อดีตทหารเกาหลีเหนือคิดอย่างไรต่อกองกำลังของประเทศที่กำลังต่อสู้ในรัสเซีย ?

ที่มาของภาพ, Reuters

คำบรรยายภาพ, สหรัฐฯ และยูเครนบอกว่ากองทัพเกาหลีเหนือกำลังต่อสู้กับกองกำลังยูเครนในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย

Article data

  • Creator, จีน แมคเคนซี
  • Purpose, ผู้สื่อข่าวประจำกรุงโซล

สิ่งที่ฮานูลจำได้มากที่สุดเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เขาประจำการอยู่ในกองทัพเกาหลีเหนือ คือ ความหิวโหยที่กัดกินอย่างต่อเนื่อง น้ำหนักของเขาลดลงไป 10 กิโลกรัม ในช่วงเดือนแรกของการรับราชการ เนื่องจากมีเพียงเศษข้าวโพดหัก ๆ กับกะหล่ำปลีขึ้นรา เป็นอาหาร

เขาบอกว่าเกือบทั้งกองพันของเขาต่างขาดสารอาหารอย่างรุนแรง และจำเป็นต้องถูกส่งไปยังศูนย์ฟื้นฟูเพื่อเพิ่มน้ำหนัก

ต่อมาพวกเขาถูกส่งไปตรึงกำลังในพื้นที่แนวหน้าชายแดนเกาหลีใต้ อาหารเปลี่ยนจากข้าวโพดเป็นข้าว แต่กว่ามันจะมาถึงชามของพวกเขา มันก็ถูกแบ่งไปให้หน่วยอื่น ๆ ที่อยู่แนวหลังเกือบหมดแล้ว และส่วนที่เหลือพอได้กินก็ผสมกับกรวดจนแทบไม่เหลือข้าว

ฮานูลกล่าวว่าหน่วยของเขาเป็นหนึ่งในหน่วยที่ได้รับอาหารที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาแปรพักตร์ไปยังเกาหลีใต้ แต่สิ่งนั้นก็ล้มเหลวในการโน้มน้าวใจฮานูล

ปี 2012 เขาตัดสินใจฝ่าความตายด้วยการวิ่งข้ามเขตปลอดทหาร (Demilitarised Zone – DMZ) ซึ่งเป็นแถบดินแดนที่แบ่งเกาหลีออกเป็นเหนือกับใต้

Skip เรื่องแนะนำ and continue readingเรื่องแนะนำ

Pause of เรื่องแนะนำ

ประสบการณ์ของเขาและอดีตทหารเกาหลีเหนือผู้แปรพักตร์คนอื่น ๆ ช่วยสะท้อนให้เห็นเกี่ยวกับสภาพของทหารเกาหลีเหนือหลายพันนายที่ถูกส่งไปยังแนวหน้าในสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ที่มาของภาพ, BBC/Hosu Lee

คำบรรยายภาพ, ตอนเขาตัดสินใจแปรพักตร์ในปี 2012 ฮานูลกำลังเป็นทหารที่หน่วยป้องกันชายแดนบริเวณเขตปลอดทหารตรงเกาหลีใต้

มีรายงานว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือได้ส่งทหารประมาณ 11,000 นาย ไปช่วยกองกำลังรัสเซียทวงคืนพื้นที่ส่วนหนึ่งของภูมิภาคเคิร์สก์ซึ่งถูกยึดครองโดยยูเครน หลังเกิดการโจมตีที่ไม่คาดคิดในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา

ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลยูเครนกล่าวตรงกันว่า ทหารเกาหลีเหนือ “จำนวนมาก” และ “หลายสิบคน” ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม ผู้แปรพักตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารคนอื่น ๆ บอกกับบีบีซีว่า ไม่ควรประเมินความสามารถของกองกำลังเหล่านี้ต่ำเกินไป โดยข้อมูลของหน่วยข่าวกรองเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ระบุว่ากองกำลังเกาหลีเหนือที่ถูกส่งไปรบนั้นส่วนใหญ่อยู่ในหน่วยชั้นยอดอย่าง “สตรอม คอร์ปส์ (Strom Corps หรือแปลเป็นไทยได้ว่าหน่วยกองกำลังพายุ)” และ “มีขวัญกำลังใจสูง” แต่ “ขาดความเข้าใจในสงครามร่วมสมัย”

ลี ฮยุน ซึง ซึ่งเคยเป็นครูฝึกกองกำลังพิเศษของเกาหลีเหนือในช่วงต้นทศวรรษ 2000 และกลายเป็นผู้แปรพักตร์ในปี 2014 บอกว่ามีแต่ชายสูงโปร่งหุ่นนักกีฬาเท่านั้นที่ได้รับเลือกให้อยู่หน่วยสตรอม คอร์ปส์

เขาสอนศิลปะการต่อสู้ วิธีขว้างมีด และทำอาวุธจากช้อนส้อม รวมถึงอุปกรณ์ครัวอื่น ๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการฝึกกองกำลังสตรอม คอร์ปส์ จะมีความเชี่ยวชาญทางยุทธวิธีเหนือกว่าหน่วยทหารปกติของเกาหลีเหนือ แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในสภาพขาดสารอาหารและได้รับอาหารไม่เพียงพอ

ฮานูลกล่าวว่า วิดีโอออนไลน์ต่าง ๆ รายงานให้เห็นว่ากำลังพลเกาหลีเหนือในรัสเซียเป็นทหารอายุน้อย และ “อ่อนแอ” ซึ่งตรงข้ามกับโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือที่แสดงให้เห็นถึงผู้ชายที่แหกทลายโซ่เหล็กและทุบก้อนน้ำแข็งด้วยมือเปล่า

ฮานูลเล่าว่าตลอดระยะเวลาที่ประจำการอยู่ในกองทัพ เขายิงกระสุนจริงเพียง 3 นัด ในการฝึกยิงจริงซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว

ช่วงที่ชายคนนี้รู้สึกว่าเข้าใกล้การต่อสู้มากที่สุด คือ เมื่อชาวนาผู้หิวโหยเผลอหลุดเข้าไปในเขตปลอดทหารเพื่อหาผักมากิน โดยฮานูลบอกว่าเขาเพิกเฉยต่อคำสั่งให้ “ยิงผู้บุกรุก” และปล่อยชายคนนั้นไปพร้อมกับคำเตือน

ที่มาของภาพ, BBC/Hosu Lee

คำบรรยายภาพ, ลี ฮยุน ซึง เป็นผู้ฝึกสอนหน่วยรบพิเศษในเกาหลีเหนือช่วงต้นทศวรรษ 2000

เป็นเรื่องยากที่จะทราบว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ฮานูลแปรพักตร์ เนื่องจากขาดแคลนข้อมูลจากฝั่งเกาหลีเหนือ แต่ดูเหมือนว่าคิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ได้นำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดไปใช้กับขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ มากกว่าจะมาลงที่กองทัพประจำการของเขา

จากข้อมูลของริว ซองฮยอน อดีตทหารเกาหลีเหนืออีกคนหนึ่งซึ่งกลายเป็นผู้แปรพักตร์เมื่อปี 2019 บอกว่า ในช่วงสามปีแรกของการรับราชการในกองทัพนั้น “ยากลำบากอย่างเหลือเชื่อ” แม้กระทั่งสำหรับกองกำลังพิเศษ โดยชายวัย 28 ปีคนนี้ เคยทำงานเป็นพลขับในกองทัพอากาศเป็นเวลา 7 ปีด้วยกัน

เขาบอกว่าสภาพความเป็นอยู่ในช่วงรับราชการนั้นแย่ลงเรื่อย ๆ และข้าวก็ค่อย ๆ หายไปจากมื้ออาหาร

“ทหารถูกส่งไปที่ภูเขาเป็นเวลาหลายวันพร้อมกับข้าวปริมาณเพียงเล็กน้อย และได้รับแจ้งว่าเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกเอาตัวรอด” เขาบอก

เนื่องจากกองกำลังเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนให้ต่อสู้ในคาบสมุทรเกาหลีซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขา ริวตั้งคำถามว่าพวกเขาจะปรับตัวให้เข้ากับการต่อสู้ในพื้นที่ราบและสนามเพลาะของภูมิภาคเคิร์สก์ได้ดีเพียงใด

ที่สำคัญคือหน่วยสตรอม คอร์ปส์ ไม่ใช่หน่วยแนวหน้า เพราะ “ภารกิจของพวกเขา คือการแทรกซึมเข้าไปในแนวข้าศึกและสร้างความโกลาหลลึกเข้าไปในดินแดนของศรัตรู” ริวกล่าว

แต่เขาเสริมว่าคิม จอง-อึน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากส่งกองกำลังพิเศษไปร่วมสู้รบ เพราะทหารทั่วไปใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำฟาร์มหรือการเกษตร

“คิม จอง-อึน ต้องส่งคนที่สามารถแสดงทักษะการต่อสู้ได้ในระดับหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชื่อเสียงของเกาหลีเหนือถูกทำลาย” เขากล่าว

ที่มาของภาพ, BBC/Maxine Collins

คำบรรยายภาพ, ริวกล่าวว่าทหารเกาหลีเหนือถูกส่งไปอยู่ในภูเขาเป็นเวลาหลายวัน พร้อมกับข้าวเล็กน้อย โดยถูกบอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกเอาชีวิตรอด

กำแพงภาษาดูเหมือนว่าจะสร้างอุปสรรคเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (15 ธ.ค.) หน่วยข่าวกรองกลาโหมของยูเครนกล่าวว่า ปัญหาด้านการสื่อสารทำให้ทหารเกาหลีเหนือยิงใส่กองพันทหารของรัสเซียโดยไม่ได้ตั้งใจ และคร่าชีวิตทหารไป 8 นาย

จากการประเมินเหล่านี้ มันอาจเป็นเรื่องง่ายที่จะมองว่ากองกำลังเหล่านี้ไม่ได้ต่างจาก “ทหารที่เป็นเพียงวัตถุในการทำสงคราม” และเป็นสัญญาณความสิ้นหวังของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แต่ผู้แปรพักตร์แย้งว่าความจงรักภักดีต่อระบอบการปกครองและวิญญาณนักสู้ของพวกเขาไม่อาจประเมินค่าได้

“ทหารส่วนใหญ่ของหน่วยสตรอม คอร์ปส์ มาจากชนชั้นแรงงานหรือครอบครัวเกษตรกรรมผู้เชื่อฟังพรรคอย่างมาก และจะทำตามทุกคำสั่งโดยไม่มีคำถามใด ๆ” ฮานูล ซึ่งพ่อและลูกพี่ลูกน้องของเขาเคยอยู่ในกองกำลังพิเศษ กล่าว

ลีกล่าวเสริมว่าในทุก ๆ เช้า จะมีกระบวนการ “ล้างสมอง” และสร้างอุดมการณ์อย่างเข้มข้น เพื่อช่วยให้มั่นใจได้ว่าพวกเขามีความพร้อมทางจิตใจ โดยเขาเชื่อว่ากองกำลังของเกาหลีเหนือ “จะปรับตัวกับสนามรบ เรียนรู้วิธีต่อสู้กับศัตรู และหาทางเอาชีวิตรอดได้”

แม้ว่าทหารเหล่านั้นจะไม่มีทางเลือกว่าจะถูกส่งไปรบหรือไม่ แต่ริวคิดว่าพวกเขาอาจต้องการออกไปรบเอง เพราะทหารที่มีความทะเยอทะยานจะมองว่านี่เป็นโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการทำงานของพวกเขา

และหากพิจารณาความยากลำบากในการเป็นทหารอยู่ในเกาหลีเหนือ ทหารบางคนอาจจะรู้สึกยินดีที่จะได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ชีวิตในต่างประเทศเป็นครั้งแรก

“ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะเต็มใจไปต่อสู้ร่วมกับกองทัพรัสเซีย” เขากล่าวเสริม และยอมรับว่าตนเองคงอยากถูกส่งไปร่วมรบหากยังประจำการในกองทัพ

ชุน อิน-บัม อดีตผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษของเกาหลีใต้ เห็นด้วยกับการประเมินของผู้แปรพักตร์

“เพียงเพราะเขาขาดอาหารและไม่ได้รับการฝึกฝน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีความสามารถ พวกเขาจะปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว เราไม่ควรประมาทพวกเขา”

แม้ทหาร 11,000 นาย ไม่น่าพลิกสถานการณ์สงครามที่ยืดเยื้อได้สำเร็จ แต่คาดว่ารัสเซียกำลังประสบปัญหากับการบาดเจ็บล้มตายของกำลังพลมากกว่า 1,000 คนต่อวัน โดยผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่เชื่อว่า นี่อาจเป็นการส่งกำลังเสริมจากเปียงยางชุดแรก และเกาหลีเหนืออาจส่งกำลังพลมาสมทบได้มากถึง 60,000-100,000 นาย หากพวกเขามีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกำลังพล

ในตัวเลขเหล่านี้ ชุนเชื่อว่าพวกเขาอาจทำให้การรบมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้คิม จอง-อึน ยังสามารถแบกรับผลกระทบจากความสูญเสียครั้งใหญ่ โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพระบอบการปกครองของเขา

“ผู้ที่ถูกส่งไปจะเป็นผู้ชายที่ไม่มีอิทธิพลหรือไม่มีสายสัมพันธ์ พูดง่าย ๆ ก็คือ สามารถสละชีวิตได้โดยไม่มีปัญหา” ฮานูลกล่าว

เขาจำได้ว่ารู้สึกตกใจเมื่อรู้ว่าไม่มีลูกของบุคคลระดับสูง ถูกส่งมาประจำการในหน่วยแนวหน้าของเขา

“นั่นเป็นตอนที่ผมตระหนักได้ว่า พวกเราไม่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้” เขากล่าว

ฮายูลไม่ได้คาดหวังการต่อต้านมากนักจากครอบครัวผู้เสียชีวิต เพราะพวกเขาจะถูกยกย่องในฐานะวีรบุรุษ

“มีพ่อแม่จำนวนนับไม่ถ้วนที่สูญเสียลูก ๆ ไป หลังจากส่งพวกเขาไปประจำการในกองทัพ” เขากล่าวเสริม และนึกได้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนที่สองของเขาก็เสียชีวิตด้วยเช่นกัน โดยป้าของเขาได้รับใบเกียรติบัตรยกย่องว่าลูกชายของเธอจากไปในฐานะวีรบุรุษ

ที่มาของภาพ, Reuters

คำบรรยายภาพ, ภาพถ่ายที่เผยแพร่โดยสื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงกองกำลังพิเศษกำลังเข้าร่วมการฝึกซ้อม

ความภักดีของทหารเกาหลีเหนือและครอบครัวของพวกเขา อาจลดความหวังของยูเครนและเกาหลีใต้ลง เนื่องจากพวกเขาเคยคาดว่ากองกำลังเหล่านั้นอาจแปรพักตร์เมื่อก้าวสู่สนามรบ โดยทางการยูเครนและเกาหลีใต้ได้หารือกันเกี่ยวกับการดำเนินการทางจิตวิทยาในแนวหน้า เพื่อกระตุ้นให้ทหารเกาหลีเหนือยอมจำนน

แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงโทรศัพท์มือถือของทหารเกาหลีเหนือได้ จากข้อมูลของหน่วยข่าวกรองยูเครนพบว่า แม้แต่โทรศัพท์ของทหารของรัสเซียยังถูกยึดไว้ก่อนที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังของเกาหลีเหนือ

ดังนั้น ความเป็นไปได้ของกลยุทธ์นี้ จึงเหลือแค่เพียงวิธีการประกาศข้อความผ่านลำโพง หรือใช้โดรนหว่านใบปลิว

ทั้งริวและฮานูลตัดสินใจแปรพักตร์หลังอ่านโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านระบอบการปกครองที่ส่งข้ามแดนมาจากเกาหลีใต้ แต่พวกเขายังสงสัยว่าวิธีการนี้จะได้ผลหรือไม่ในสมรภูมิไกลบ้าน

พวกเขาบอกว่ามันใช้เวลานานมากในการสร้างความปรารถนาและกระตุ้นให้เกิดความกล้าหาญเพื่อแปรพักตร์

นอกจากนี้ฮานูล ยังสงสัยด้วยว่าเจ้าหน้าที่จะได้รับคำสั่งให้ยิงทันทีเมื่อพบใครก็ตามที่พยายามหลบหนี โดยจำได้ว่าสหายของเขาเปิดฉากยิงทันทีเมื่อเขาวิ่งข้ามเขตปลอดทหารโดยไม่คิดถึงชีวิต

“กระสุน 12 นัดบินเฉียดหัวของผมไปเพียง 1 เมตร” เขากล่าว

การจับกุมกองกำลังเกาหลีเหนือก็เป็นความท้าทายของยูเครนเช่นกัน สำหรับชาวเกาหลีเหนือแล้ว การถูกจับเป็นเชลยศึกถือเป็นความน่าอับอายยิ่งกว่าตายในการรบ ทหารถูกสอนให้ปลิดชีพตัวเองด้วยการยิงตัวตายหรือจุดชนวนระเบิด

ริวนึกถึงเพลงในกองทัพที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เพลงนั้นมีชื่อว่า “รักษากระสุนนัดสุดท้ายไว้” โดยมีเนื้อเพลงที่ “พวกเขาบอกคุณว่าให้เก็บกระสุน 2 นัดสุดท้ายไว้ นัดหนึ่งเพื่อยิงศัตรู และอีกนัดเพื่อยิงตัวเอง”

อย่างไรก็ตาม ลี อดีตผู้ฝึกสอนในหน่วยพิเศษมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการเสนอตัวเองเข้าไปช่วยเหลือในแนวหน้า เพื่อสื่อสารกับทหารเกาหลีเหนือโดยตรง

“มันไม่น่าจะทำให้กำลังพลจำนวนมากแปรพักตร์ แต่เราต้องพยายาม การได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเช่นผมและคนอื่น ๆ จากเกาหลีเหนือ อาจส่งผลในทางจิตวิทยาต่อพวกเขา” ลี กล่าว

ด้านฮานูลหวังว่าทหารเกาหลีเหนือจะรอดชีวิตกลับมาบ้าน เพราะมันมีความเป็นไปได้ว่าญาติของเขาเองบางคน อาจอยู่ในกองกำลังที่ถูกส่งไปช่วยรัสเซียรบ

“ผมแค่หวังว่าพวกเขาจะผ่านพ้นมันไปได้ และกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย”

รายงานเพิ่มเติมโดย เจค ควอน และ โฮซู ลี