เทรนด์เทคโนโลยีปี 2025 มีอะไรที่ต้องจับตา
อนาคตทางเทคโนโลยีสำหรับปีนี้จะเป็นอย่างไร หลังจากปี 2024 ลงเอยด้วยราคาบิตคอยน์พุ่งทะลุ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 ล้านบาท ขณะที่เครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ เอไอ กำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ของคุณ
เบน มอร์ริส บรรณาธิการข่าวธุรกิจเทคโนโลยี และโซอี ไคลน์แมน บรรณาธิการข่าวเทคโนโลยี ของบีบีซี จะพาไปสำรวจแนวโน้มหรือเทรนด์เทคโนโลยีที่กำลังรออยู่ในปี 2025 นี้
เบน มอร์ริส บรรณาธิการข่าวธุรกิจเทคโนโลยี
ย้อนไปช่วงใกล้สิ้นปี 2022 แนวโน้มธุรกิจสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอเรนซี ก็ดูแย่ลง หนึ่งในบริษัทที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งอย่าง FTX ล้มละลายไปพร้อมกับเงินทุนของลูกค้ามูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.7 แสนล้านบาท)
ในเดือน มี.ค. 2024 แซม แบงค์แมน-ฟรายด์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท FTX ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นระยะเวลา 25 ปี ในข้อหาฉ้อโกงลูกค้าและนักลงทุน
Skip เรื่องแนะนำ and continue readingเรื่องแนะนำ
Pause of เรื่องแนะนำ
เรื่องราวอันอื้อฉาวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นโดยรวมต่ออุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนซี
ในตอนนั้นดูเหมือนว่า คริปโตเคอร์เรนซียังคงเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม ที่มีกลุ่มผู้ติดตามที่กระตือรือร้น แต่ก็มีจำนวนไม่มากนักโดยเปรียบเทียบ
อย่างไรก็ตาม อีกไม่กี่เดือนต่อมา อุตสาหกรรมนี้ก็กลับมามีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยมุมมองในทางบวกอีกครัั้ง เบื้องหลังของความคึกคักนี้ มาจากความสำเร็จของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. 2025
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือว่า ทรัมป์น่าจะเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเงินสกุลดิจิทัล และถึงตอนนี้ก็ดูจะเป็นเช่นนั้น
ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเสนอชื่อ พอล แอตกินส์ อดีตกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (Securities and Trade Commission – SEC) หรือ ก.ล.ต. สหรัฐ ให้เป็นประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ
ผู้คนมองว่าแอตกินส์มีแนวความคิดสนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า ประธาน ก.ล.ต. สหรัฐ คนปัจจุบันอย่าง แกรี เจนสเลอร์
การประกาศดังกล่าวช่วยให้มูลค่าของหนึ่งบิตคอยน์ ซึ่งถือเป็นเงินสกุลดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเงินสกุลดิจิทัลทั้งหมด พุ่งทะลุ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ
“ด้วยชัยชนะของทรัมป์ คุณอาจจะจินตนาการได้ว่า ในปี 2025 คุณอาจจะมีกฎหมายเชิงรุก และจะมีการกำจัดกฎระเบียบบางอย่างที่มีผลเชิงลบ[ต่ออุตสาหกรรมนี้] ที่จะเป็นการอนุญาตให้ธนาคารและสถาบันต่าง ๆ เข้าสู่ธุรกิจนี้” เจฟฟรีย์ เคนดิค ประธานกลุ่มวิเคราะห์ด้านสินทรัพย์ดิจิทัลระดับนานาชาติ จากสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด กล่าว
เคนดิคชี้ไปยังส่วนหนึ่งของแนวทางปฏิบัติที่ประกาศโดย ก.ล.ต. สหรัฐฯ ที่ชื่อว่า SAB 121 โดยเฉพาะ โดยนับตั้งแต่มีผลบังคับใช้ในปี 2022 ประกาศดังกล่าวได้สร้างความยุ่งยากให้กับบรรดาธนาคารและบริษัทด้านการเงินในการให้บริการทางการเงินสกุลดิจิทัล
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจจะช่วยให้ทรัมป์ทำตามที่ให้สัญญาไว้ในเดือน ก.ค. ว่าจะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นเมืองหลวงของเงินสกุลดิจิทัลของโลกได้
หากว่าทรัมป์ทำได้ตามที่ให้คำมั่นไว้ สิ่งนี้อาจจะกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งนับตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งครั้งนั้นทรัมป์เคยกล่าวถึงบิตคอยน์ว่าเป็นเหมือนกับ “การหลอกลวง (rip-off)”
เอไอจะเข้าใจเราและให้บริการแบบเฉพาะบุคคลขึ้น – โซอี ไคลน์แมน บรรณาธิการข่าวเทคโนโลยี บีบีซี
ขณะที่เทคโนโลยีเอไอได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโทรศัพท์ของเรา ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง แอปเปิล กูเกิล และซัมซุง ต่างเปิดตัวบริการต่าง ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ตั้งแต่ความสามารถในการแก้ไขปรับปรุงภาพถ่าย การแปลภาษา และการช่วยในการค้นหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของยุคที่เอไอจะกลายเป็นส่วนสำคัญที่แท้จริงในชีวิตแบบดิจิทัล และเป็นประโยชน์ในระดับส่วนตัวมากขึ้น
แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็เพราะเรายอมให้มันเกิดขึ้น เพราะว่ามันต้องอาศัยความเชื่ออยู่ไม่น้อย
ขอยกเรื่องการบริหารงานประจำวันเป็นตัวอย่าง เครื่องมือเอไอสามารถช่วยคุณบริหารงานประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อคุณยอมให้เอไอเข้ามามีส่วนช่วย ว่าแต่เราควรจะอนุญาตให้เทคโนโลยีนี้เข้ามาช่วยมากแค่ไหน ?
และเพื่อให้มันเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง นั่นหมายความว่า เครื่องมือนี้จำเป็นต้องทราบว่าใครที่คุณอยากจะหลีกเลี่ยงที่จะพบ รวมไปถึงเรื่องว่าความสัมพันธ์ใดที่คุณต้องการเก็บเป็นความลับและเก็บความลับนั้นให้ห่างจากใคร
คุณต้องการที่จะให้เครื่องมือเอไอสรุปข้อมูลจากการรับคำปรึกษาทางจิตวิทยา หรือข้อมูลจากการพบแพทย์หรือไม่
สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลส่วนตัวมาก ๆ ที่อาจจะทำให้เรารู้สึกอับอายอย่างมาก และเป็นข้อมูลที่มีคุณค่ามาก ๆ หากเกิดความผิดพลาดที่ทำให้ข้อมูลถูกแชร์ออกไป คุณเชื่อมั่นในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ให้ถือข้อมูลเหล่านี้ไว้หรือไม่
ด้านไมโครซอฟต์กำลังพลักดันอย่างหนักเพื่อให้เกิดเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม กลับเกิดปัญหาขึ้นในปี 2024 ในการสาธิตเครื่องมือที่เรียกว่า “Recall” ซึ่งเป็นการถ่ายภาพสแนปช็อตของเดสก์ท็อปแล็ปท็อปทุก ๆ สองสามวินาที เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาเนื้อหาที่พวกเขาเคยเห็นแต่จำไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน
ถึงตอนนี้ บริษัทฯ ได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างกับเครื่องมือดังกล่าว ซึ่งยังไม่มีกำหนดเปิดตัว พร้อมยืนยันว่ายังคงเชื่อมั่นในเครื่องมือตัวนี้
“ผมคิดว่า พวกเรากำลังเคลื่อนไปสู่ยุคใหม่โดยพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งจะมีเครื่องมือคู่คิดที่มีความสามารถและยืนหยัดอยู่เคียงข้างคุณในชีวิตประจำวันของคุณ” มุสตาฟา ซูไลมาน หัวหน้าฝ่าย AI ของบริษัทไมโครซอฟต์บอกกับบรรณาธิการข่าวเทคโนโลยีบีบีซีเมื่อเร็ว ๆ นี้
แม้ว่าจะเผชิญกับความท้าทายมากมาย เบน วู้ด หัวหน้านักวิจัยจาก CCS Insight ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านเทคโนโลยี ก็คาดว่าในปี 2025 จะมีบริการที่พัฒนาบนเทคโนโลยีเอไอ ซึ่งให้บริการแบบเฉพาะบุคคลมากขึ้น
“ผลจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะเกิดขึ้นจากการดึงข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่กำลังเติบโต เช่น อีเมล ข้อความต่าง ๆ เอกสารต่าง ๆ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์บนสื่อสังคมออนไลน์”
“วิธีนี้จะทำให้บริการเกี่ยวกับเอไอสามารถปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบหรือสไตล์ของการสื่อสารของแต่ละบุคคล รวมทั้งความต้องการและความชื่นชอบของแต่ละคนได้เป็นการเฉพาะ” เขาอธิบาย
อย่างไรก็ตาม วู้ดเองยอมรับว่า การยอมให้เอไอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะเป็นก้าวย่างที่สำคัญหนึ่ง
“ความเชื่อมั่นจะกลายเป็นสิ่งสำคัญ” วู้ดกล่าวย้ำ
ข้อมูลยังคงเติบโต – เบน มอร์ริส บรรณาธิการข่าวธุรกิจเทคโนโลยี
ยิ่งเม็ดเงินลงทุนหลั่งไหลไปยังธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับปัญญาประดิษฐ์มากเท่าไหร่ ความจำเป็นในการสร้างศูนย์ข้อมูล หรือ ดาต้าเซ็นเตอร์ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นตามมา
การฝึกและการดำเนินการของเอไอจำเป็นต้องใช้พลังของการคำนวณทางคอมพิวเตอร์ และประสิทธิภาพงานที่ดีที่สุดจะต้องมาพร้อมกับชิปคอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย
CCS Insight คาดการณ์ว่า ในอีกห้าปีข้างหน้าจะมีเม็ดเงินในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ราว หนึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 34 ล้านล้านบาท โดยมีผู้ใช้ข้อมูลรายใหญ่ ประกอบด้วย กูเกิล ไมโครซอฟต์ และเมตา
ในภูมิภาคยุโรปเพียงแห่งเดียว ในระหว่างปี 2024 – 2028 ขีดความสามารถของดาต้าเซ็นเตอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9% ต่อปี ตามการคาดการของบริษัท ซาวิลส์ (Savills) ผู้ให้บริการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ อย่างดาต้าเซ็นเตอร์ ไม่มีแนวโน้มที่จะถูกสร้างขึ้นในศูนย์กลางการเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ในปัจจุบัน อย่าง กรุงลอนดอน ของอังกฤษ นครแฟรงก์เฟิร์ต ของเยอรมนี และกรุงอัมสเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์
บริษัท ซาวิลส์ อธิบายว่า สาเหตุสำคัญคือ ราคาที่ดินในเมืองเหล่านี้แพง อย่างในกรุงลอนดอนราคาสามารถพุ่งไปได้ถึง 17 ล้านปอนด์ต่อเอเคอร์ หรือเกือบ 290 ล้านบาทต่อไร่ นี่ยังไม่นับรวมกับการมีกระแสไฟฟ้าอย่างจำกัด จึงทำให้กลุ่มนักพัฒนาจะต้องหาสถานที่อื่น ๆ แทน
ในเมืองต่าง ๆ ในสหราชอาณาจักร อย่าง เคมบริดจ์ แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิงแฮม สามารถใช้เป็นศูนย์กลางสำหรับคลื่นลูกถัดไปของการก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ได้
ส่วนสถานที่อื่น ๆ อย่าง กรุงปราก ของเช็ก เมืองเจนัวและมิลานในอิตาลี นครมิวนิคและเมืองดึสเซลดอร์ฟ ในเยอรมนี ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นเป้าหมายการลงทุนด้านนี้ในยุโรป
หัวใจสำคัญของดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่เหล่านั้นคือ ชิปคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่จากเอ็นวีเดีย (Nvidia) บริษัทที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดที่ผลิตชิปสำหรับใช้ในเทคโนโลยีเอไอ หนึ่งในนั้นคือ ชิปแบล็คเวลล์ (Blackwell) ที่เปิดตัวไปเมื่อเดือน มี.ค. 2024 และคาดว่าจะทยอยส่งมอบในปริมาณที่มีนัยสำคัญได้ในปี 2025
วิเวค อารยา นักวิเคราะห์อาวุโสด้านเซมิคอนดักเตอร์จาก แบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า ชิปตัวใหม่ล่าสุดนี้จะช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีสามารถฝึกเอไอได้เร็วมากขึ้นถึงสี่เท่า และยังสามารถทำให้เอไอทำงานได้เร็วขึ้นก่วา 30 เท่าจากชิปคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย
มีรายงานว่า ลูกค้ารายใหญ่ของเอ็นวิเดียหลายราย รวมทั้งไมโครซอฟต์ แอมะซอน เมตา และคอร์วีฟ มีแนวโน้มว่าจะได้รับชิปดังกล่าวเป็นรายแรก ๆ
อย่างไรก็ตาม อารยา กล่าวว่า ลูกค้ารายอื่น ๆ อาจจะพยายามดิ้นรนที่จะได้รับชิปทรงพลังนี้เช่นกัน ภายใต้สภาพที่มีอุปทานจำกัดในปี 2025 นี้
ที่มา BBC.co.uk