พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เป็นประธานประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมพนักงานอัยการ นัดแรก วางแนวทางสอบสวน คดีฮั้วเลือก สว. ขอข้อมูลธนาคารพาณิชย์ ตรวจสอบสเตทเม้น – เส้นเงิน โยง กระทำความผิดฐานฟอกเงิน เผย เริ่มดำเนินการสอบพยานสัปดาห์หน้า ยืนยัน ละเว้นไม่ได้ – พร้อมถูก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตรวจสอบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 มีนาคม 2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เป็นประธานการประชุมกรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคล ที่กระทำความผิดตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการกระทำความผิดตามบัญชีท้ายประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2565 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ข้อ 7 คดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) (ข) (ค) (ง) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นคดีพิเศษที่ 24/2568
พันตำรวจตรี ยุทธา ออกมาให้สัมภาษณ์ระหว่างการประชุมไปแล้ว 2 ชั่วโมง ว่า วันนี้เป็นการประชุมร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการจำนวน 5 คน ครั้งแรก ภายหลังคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมเป็นประธาน มีมติรับคดีฟอกเงินเป็นคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2568 เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในปี 2567
@ วางแนวทางสอบสวนร่วมพนักงานอัยการ
พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า โดยวันนี้เป็นการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางสอบสวน ซึ่งเป็นการสรุปข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ได้มาจากการสืบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการได้ทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหา เพื่อจะได้ให้ที่ประชุมได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการรวบรวมพยานหลักฐาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุมในวันนี้ ได้มีการแบ่งงาน แบ่งงานกันระหว่างดีเอสไอกับพนักงานอัยการหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า เรื่องนี้เป็นไปตามข้อบังคับการสอบสวนร่วมกันระหว่างดีเอสไอกับอัยการอยู่แล้ว ข้อบังคับกำหนดว่า ถ้าจะบันทึกปากคำพยาน จะต้องร่วมกันกี่ฝ่ายอย่างไร ตลอดจนมีข้อยกเว้นหากเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญ สามารถมอบหมายให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษสอบฝ่ายเดียวได้ แต่ต้องสรุปประเด็นให้พนักงานอัยการทราบในภายหลัง
@ ขอข้อมูลธนาคาร-ตรวจสเตทเม้น
เมื่อถามว่า กรอบและแนวทางเป็นอย่างไรบ้าง พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานประเด็นฟอกเงินเป็นหลัก
“เป็นการรวบรวม ดูตัวละครว่าใครที่มีส่วนในการรับโอนเงินในเรื่องนี้บ้าง คงต้องตรวจสอบสเตทเม้น โดยขอข้อมูลจากธนาคาร ซึ่งดูทั้งบุคคลและเอกสาร” พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
เมื่อถามว่า หมายถึงดูว่าเงินได้มาจากอะไร ได้มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้องใช่หรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ถูกต้อง
เมื่อถามว่า ดูจากข้อมูล หรือพยานหลักฐานต่างๆตอนนี้น้ำหนักกี่เปอร์เซ็นต์ หรือขาดอีกเยอะมากน้อยแค่ไหน พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ในชั้นสืบสวนดีเอสไอมีข้อมูลระดับหนึ่ง เพียงแต่ในชั้นนี้ เราต้องรวบรวมพยานหลักฐานร่วมกับพนักงานอัยการอีกครั้งหนึ่ง พยานบุคคลต่างๆ อาจจะต้องสอบปากคำอีกครั้งหนึ่งในชั้นสอบสวน
เมื่อถามว่า วางกรอบไว้ว่าจะต้องสอบกี่คน พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า มีจำนวนมาก แต่บอกไม่ได้
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้มีรายชื่อพยาน 7,000 กว่ารายชื่อหลุดออกมาจเรียกมาสอบหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า โดยหลักการ ถ้าพยานบุคคลใดเกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีต้องเรียกมาสอบทั้งหมด
@ ยังไม่เรียกสอบ ผู้ยิ่งใหญ่-เจ้
เมื่อถามว่า นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋นบอกว่ามีสองผู้ยิ่งใหญ่กับอีกหนึ่งเจ้ จะเรียกมาสอบหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า หากข้อมลพยานหลักฐานไปถึงใครและจำเป็นที่ต้องพิสูจน์ความผิดก็ต้องเรียกมาสอบทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อถามว่า ในชั้นนี้มีชื่อบุคคลดังกล่าวอยู่ในลิสต์หรือยัง หรืออยู่ในกลุ่มที่จะต้องมาเรียกสอบ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า มี เป็นบุคคลที่เราคาดหมายว่าจะต้องเรียกมาสอบอยู่แล้ว
เมื่อถามย้ำว่า หมายถึงคนที่จะเรียกมาสอบคือ 2 ผู้ยิ่งใหญ่กับอีก 1 เจ้ ใช่หรือไม่ พันตำรวจตร ยุทธนากล่าวว่า
“ไม่ครับ ไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ระบุว่า มีผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องสอบ”พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
เมื่อถามว่า หมายถึงเป็นคนเดียวกันกับที่ทนายอั๋นบอกหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า “ไม่ได้ฟัง”
รายงานงานข่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าที่คณะพนักงานสืบสวนจะเริ่มประชุมทนายอั๋นได้มายื่นเรื่องต่อดีเอสไอในคดีฮั้วเลือกสว. และได้กล่าวถึง 2 ผู้ยิ่งใหญ่ กับอีก 1 เจ้ ในเรื่องการเลือก สว.
ผู้สื่อข่าถามต่อไปว่า รายชื่อ 7,000 คนจะต้องเรียกมาสอบทั้งหมดหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า เกือบทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
“ถ้ามีการรับโอนเงินทั้งหมด ก็ต้องสอบทั้งหมด”พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
เมื่อถามว่า ถ้าพบเส้นทางการเงินไปถึงใครก็ต้องเรียกมาตรวจสอบทั้งหมดใช่หรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ต้องตรวจสอบก่อน
เมื่อถามว่า การตรวจสอบสเตทเม้นย้อนหลังไปถึงปีไหน พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า เริ่มตั้งแต่ช่วงการเลือกสว.ในปี 2567
เมื่อถามว่า เรื่องนี้ปลายทางจะไปจบที่ตรงไหน พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ถ้ามีพยานหลักฐานที่พบว่าเป็นการกระทำความผิดทางอาญาต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดี และมีกระบวนการให้ผู้ต้องหาได้พิสูจน์ หรือแก้ข้อกล่าวหา
@ กันไว้เป็นพยานต้องไม่ใช่ตัวการสำคัญ
ส่วนผู้กระทำความผิดแต่ให้การเป็นประโยชน์จะกันไว้เป็นพยานหรือไม่นั้น พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ต้องพิจารณาร่วมกันกับพนักงานอัยการ อย่างไรก็ตามมีหลักเกณฑ์การกันไว้เป็นพยานว่า ต้องเป็นพยานที่ไม่ใช่เป็นตัวการสำคัญ
เมื่อถามว่า ถ้าดูตามไทม์ไลน์ คาดว่าจะเรียกพยานกลุ่มแรกมาสอบได้เมื่อไหร่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ภายหลังจากประชุมคณะพนักงานสอบสวนในวันนี้ ซึ่งเป็นการเชิญพนักงานอัยการมาร่วมประชุมเปิดคดีแล้ว สามารถเริ่มต้นกระบวนการสอบสวนได้เลย
“ถ้าเรานัดหมายพยานได้เมื่อใด เราก็จะสอบได้เลยนับตั้งแต่หลังเลิกประชุมในวันนี้เลย ซึ่งมีวิธีการสอบได้หลายกรณี เชิญก็ได้ ออกหมายเรียกมาก็ได้ หรือนัดหมายไปก็ได้ การสอบสวนจะสอบสวนที่ไหน เวลาใดก็ได้ ต้องวางแผนสอบพยานให้ครอบคลุม”พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
เมื่อถามว่า จะต้องเรียก สว.138 คน และ สว.สำรองอีก 2 คนมาสอบหรือไม่ พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ต้องสอบพยานแวดล้อมอื่น ๆ ก่อน
พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า คณะพนักงานสอบสวนยังต้องต้องแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกจำนวนมาก จากการสืบสวนเราทราบพฤติการณ์เบื้องต้นว่ามีมูลการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น แต่พยานหลักว่าที่จะระบุว่าบุคคลใดจะกระทำความผิดบ้างยังต้องแสวงหาพยานหลักฐานอีกจำนวนมาก โดยจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานให้เร็วที่สุด
พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ส่วนฐานความผิดอื่น ถ้าพบว่าเป็นการกระทำความผิดด้วย ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 สามารถดำเนินคดีที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกับคดีพิเศษนั้นได้
“ถ้าเราพบการกระทำความผิด ถ้าเราพิจารณาแล้วเป็นกรรมเดียวผิดหลายบท แล้วบทใดบทหนึ่งที่ดำเนินคดีพิเศษอยู่แล้ว เราก็สามารถดำเนินคดีในกรรมอื่น ๆ นั้นด้วย หรือ ความผิดที่ต่อเนื่องเกี่ยวกันกันก็ถือว่าเป็นคดีพิเศษด้วย ซึ่งต้องเป็นภายหลังจากดำเนินคดีหลักที่กคพ.มีมติรับไว้เป็นคดีพิเศษ”พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
@ ยืนยันตามกฎหมาย ละเว้นไม่ได้-พร้อมให้ตรวจสอบ
เมื่อถามว่า สังคมมองว่าเป็นคดีการเมือง สุดท้ายเป็นมวยล้มต้มคนดู จะให้ความเชื่อมั่นอย่างไร พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า ถ้าเป็นการกระทำผิดทางอาญาแล้ว เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ ถ้าไม่ทำก็จะมีความผิดเสียเอง เมื่อมีคนมาร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วก็ต้องดำเนินการ เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่สามารถละเว้นได้
“ส่วนใครจะมองเป็นเรื่องการเมืองก็คิดได้ ไม่ว่าทุกองค์กร ถ้ามีคดีเกี่ยวกับการเมือง แล้วมีการกระทำผิดทางอาญาก็ต้องดำเนินการ”พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
เมื่อถามว่า เตรียมตัวชี้แจงกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) อย่างไร หลังจาก สว.ได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนมาตรา 157 พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าวว่า พร้อมให้มีการตรวจสอบ เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ต้องกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมาย พร้อมให้มีการตรวจสอบ
“เรายืนยันว่า เราดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”พันตำรวจตรี ยุทธนากล่าว
ด้านนายนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 กล่าวเสริมถึงแนวทางการสอบสวนว่า คณะพนักงานสอบสวนต้องหาทางระบุว่า พยานไหนจะชี้ว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงจะระบุได้ว่า ใครกระทำผิดกฏหมาย เพราะฉะนั้นพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ถ้าสามารถระบุได้ว่ามีการกระทำความผิดและใครเป็นผู้กระทำความผิด ต้องสอบให้หมด
ส่วนจะเรียกใครมาสอบบ้างนั้น นายสุริยนกล่าวว่า ต้องจัดลำดับความสำคัญ จัดเป็นกลุ่มและแบ่งพนักงานสอบสวน เนื่องจากพยานแต่ละปากมีความสำคัญไม่เท่ากัน เช่น ผู้เห็นเหตุการณ์ หรือ มีส่วนร่วมโดยตรง
@ ที่ประชุมมีมติ เริ่มสอบพยานสัปดาห์หน้า
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมกรมสอบสวนคดีพิเศษส่งเพรสข่าว ผลการประชุมร่วมระหว่างคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกับคณะพนักงานอัยการ ซึ่งได้ร่วมกันประชุมเปิดคดีกรณีความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่ง สว.คดีพิเศษที่ 24/2568 โดยที่ประชุมได้มีมติ 4 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 ประชุมได้รับทราบกรณีตามที่ กกต. ได้แต่งตั้งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 3 ราย ร่วมเป็นคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนให้มีหน้าที่และอำนาจในการสืบสวนและไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในทุกพื้นที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งจะได้มีการบูรณาการการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เรื่องที่ 2 ที่ประชุมได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน ซึ่งจะเริ่มดำเนินการสอบสวนพยานในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงติดตามเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ผู้โอน ผู้รับโอนเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน
เรื่องที่ 3 ได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีหนังสือสอบถามติดตามผลการดำเนินการจากหน่วยงานของรัฐที่มีการรับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้ในคดีความผิดมูลฐานเพื่อนำมาประกอบการพิจารณา
เรื่องที่ 4 ได้มอบหมายให้มีการประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณี การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานของรัฐเกี่ยวกับการดำเนินการตามประเด็นเรื่องที่ 1 และการดำเนินคดีฟอกเงินที่เป็นคดีพิเศษให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การดำเนินการสอบสวนคดีพิเศษให้มีความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม เป็นนโยบายหลักของ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการสอบสวนคดีพิเศษและให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ศรัทธาของสังคม ในการป้องกันปราบปราม สืบสวนสอบสวนคดีในความรับผิดชอบเพื่อให้การบริหาทองค์การมีความยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลต่อไป
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )