจึงไม่สามารถรับฟังได้ แต่หากย้อนไปดูศาลชั้นต้น จะพบการตีความว่า บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้คุ้มครองเฉพาะกษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่เท่านั้น และแม้รัชกาลที่ 9 จะสวรรคตไปแล้ว การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากเป็นการกระทำที่กระทบต่อรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นพระราชโอรส และะทรงครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- ศาลอุทธรณ์จำคุก ‘ใจ’ 2 ปี เหตุโพสต์ถึง ร.9 แม้ 112 คุ้มครองไม่ถึง
ขณะที่ ‘พอร์ท ไฟเย็น’ ซึ่งเป็นการโพสต์ในสมัยรัชกาลที่ 9 และไม่ได้ระบุเจาะจงถึงรัชกาลที่ 10 แต่ศาลอุทธรณ์กลับพิจารณาว่าการกระทำของ ‘พอร์ท' ทำให้รัชกาลที่ 10 เกิดความเสื่อมเสีย ทำให้ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง และศาลมองด้วยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันที่ครองราชย์อยู่ และกระทบต่อความมั่นคงของประเทศด้วย เพราะอดีตกษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระราชบิดาของกษัตริย์รัชกาลที่ 10 ซึ่งการวินิจฉัยลักษณะนี้คล้ายกับคดีของใจ
ปัจจุบัน ใจได้รับการประกันตัวในการสู้คดีชั้นฎีกา ส่วนพอร์ทตอนนี้ถูกนำตัวฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อรอศาลฎีกาพิจารณาคำสั่งว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ส่งผลให้ ณ ตอนนี้มีผู้ถูกคุมขังทางการเมืองทั้งคดีเด็ดขาดและระหว่างสู้ดคีอยู่ 43 ราย เกินกว่าครึ่งเป็นคดีมาตรา 112
พอร์ท ไฟเย็น หรือ ปริญญา ชีวินกุลปฐม
ไม่ใช่ครั้งแรก คดีพาดพิงรัชกาลที่ 4 ก็โดน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกๆ ที่ศาลตัดสินให้ตัวบทกฎหมายมาตรา 112 คุ้มครองอดีตกษัตริย์ หรือกษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว
เคยมีกรณี ณัชกฤช ผู้จัดรายการสถานีวิทยุชุมชน ในจังหวัดชลบุรี ถูกฟ้องมาตรา 112 เนื่องจากพูดพาดพิงรัชกาลที่ 4 ในรายการวิทยุเมื่อปี 2548 เป็นข้อความว่า “เพราะศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ในสิ่งใดที่เราคิดว่า เราเสียไปแล้วเนี๊ยะ ถ้าเราทำด้วยความอิสระ ทำด้วยความคิดเสรี เพื่อพี่น้องประชาชน เราไปครับ แต่ถ้าเราต้องไป แล้วต้องเป็นเหมือนกับสมัยรัชกาลที่ 4 เราไม่เป็นครับท่าน ยุคนั้นหมดไปแล้ว”
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกในคดีนี้ 4 ปี แต่จำเลยรับสารภาพลดโทษลงกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี โดยให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี แต่ชั้นศาลอุทธรณ์ตัดสินยกฟ้อง เนื่องจากไม่เข้าองค์ประกอบความผิด เพราะคำว่ากษัตริย์เฉพาะองค์ที่ครองราชย์อยู่
อย่างไรก็ตาม ในชั้นศาลฎีกากลับพิเคราะห์ว่าการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์ย่อมส่งผลกระทบต่อกษัตริย์องค์ปัจจุบัน จึงพิพากษากลับยืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งภายหลังคำพิพากษาของศาลฎีกาคดีนี้จะกลายเป็นต้นแบบของการพิพากษาคดีอื่นๆ ตามหลังอีกหลายคดี
‘ยุทธหัตถีไม่มีจริง' ถูกแจ้งมาตรา 112
สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียนและนักวิชาการเคยถูก พล.ท.ผดุง นิเวศวรรณ และ พล.ท.พิทยา วิมะลิน แจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ข้อหาความผิดตามมาตรา 112 เนื่องจากสุลักษณ์กล่าวพาดพิงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในเวทีวิชาการ “ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการชำระและการสร้าง” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่จัดโดยกลุ่มนักศึกษา เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2557 จากการพูดว่า การทำยุทธหัตถีไม่มีจริง
สุลักษณ์ ศิวรักษ์
อย่างไรก็ตาม คดีนี้ไปไม่ถึงศาลเพราะแม้ว่าเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2560 พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม สรุปสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องคดีดังกล่าว แต่ 17 ม.ค. 2561 อัยการทหารมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี โดยเห็นว่า ‘พยานหลักฐานไม่เพียงพอ’
อนึ่ง ในเวลานั้นคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) (ระหว่างปี 2557-2562) ได้มีคำสั่งให้มีการพิจารณาคดีมาตรา 112 บนศาลทหาร
วิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ก็กระทบ ร.10
คดีของ ‘จรัส’ (สงวนนามสกุล) ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการโพสต์วิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2565 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยืนตามศาลชั้นต้นจำคุก 3 ปี ก่อนลดเหลือ 1 ปี 4 เดือน และรอการลงโทษ 2 ปี
ศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลเข้าข่ายมาตรา 112 ว่า ประการแรก ตัวบทกฎหมายมาตรา 112 ไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นกษัตริย์ที่กำลังครองราชย์อยู่เท่านั้น ประการที่สอง การหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นอดีตพระมหากษัตริย์ก็ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันที่ยังคงครองราชย์อยู่ และประการที่สาม หากมาตรา 112 จำกัดแค่เฉพาะกษัตริย์องค์ปัจจุบัน การวิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นพระบิดาของรัชกาลที่ 10 ก็เป็นช่องให้เกิดการละเมิด หมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นกษัตริย์องค์ปัจจุบันได้
‘บัสบาส' โดนเพิ่ม โพสต์ถึง ร.9
‘บัสบาส’ มงคล ถิระโคตร พ่อค้าขายของออนไลน์ จากจังหวัดเชียงราย ถูกกล่าวหามาตรา 112 จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 ข้อความ จาก 2 คดี
เมื่อ 26 ม.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายตัดสินให้บัสบาส มีความผิดมาตรา 112 จำนวน 14 กรรม ที่เป็นข้อความเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 และยกฟ้องอีก 13 กรรม ที่เป็นข้อความเกี่ยวกับอดีตกษัตริย์หรือไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ แต่เมื่อ 18 ม.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้ตัดสิน ให้บัสบาสผิดมาตรา 112 เพิ่มอีก 11 กระทงจากโพสต์ที่พูดถึงอดีตกษัตริย์ โดยอ้างอิงจากคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 6374/2556 หรือคดีที่ ‘ณัชกฤช กล่าวพาดพิง ร.4’ ว่าการละเมิดหรือดูหมิ่นอดีตกษัตริย์ กระทบกับพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน
ผลจากคำตัดสินศาลอุทธรณ์ ภาค 5 ทำให้บัสบาส ผิดรวม 25 กระทง และถูกจำคุกสูงรวม 50 ปี นับได้ว่าเป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีมาตรา 112 ที่ถูกลงโทษสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ยึดตามคำพิพากษาศาลฎีกา บรรทัดฐานที่เปลี่ยนยาก
เข็มทอง ตันสกุลรุ่งเรือง นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ และอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า จริงๆ แล้ว มาตรา 112 คุ้มครอง 4 บุคคลเท่านั้น คือกษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และหากสังเกตจากภาษาอังกฤษ ก็มีการใช้คำว่า ‘the King’ ไม่ใช่ ‘the Kings’ ดังนั้น กฎหมายจึงเจาะจงเฉพาะกษัตริย์พระองค์เดียว
เข็มทอง มองว่าปัญหาระบบยุติธรรมของไทยคือนักกฎหมายมักยึดติดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาอย่างเคร่งครัดมาก โดยเฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6374/2556 (คดีกล่าวพาดพิง ร.4) แม้ว่าจะขัดแย้งกับตัวบทกฎหมายมาตรา 112
“เป็นที่รู้กันดีว่าการตีความมาตรา 112 ของรัฐไทยนั้นออกจะกว้างขวางไร้ขอบเขต แต่ถึงกระนั้น คนขี้สงสัยก็ยังทักถามพนักงานสอบสวนและอัยการไปว่า ทำไมบรรดาคุณท่านถึงได้สั่งฟ้องไปเช่นนั้น
“รายไหนรายนั้นต้องอ้างถึงคำพิพากษาฎีกาที่ 6374/2556 ซึ่งลงโทษจำเลยเนื่องจากหมิ่นรัชกาลที่ 4” เข็มทอง กล่าว
เข็มทอง ให้ความเห็นว่า แม้ว่าตามทฤษฎีของระบบประมวลกฎหมายอาญาควรยึดเอาลายลักษณ์อักษรตามตัวบทกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัตินักกฎหมายไทยมักยึดโยงกับคำพิพากษาศาลฎีกาอย่างเคร่งครัด เป็นบรรทัดฐาน ท่องจำเหมือนสูตรคาถามากกว่าวิเคราะห์ข้อต่างของกฎหมาย
อาจารย์จากจุฬาฯ มองว่า ผู้ใช้กฎหมายทราบดีว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6437/2556 ขัดกับหลักกฎหมาย แต่ก็จะเดินตามบรรทัดฐานนี้จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นไปได้ยาก ในปัจจุบันแม้ว่า ‘ศาลชั้นต้น’ หลายแห่งจะยึดตามหลักกฎหมายตีความมาตรา 112 โดยเคร่งครัดและยกฟ้องประชาชนจำนวนมากเนื่องจากพูดถึงอดีตกษัตริย์ แต่คำพิพากษาเหล่านี้เป็นคำพิพากษา ‘ศาลชั้นต้น’ ซึ่งใช้เป็นบรรทัดฐานกลับคำพิพากษาฎีกาไม่ได้ และถ้าดูแนวโน้มศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา กลับมีแนวโน้มจะตีความตามแนวเดิมคือยึดฎีกา 6374/2556 เจ้าปัญหา อย่างคดีวิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของ ร.9 ดังนั้น แม้ว่าฎีกานี้จะผิดพลาด แต่คงได้แต่รอคอยการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนกว่าศาลฎีกาจะขยับแก้ไขบรรทัดฐานนี้
นักประวัติศาสตร์กุมขมับ
ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการด้านนิติศาสตร์ เคยให้ความเห็นเมื่อปี 2565 ระบุถึงปัญหาตีความมาตรา 112 คุ้มครองอดีตพระมหากษัตริย์ จะกระทบกับขอบเขตการตีความกฎหมาย เพราะประชาชนจะไม่ทราบเลยว่าอดีตกษัตริย์ขอบเขตอยู่ไหน จะถอยไปถึงพระองค์ไหน หรือเอาช่วงเวลาไหนเป็นหลักเกณฑ์
“ถอยไปถึงพ่อขุนรามฯ ไหม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ฯ ไหม แล้วประเทศไทยตั้งวันไหนไม่รู้ เราจะหาพระมหากษัตริย์องค์แรกของไทย องค์ไหนที่ตั้งเป็นทางการยังไม่รู้” ปิยบุตร ตั้งคำถาม
ปิยบุตร ชี้ให้เห็นปัญหาจากการตีคุ้มครองอดีตกษัตริย์ด้วยว่า จะส่งผลกระทบต่องานศึกษาด้านประวัติศาสตร์ เพราะนักวิชาการไม่ว่าสำนักไหนวิจารณ์อดีตกษัตริย์ไม่ได้เลย ในตำราเรียนวิจารณ์กษัตริย์ในอดีตอย่างพระเจ้าเอกทัศเรื่องการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ผิดไหม ต้องไปยึดแล้วห้ามเผยแพร่หรือไม่ ภาพยนตร์เชิงประวัติศาสตร์ที่วิจารณ์กษัตริย์พูดได้ไหม ตั้งคำถามศิลาจารึกถือว่าเข้าข่ายหมิ่นพ่อขุนรามคำแหงหรือไม่ หรือเราสามารถวิจารณ์รัฐรวมศูนย์ของรัชกาลที่ 5 ได้หรือไม่
“มันเกิดปัญหาว่า ขอบเขตจุดสิ้นสุดขององค์ประกอบความผิด 112 อยู่ตรงไหน คุณจะถอยไปถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ไหน ตีความแบบนี้ไม่ต้องเรียนแล้วประวัติศาสตร์ประเทศไทย” ปิยบุตร กล่าวย้ำ
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )