“อยู่ใต้อิทธิพลจีน-ไร้อำนาจต่อรองในเวทีนานาชาติ” นักวิชาการมองการต่างประเทศรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” สวนทางคำแถลงนโยบาย

ที่มาของภาพ : Royal Thai Authorities
- Author, นงนภัส พัฒน์แช่ม
- Position, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย พาสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งเดินทางเยือนเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ของจีน เมื่อ 19-20 มี.ค. ที่ผ่านมา ท่ามกลางสายตาจับจ้องของนานาชาติ หลังไทยส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คนให้กับจีน ตั้งแต่ 27 ก.พ. นำมาซึ่งมาตรการตอบโต้ทั้งจากสหรัฐอเมริกาและสภายุโรป ขณะที่ไทยและจีนยืนยันว่า ได้ทำตามหลักสิทธิมนุษยชน
ตลอด 6 เดือนในการทำงานของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีหลายเหตุการณ์ที่การต่างประเทศของไทยถูกตั้งคำถาม ทั้งเรื่องเรือรบชาวเมียนมายิvเรือประมงไทย การรุกล้ำของกองกำลังว้าแดงเข้ามาในพรมแดน รวมถึงกรณีล่าสุดที่ปรากฏภาพความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของไทยและจีนในการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์จนมาสู่การส่งกลับชาวอุยกูร์ แต่มันกลับสั่นสะเทือนความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
บีบีซีไทย พูดคุยกับ 3 นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์การดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศของรัฐบาลชุดนี้ว่าไทยควรยืนอย่างไร ไม่ให้ “เสียประโยชน์” ในความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ หลังจากที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จนถึงครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธาร จะต้องเผชิญความท้าทายครั้งสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของเธอ ซึ่งจะเริ่มต้นในวันที่ 24 มี.ค. นี้
คำมั่นสัญญารัฐบาล “แพทองธาร”
“คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี” ที่ น.ส.แพทองธาร กล่าวแถลงต่อรัฐสภาเมื่อ 12 ก.ย. 2567 ช่วงหนึ่งระบุถึง “ความท้าทายจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์” เป็นความท้าทายหนึ่งที่ไทยต้องเผชิญจากการ “แบ่งฝ่ายแยกขั้วระหว่างประเทศมหาอำนาจและประเทศต่าง ๆ การกีดกันทางการค้า (Protectionism) การใช้กฎระเบียบโลกสร้างอุปสรรคทางอ้อมในการแข่งขัน” ทำให้ทุกประเทศต้องปรับท่าทีและยุทธศาสตร์ในการดำเนินนโยบาย รวมถึงปรับท่าทีในการมีปฏิสัมพันธ์กับนานาประเทศ
ช่วงหนึ่งของคำแถลงนโยบาย (หน้า 12-13) เธอกล่าวถึงการรับมือกับเรื่องนี้โดยตรงว่าจะแปลง “ความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ” ไปสู่ “ยุทธศาสตร์ที่จะเสริมสร้างโอกาสให้ประเทศไทย” และเกื้อกูลผลประโยชน์ของประชาชนมากที่สุด ด้วย 2 ข้อ คือ
1. รัฐบาลจะรักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ (Non-Warfare) ซึ่งระบุถึงการ
- จะดำเนินความสัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างจริงใจและสร้างสรรค์ในกรอบของกฎหมายระหว่างประเทศและบรรทัดฐานสากล โดยมี “ผลประโยชน์ของชาติ” เป็นแกนกลางสำคัญ
- มุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับนานาประเทศเพื่อส่งเสริม “สันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน” ให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่แห่งโอกาสสำหรับคนไทยและชาวต่างชาติ
- เพื่อดึงดูดแรงงานทักษะสูง ผู้ประกอบการ และนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายเข้ามาเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย
2. รัฐบาลจะเดินหน้าสานต่อนโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก และการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ (Refined Energy) ระบุถึงการ
- ส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว
- เสริมสร้างโอกาสความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ
- แก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศทั้งระบบทวิภาคี (Bilateral) และพหุภาคี (Multilateral)
- เร่งเจรจา ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ
- ยกระดับมาตรฐานของประเทศ เพิ่มบทบาทประเทศไทยในเวทีโลก
- เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
นอกจากนี้ ใน 10 นโยบายเร่งด่วนที่ น.ส.แพทองธาร ระบุว่า “จะดำเนินการทันที” นั้น มีบางข้อที่เกี่ยวพันกับการต่างประเทศ อาทิ นโยบายแก้ปัญหาอาชญากรรม ที่รวมถึงอาชญากรรมข้ามชาติที่ต้องมีการ “ผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้าน” หรือการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยปรับโครงสร้างการตรวจลงตราเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า
ขณะที่นโยบายระยะกลางและระยะยาวอื่น ๆ มีการระบุถึงหลายนโยบายเพื่อต้องการพัฒนาบทบาทของไทยให้เป็น “ผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจ” ในเวทีโลก ทั้งด้านการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ดูดนักลงทุนให้เข้ามาในประเทศ รวมถึงการมุ่งหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางในเรื่องต่าง ๆ อาทิ เป็นศูนย์กลางบริการทางแพทย์ของภูมิภาค เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินโลก และเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและขนส่งของภูมิภาค

ที่มาของภาพ : Royal Thai Authorities
6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลทำตามคำแถลงนโยบายแค่ไหน
“มีหลายอย่างที่ไม่ตรงตามที่แถลง” ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุกับบีบีซีไทย เขามองว่าการดำเนินนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีเพียง “ส่วนน้อย” ที่เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้ในคำแถลงนโยบาย โดยเฉพาะข้อที่ระบุถึงการ “รักษาจุดยืนของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ”
“เรื่องล่าสุดที่ผ่านมา มันก็เห็นค่อนข้างชัดแล้วว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งโดยตรงเลยด้วยซ้ำ ในระหว่างมหาอำนาจโลกสองประเทศที่กำลังแก่งแย่งชิงดีกันอยู่” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุ
เขามองว่าการที่สหรัฐฯ ออกมาตรการจะคว่ำบาตร ต่อการพิจารณาวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งกลับชาวอุยกูร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา สะท้อนว่าสหรัฐฯ มองไทยเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้ง
มุมมองนี้สอดคล้องกับ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ที่มองว่าการส่งกลับชาวอุยกูร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นของไทย ทำให้ทั้งสหรัฐฯ และกลุ่มพันธมิตร เช่น สหภาพยุโรป หรือประเทศในเอเชีย กำลังมองคล้ายกันว่า “ไทยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน”
“การที่จะกดดันเราในการเจรจาในเรื่องการค้าเสรีของทางฝั่งยุโรป แล้วก็ในเรื่องของการจัดระเบียบการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ แล้วก็เรื่องของการสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในกรณีนี้เข้าประเทศสหรัฐฯ ทั้งหมดเหล่านี้ก็ไม่ค่อยเคยเกิดขึ้นมาก่อนนะครับ ก็แสดงว่าภาพลักษณ์ที่เขาเห็นว่าเราอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน มันอาจจะชัดเจนสำหรับเขา” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ
เขายังมองว่าการที่ฝั่งจีนออกมาแถลงป้องไทยกรณีการส่งกลับชาวอุยกูร์ ยิ่ง “ซ้ำร้าย” ให้ภาพลักษณ์ของไทยในการอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีนนั้น ชัดเจนขึ้น
“เรื่องเร็ว ๆ นี้ก็คือเรื่องอุยกูร์ที่จีนได้แถลงการณ์ปกป้องเรา จริง ๆ แล้วก็ไม่ค่อยถูกต้องตามวิธีปฏิบัติทางการทูต ทำให้เราถูกมองได้ว่าอยู่ในอิทธิพลของจีน และจีนสามารถที่จะแถลงการณ์แทนเราได้ พูดแทนเราได้ อันนี้จีนเองก็รู้ว่าธรรมเนียมปฏิบัติแบบนี้ไม่ได้ดีกับไทยเรานัก จีนอาจจะต้องการสร้างภาพว่ามีความใกล้ชิดกับไทยมากกว่าสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะเสียหายกับเราเหมือนกัน” รศ.ดร.ปณิธาน บอกกับบีบีซีไทย
ขณะที่ รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม รองศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่านอกจากกรณีการส่งกลับชาวอุยกูร์ที่ทำให้ “คนทั้งโลกเข้าใจไปว่าเราเลือกข้างจีนมากขึ้น” เขายังไม่เห็นความสำเร็จอื่น ๆ ที่พอจะ “เคลม” กล่าวอ้าง ได้ว่า เป็นผลงานของรัฐบาลนี้
“มันมีประเด็นที่เขาอยากจะเคลมว่ามันเป็นความสำเร็จของเขา อย่างเช่นเรื่อง เจรจา FTA ข้อตกลงการค้าเสรี กับ EFTA สมาคมการค้าเสรียุโรป – European Free Trade Association อย่างนี้ หรืออย่างเรื่องอาเซียน เราเองกำลังจะ close สรุป ในเรื่องของ DEFA ข้อตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัล – Digital Economy Framework Agreement ได้ใช่ไหม แต่ว่าทั้งหมดมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน การเจรจาพวกนี้มันใช้เวลาเป็นหลาย ๆ ปีแล้วเขาทำต่อเนื่องมา เพราะฉะนั้นจะมาบอกว่าความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ก็คงจะไม่ใช่ ใช่ไหมครับ”
รศ.ดร.ปิติ มองว่า ที่ผ่านมาคนในระดับ “คนทำงาน” ในกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหม ยังสามารถที่จะ “ป้องกันความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์” (strategic hedging) โดยรักษาความเป็นกลางระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาไว้ได้ แต่ในระดับ “ผู้กำหนดนโยบาย” (coverage maker) คือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ยังขาดความรู้ความสามารถที่เพียงพอ
“พอคุณเจอผู้นำที่เขาเตรียมการมาดีกว่า มีบารมีแข็งกว่า คุณก็อาจจะโอนอ่อนผ่อนตามไปโดยที่คุณไม่ได้มีความรู้อะไร แล้วเผลอ ๆ แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ คุณเองอาจจะ simply (ง่าย) ที่จะถูกเอาผลประโยชน์ที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์อะไรมาแลกดีลกับสิ่งที่มันอาจจะก่อความเสียหายให้กับประเทศ” รศ.ดร.ปิติ ระบุ
“ปัญหาที่ตามมาก็คือ พอคุณได้คุยกับใคร คุณก็จะโอนอ่อนผ่อนตามไปกับพวกนั้น แล้วคุณก็ไม่กล้าที่จะตอบคำถามกับสังคมว่าตกลงคุณทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร เหมือนอย่างกรณีที่เอาผ้าดำไปปิดรถตู้แล้วก็ส่งออกคนที่เราดูแลมา 11 ปีไปให้จีนอย่างนี้ จนถึงวันนี้คุณก็ยังตอบไม่ได้เลยว่าคุณได้อะไร หรือเอาเข้าจริง ๆ มันมีสิ่งที่คุณได้ เพียงแต่ว่ามีสิ่งที่คุณได้ คุณไม่สามารถที่จะเปิดเผยกับสาธารณชนได้” เขาตั้งคำถาม

ที่มาของภาพ : Romadon Panjor
ผลกระทบที่ตามมาของการอยู่ในวงโคจรความขัดแย้ง
หลังจากไทยตัดสินใจส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คน ไปยังมณฑลซินเจียงของจีน เมื่อ 27 ก.พ. ได้เกิดความเคลื่อนไหวจากนานาชาติหลายส่วน ทั้งจากข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ที่ออกแถลงการณ์ตอบโต้
ความเคลื่อนไหวที่ดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด คือการที่สหรัฐฯ ออกมาตรการจะคว่ำบาตรด้านวีซ่าเจ้าหน้าที่รัฐไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งกลับชาวอุยกูร์ และสภายุโรปได้ลงมติตอบโต้ผ่านมาตรการทางการค้าด้วย
รศ.ดร.ปณิธาน มองว่ามาตรการเหล่านี้จะกระทบกับไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งในเชิงภาพลักษณ์ และในเชิงการทำงานร่วมกัน
“ในภาพลักษณ์ก็ชัดเจน การออกมากล่าวหาเรา ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่าเราไม่ได้ทำตามกติกาสากล ไม่ได้ทำตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ได้ระมัดระวังในการส่งคนกลับไปยังภูมิลำเนาที่เขาอาจจะเป็นอันตราย ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ทั้งสหประชาชาติ ทั้งสหรัฐฯ ทั้งสหภาพยุโรป ก็สอดคล้องเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้น้ำหนักในเรื่องนี้ที่มีต่อเราค่อนข้างมากในเชิงการทูต ในเวทีสากล ทำให้หลายประเทศในสภายุโรปจำนวนมากกว่า 20 ประเทศ ก็คล้อยตาม” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว
เขายังมองไปถึงผลกระทบระยะกลางที่อาจจะเกิดขึ้น คือเรื่องการเจรจาการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป ซึ่งสภายุโรปได้เสนอแนะฝ่ายบริหารให้ใช้เป็นเงื่อนไขในการกดดันไทย นอกจากนี้การที่สหรัฐฯ จะออกมาตรการทางวีซ่ากับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ก็เป็นเรื่องที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมีผลในระยะยาวด้วย คืออาจทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ปฏิบัติการป้องกันการก่อการร้าย รวมถึงความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐไทยและสหรัฐฯ ทำได้ยากขึ้น
“ในภาพรวมก็ถือว่าความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี แล้วก็อยู่ในช่วงที่เปราะบาง แต่ถามว่าผิดปกติไหม ก็ไม่ได้ผิดปกติมากนัก ในแง่ของการกดดันนานาชาติ ในลักษณะของคณะบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์สมัยที่สอง” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ
ขณะที่ ดร.ฟูอาดี้ มองว่า สิ่งที่น่ากังวลตามมาจากความสัมพันธ์ที่เอนเอียงไปทางจีน คือมันอาจกระทบกับความมั่นคงของประเทศ ที่ไทยยังพึ่งพาสหรัฐฯ อยู่หลายเรื่อง
“ต้องเข้าใจก่อนว่าสัจธรรมของประเทศใน Southeast Asia ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งหมด หลาย ๆ ปีที่ผ่านมา อย่างน้อยตั้งแต่ 2-3 ทศวรรษ เราใช้สหรัฐฯ เป็นเครื่องมือในการมาช่วยเราด้านความมั่นคง” อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้นี้ ระบุ
เขามองว่าที่ผ่านมา แม้ท่าทีของไทยแบ่งชัดเจนว่าโน้มเอียงไปทางสหรัฐฯ มากกว่าในด้านความมั่นคง แต่ในด้านเศรษฐกิจการค้าก็โน้มไปทางจีนมากกว่า อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังด้านความมั่นคงไทยก็ถูกมองว่าโน้มเอียงไปทางจีนมากขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่าจะส่งผลกระทบตามมาอย่างน้อยในระยะสั้นและระยะกลาง
นักวิชาการรายนี้กำลังกังวลกับสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายประเทศกำลังแข่งขันด้านการสร้างอาวุธ ซึ่งรวมถึงอาวุธนิวเคลียร์เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง หลังสหรัฐฯ ถอยบทบาทการเป็นผู้ปกป้องในระดับโลกลง ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ เขามองว่าไทยยังควรต้องผูกสัมพันธ์กับสหรัฐฯ คือไม่เป็นปฏิปักษ์กับพันธมิตรเดิม และควรหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพิ่มเติมเพื่อความมั่นคงของประเทศ
“อเมริกาเป็นประเทศที่เราอาจจะไม่สามารถให้ความไว้วางใจทางความมั่นคงได้ในระดับเดิมแล้ว แต่เราก็ต้องพยายาม ไม่ใช่ไม่พยายาม” ดร.ฟูอาดี้ ระบุ
แล้วไทยได้ประโยชน์อะไร จากการกระชับสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน ?

ที่มาของภาพ : NurPhoto/Getty Photos
ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนปี 2567 พบว่า ไทยขาดดุลสูง 1.6 ล้านล้านบาท
ขณะที่เมื่อ 6 มี.ค. ที่ผ่านมา เว็บไซต์ เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ของฮ่องกง รายงานว่าบริษัท ไชน่า เฉิงซิน อินเตอร์เนชันแนล เครดิต เรตติ้ง (China Chengxin Global Credit Ranking) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตของจีน ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยอ้างเหตุอาชญากรรมหลายคดีที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของไทย รวมถึงความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
รศ.ดร.ปิติ มองว่า การที่บริษัทจีนดังกล่าว ปรับลดความน่าเชื่อถือไทย แม้ที่ผ่านมาไทยและจีนดูจะมีความร่วมมือกันในการปราบอาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
“คุณอย่าคิดว่า เพราะว่าเขาเป็นบริษัทของจีน แล้วเมื่อจีนแฮปปี้กับที่เราช่วยปราบปรามแก๊ง คอลเซ็นเตอร์ พวกนี้ เขาจะขึ้นเครดิตให้เรา จีนเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น” เขาบอกกับบีบีซีไทย “คุณต้องเข้าใจว่าธรรมาภิบาลในประเทศจีนมันสูงมาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนึงก็คือ สิ่งที่เราเห็นว่า การที่หลิว จงอี้ ต้องมาหรืออะไรพวกนี้ เป็นเพราะฝ่ายจีนก็ทนไม่ได้แล้ว ที่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานมา”
“ถ้าคุณไปดูตลอดทั้งซัพพลายเชน (ห่วงโซ่อุปทาน) ของคอลเซ็นเตอร์พวกนี้ มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นมันอยู่ติดกับประเทศไทย มันถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง แล้วคุณให้เครดิตติ้งไทยเพิ่ม ผมคิดว่าคุณมีปัญหาแน่ ๆ” รศ.ดร.ปิติ ระบุ
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าการลดอันดับดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลกระทบกับไทยมากนัก เพราะยังไม่ใช่การจัดอันดับโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก อย่าง S&P หรือ Changeable แต่การที่เริ่มมีการ “ลดอันดับ” จากบริษัทหนึ่ง อาจส่งผลให้บริษัทจัดอันดับอื่น ๆ ต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของไทยใหม่ด้วย
“ผลประโยชน์ในเชิงค่านิยม อันนี้ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามันไม่มีอยู่” ดร.ฟูอาดี้ ระบุ “แต่ในด้านเศรษฐกิจเอง เราก็ยังมองไม่เห็นว่ามันมีอะไรที่ชัดเจนนะ เราถูกลดเครดิตเรตติ้ง เราเสียดุลการค้า เรามีภัยคุกคามที่มาจากสินค้าที่ทะลัก รถยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์ที่เราต้องเลย์ออฟคน เพราะว่ารถยนต์จากจีนเข้ามา มาตรการที่จะแก้ตรงนี้ น่าจะต้องคิดให้ดี”
อาจารย์ประจำ ม.ธรรมศาสตร์ ผู้นี้ มองว่า เขายังไม่เห็นประโยชน์อย่างชัดเจนที่เพียงพอในการที่จะทำให้ไทย “ต้องกระทำในลักษณะต่าง ๆ ที่ดูเหมือนเข้าข้างเขา จีน มาก ๆ” ซึ่งกลายเป็นผลเสียในแบบอื่น ๆ ตามมา
ขณะที่ รศ.ดร.ปณิธาน มองว่ารัฐบาลก็มีความพยายามปรับน้ำหนักความสัมพันธ์กับจีนอยู่บ้าง ทั้งการเจรจาให้จีนซื้อสินค้าไทยมากขึ้น ท่องเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น รวมถึงย้ายโรงงานและแหล่งผลิตหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชั้นสูงมายังไทย การเจรจาให้ไทยเข้าร่วมกลุ่มประเทศ BRICS และความพยายามทำงานร่วมกันในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แต่หลายเรื่องยังเป็นนามธรรมที่คนไทยยังไม่สามารถสัมผัสผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ ได้
รัฐบาลควรทำอย่างไร ในการรักษาสมดุลท่ามกลางความขัดแย้งโลก ?

ที่มาของภาพ : Reuters
“คุณต้องชัดว่าประเทศคุณมีผลประโยชน์อะไรที่คุณต้องรักษา” รศ.ดร.ปิติ ระบุ
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าการเมืองระหว่างประเทศนาทีนี้มีลักษณะไปในทาง “สัจนิยม” (realpolitik) และ “สัจนิยมใหม่” (neorealism) มากกว่าวิธีคิดแบบ “เสรีนิยม” (liberal) หรือ “ประชาธิปไตย” (democracy) ซึ่งแก่นของการทำนโยบายแบบสัจนิยมคือการ “ทำทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องสนใจว่ามันจะเป็นธรรมะหรืออธรรม” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและแก้ภัยคุกคาม
“เราไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นกลางด้วยครับ” รศ.ดร.ปิติ ระบุ “คือผลประโยชน์ของประเทศมีหลายมิติ เพราะฉะนั้นถ้าผลประโยชน์ของประเทศเราในมิตินี้ เรามีผลประโยชน์ร่วมกันกับจีนมหาศาล แล้วเราเป็นประเทศอธิปไตย เราก็น่าจะต้องสามารถที่จะเข้ากับจีนได้ถูกต้องไหมครับ โดยที่อเมริกาเขาไม่สามารถที่จะมาว่าเราได้ ถูกต้องไหม เพราะเราทำทั้งหมดนี้ไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ”
“แล้วแน่นอนถ้ามันเป็นเรื่องที่เรามีผลประโยชน์ร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา เราก็พร้อมที่จะสนับสนุนอเมริกาอย่างเต็มที่ ซึ่งจีนก็ว่าเราไม่ได้เพราะว่าเราเป็นรัฐอธิปไตย ถูกต้องไหมครับ แต่ว่าเราเองก็ต้องมีกลไกที่อย่าสับสน เดี๋ยวเอาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ส่วนตัวไปรวมกันแล้ว อเมริกาก็เลยบอกแทนที่ผมจะแบ่งผลประโยชน์ให้ประเทศไทยซัก 50% หรือ 40:60 กับอเมริกา ผมเอางี้ดีกว่า ผมให้ 10% กับครอบครัวคุณ แล้วที่เหลือผมเอาหมด อย่างนี้น่ากลัวกว่า”
รศ.ดร.ปิติ มองว่าสิ่งสำคัญคือผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ต้องแยกแยะให้ออกระหว่าง “ผลประโยชน์ของชาติ” กับ “ผลประโยชน์ส่วนตัว” และยึด “ผลประโยชน์ของชาติ” เป็นหลักในการเจรจาต่อรอง โดยในการต่อรองอาจใช้ความเป็นพันธมิตรอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้ไทยได้ ซึ่งไทยควรกลับมาแสดงบทบาทความเป็นผู้นำในอาเซียนอย่างที่เคยทำได้ดีในอดีต และผู้กำหนดนโยบายควรฟังเสียงข้าราชการหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้
แนวคิดเรื่องการ “รักษาผลประโยชน์” สอดคล้องกับ ดร.ฟูอาดี้ ที่บอกว่า “เราต้องยึดผลประโยชน์ของตัวเอง ผลประโยชน์ของชาติ เป็นหลักว่าเราต้องการอะไร ความชัดเจนของเราในเชิงยุทธศาสตร์ในเชิงผลประโยชน์ของประเทศคืออะไร เรามีความฝันอยากเห็นประเทศไทยเป็นแบบไหน”
เขามองว่าไทยควรมีความชัดเจนว่ายืนอยู่บนหลักการ (belief) แบบไหน ซึ่งหากจีนหรืออเมริกา มาทำให้ไทยเสียประโยชน์หรือเสียหลักการที่ยึดถือ ก็ควรตอบโต้ได้ และนอกจากการผูกสัมพันธ์กับ 2 ประเทศมหาอำนาจนี้โดยตรง ไทยอาจเพิ่มสัมพันธ์กับประเทศ “middle vitality” ประเทศที่มีอำนาจขนาดกลาง ที่รองลงมา เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนเองได้ โดยวิธีการผูกสัมพันธ์กับแต่ละกลุ่มอำนาจอาจไม่เหมือนกัน ด้วยความต้องการของแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน
ดร.ฟูอาดี้ มองว่า สหรัฐฯ ในยุคของทรัมป์ มองเรื่อง “ผลประโยชน์การค้าและการแลกเปลี่ยน” เป็นหลัก ขณะที่ยุโรปซึ่งต้องการผลักดันตัวเองให้เป็นผู้นำระเบียบโลก กลับมองเรื่อง “ค่านิยม” มากกว่า ดังนั้นการสานสัมพันธ์กับยุโรปอาจต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในประเทศ ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน ความเป็นประชาธิปไตย รวมถึงโครงสร้างสถาบันต่าง ๆ ขณะที่การผูกสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อาจต้องอาศัยชั้นเชิงในการเจรจา คือต้องทำให้เขามองไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในเรื่องต่าง ๆ
ขณะที่ รศ.ดร.ปณิธาน มองว่า สิ่งสำคัญที่ไทยต้องทำในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และยุโรป คือต้องพิสูจน์ยืนยันให้ได้ว่าชาวอุยกูร์ทั้งหมดที่ไทยส่งกลับไปจีนปลอดภัย ไม่ได้เป็นไปตามที่ไทยถูกประณามว่าส่งพวกเขากลับไปสู่อันตราย
“การส่งกลับไปในที่ที่ไม่ปลอดภัยก็เป็นอีกเรื่องที่สุดท้ายแล้วก็อาจเป็นน้ำหนักที่จะตัดสินว่าเราจะลดแรงกดดันได้หรือไม่ ถ้าเราสามารถยืนยันได้ว่าทุกครอบครัว 40 ครอบครัวตอนนี้ปลอดภัยนะครับที่เราไปดู แล้วอีก 109 ครอบครัวที่เราส่งไปล่วงหน้า ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดนี้เราสามารถที่จะติดต่อเชื่อมโยงได้ เราก็เอาสถานภาพตรงนี้กลับไปรายงานให้กับสภายุโรปแล้วก็สหรัฐฯ ได้ตามเงื่อนไขที่เขากำหนดเหมือนกัน” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ
เขายังบอกอีกว่า ไทยควรเปิดเผยข้อมูลการเจรจากับจีนและสหรัฐฯ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องการขอส่งตัวชาวอุยกูร์ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างมีการบันทึกเอาไว้ เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ตามที่ทางการไทยยืนยัน ไม่ให้เป็นเพียงการกล่าวลอย ๆ อย่างไรก็ตาม เขามองว่าไทยยังพอมีอำนาจในการต่อรองกับสหรัฐฯ อยู่บ้าง
“เรายังมีข้อเสียเปรียบกับสหรัฐอยู่เยอะ แต่ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ ก็มีเรื่องที่ต้องพึ่งพาไทยอีกเยอะ” รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ เขาเปิดเผยว่ามีบุคลากรของสหรัฐฯ เข้ามาอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ทั้งในแง่ของสถานทูต ฝ่ายความมั่นคง รวมถึงปฏิบัติการลับหลายปฏิบัติการที่ไทยช่วยดูแลประสานงานและช่วยรักษาผลประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีความร่วมมือจนสามารถจับกุมกลุ่มผู้ร้ายข้ามชาติได้ นอกจากนี้ยังมีสนธิสัญญาที่ไทยทำไว้กับสหรัฐฯ ในอดีตที่ทำให้สหรัฐฯ สามารถดำเนินการค้าอย่างได้เปรียบในไทย ซึ่งสามารถนำมาเสนอแก้หรือปรับเปลี่ยนเพื่อกดดันสหรัฐฯ กลับได้เช่นกัน
อำนาจการต่อรองของไทยในนานาชาติเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ประเด็นข้างต้นขัดแย้งกับทัศนะของ ดร.ฟูอาดี้ ที่มองว่าไทยยังไม่ได้มีอำนาจในการต่อรองมากนัก เขามองว่าไทยอย่างน้อยควรจะมี “แรงดึงดูด” (appeal) อย่างใดอย่างหนึ่งในการสร้างอำนาจต่อรองกับต่างชาติ คือ 1. ความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) 2. ความชอบธรรมทางเศรษฐกิจ (economic legitimacy) และ 3. พลังทางการทหาร (defense power vitality) ซึ่งเขามองว่า ณ ปัจจุบัน ไทยยังไม่มีแม้แต่อย่างเดียว
“รัฐบาลถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองค่อนข้างเยอะ อย่างน้อยก็จากคนกลุ่มใหญ่ในสังคมไทย ในระดับโลกเองเราก็ไม่ได้รับการเคารพขนาดนั้นนะ หลาย ๆ หลักการที่เราทำกับ ประชาชนของเราเอง ทำให้ซอฟต์พาวเวอร์ อำนาจในการต่อรองมันลดลงเหมือนกัน การที่เราส่งอุยกูร์ไปจีนเราก็ผิดหลักการมนุษยธรรมสากลไปแล้ว เพราะฉะนั้นสำหรับคนที่เขามองเข้ามา เราจะไม่ได้รับการเคารพในลักษณะนั้นว่าเราเป็นประเทศที่ยึดมั่นในหลักการที่หลาย ๆ ประเทศและหลายระดับสากลยึดมั่น อันนั้นเราไม่มีเรื่อง political legitimacy มีน้อย” เขาอธิบาย
“ประการที่ 2 คือเหมือนที่บอกไปแล้วคือ ต้องการ economic legitimacy ก็คือความชอบธรรมทางด้านเศรษฐกิจ ถ้าเราสามารถโตได้ 5-7% เหมือนอินโดนีเซีย เหมือนเวียดนาม หรือว่ามีเศรษฐกิจที่ชัดเจน ความต้องการ ความแน่นอนของ rule of guidelines นิติรัฐนิติธรรม ที่ชัดเจนเหมือนสิงคโปร์ กฎหมายในการลงทุนมี excellent-wanting น่าดึงดูด มากพอทำตัวเป็นฮับทางด้านเศรษฐกิจ เราก็จะมีอำนาจในการต่อรองและมีพลานุภาพในดูดมากขึ้น ทุกคนก็จะเกรงใจเรา แต่เราก็ไม่มีตรงนั้น”
“ถ้าเราไม่มีทั้งสองอย่างนี้เลย อย่างน้อยเราก็ควรมีความมั่นคง มีกองทัพที่แข็งแกร่ง ทุกคนจะกลัว อย่างประเทศรัสเซีย ทุกคนก็ให้ความเกรงใจ ถึงแม้ว่าจะชอบไม่ชอบตัดไป ถูกไม่ถูก แต่อย่างน้อยก็ต้องคิด ก็ต้องมีความกังวล มีความเกรงกลัวอยู่บ้าง” ดร.ฟูอาดี้ ระบุ
“เราไม่มีเลยทั้ง 3 อย่าง คืออย่างน้อยประเทศที่มันถูกเคารพในเวทีนานาชาติ มันควรจะมีอย่างน้อยสักอย่างหนึ่ง” เขากล่าวทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk