เบื้องลึกเบื้องหลัง โลกของ ‘เทพมนุษย์หญิง' ชาวอินเดีย

- Author, ดิฟยา อาร์ยา
- Characteristic, บีบีซี แผนกภาษาฮินดี
ราติมา (Radhe Maa) อ้างว่าสามารถสร้างปาฏิหาริย์ และผู้ศรัทธาเชื่อว่าเธอคือพระเจ้า เธอเป็นหนึ่งในหญิงไม่กี่คนในปรากฎการณ์ “เทพมนุษย์” ที่กำลังขยายตัวมากขึ้นและเป็นที่ถกเถียงในอินเดีย ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก บีบีซีได้รับโอกาสที่หาได้ยากในการเข้าถึงเธอเพื่อเปิดเบื้องลึกเบื้องหลังในโลกแห่งศรัทธาและความกลัวนี้
กลุ่มสตรีที่ถือกระเป๋าหลุยส์วิตตองและกุชชี่ สวมเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมสุดเก๋ พร้อมเครื่องประดับทองคำและเพชร เริ่มรวมตัวกันในเวลาเที่ยงคืนเพื่อรอฟังราติมา (Radhe Maa)
เธอไม่ชอบเวลาเช้าตรู่ เสื้อผ้าที่เรียบง่าย หรือคำเทศนายาว ๆ ไม่เหมือนกับผู้นำศรัทธาหลายคน และเธอเรียกตัวเองว่า “มารดาแห่งปาฏิหาริย์”
“ความจริงแล้วปาฏิหาริย์นั่นแหละคือสิ่งที่มีค่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครบริจาคเงินแม้แต่นิดเดียว”
“ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพวกเขา งานของพวกเขาสำเร็จแล้ว พวกเขาก็เลยบริจาค” ราติมาบอกกับฉัน
and proceed learningเรื่องแนะนำ
เรื่องแนะนำ
มีเรื่องราวเกี่ยวกับการที่เธอได้อวยพรให้คู่รักที่ไม่มีลูกจนให้กำเนิดทารก ช่วยหญิงที่เคยให้กำเนิดแต่เพียงลูกสาวได้มีลูกชายในท้ายที่สุด รักษาอาจารย์เจ็บป่วย และพลิกธุรกิจที่กำลังจะล้มให้กลับฟื้นคืนมา
การอ้างว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับราติมา อินเดียยังมีกลุ่มบุคคลที่ถูกเรียกว่า “เทพมนุษย์” จำนวนมาก และแม้ว่าจะไม่มีใครเก็บสถิติว่ามีจำนวนที่แท้จริงเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี
บางคนถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด คอร์รัปชัน หรือแม้กระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศ ราติมาเองก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าเธอใช้มนต์ดำ และช่วยจัดแจงการจ่ายสินสอด ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายในอินเดีย แต่หลังการสืบสวนของตำรวจ คดีดังกล่าวถูกยกฟ้อง
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ศรัทธาหลายพันคนยังคงแห่แหนกันไปพบเทพมนุษย์ทั้งชายและหญิงเหล่านี้ ในปีที่ผ่านมา มีครั้งหนึ่งเกิดการเบียดเสียดกันงานชุมนุมลักษณะนี้จนทำให้มีผู้ชีวิตไปมากกว่า 120 คน

“ชาวอินเดียส่วนมากเติบโตมาในครอบครัวที่เชื่อว่า พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถบรรลุได้ด้วยการนมัสการ การทำสมาธิ หรือการสวดมนต์ และใครก็ตามที่บรรลุจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้” ศ.ชยาม มานาฟ (Shyam Manav) ผู้นำองค์กรต่อต้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ระดับแถวหน้าของอินเดีย “ABANS” ระบุ
“บุคคลดังกล่าวจะถือว่าเป็นเหมือนกับพระเจ้า หรือเทพมนุษย์ชายหรือหญิง”
แม้จะมีทัศนะที่แพร่หลายว่าบุคคลที่ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดแบบนี้เป็นคนจน ไม่มีการศึกษา และถูกลวงได้ง่าย แต่ราติมากลับเป็นที่เคารพนับถือในบรรดาผู้มีการศึกษาสูงมากมายจากครอบครัวนักธุรกิจร่ำรวย
ฉันได้พบกับ พุชพินเดอร์ ภาเทีย (Pushpinder Bhatia) บัณฑิตจากสถาบันบริหารธุรกิจซาอิด มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University's Saïd Enterprise College) ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาทางการศึกษา ขณะที่เขาเข้าแถวอยู่กับกลุ่มผู้หญิงเพื่อรอพบเทพมนุษย์ เขาบอกกับฉันว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะลงเอยมาเป็นผู้ติดตาม “พระเจ้าที่มีกายเนื้อ”
“คือแรกเริ่มเลยก็มีคำถามว่า ‘พระเจ้าจะลงมาจุติในร่างมนุษย์ได้หรือ นี่เป็นความจริงหรือไม่ เธอจะสามารถให้พรที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงหรือ สิ่งที่เรียกกันว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้อย่างไร'” เขากล่าว
แต่ภาเทียได้มาพบกับราติมาหลังจากเกิดโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งขึ้นในครอบครัวของเขา
แม้บางคนจะบอกว่าขณะนั้นเขาอยู่ในช่วงเปราะบาง แต่เขารู้สึกว่าได้รับความใส่ใจจากเธอจริง ๆ
“ผมคิดว่า ใน ดาร์ชัน การเข้าพบ ครั้งแรกของผม ผมถูกดึงดูดด้วยออร่าที่เธอมี ผมคิดว่าเมื่อคุณมองทะลุผ่านร่างมนุษย์ที่เธอมี คุณจะเชื่อมต่อได้ในทันที”

ผู้ศรัทธาในห้องสีทองและแดง
การดาร์ชัน (เข้าพบ) กับราติมา คือช่วงเวลาที่ผู้ศรัทธาเฝ้ารอ และฉันได้เห็นหนึ่งเหตุการณ์ที่ถูกจัดขึ้นตอนเที่ยงคืนในบ้านพักส่วนตัวหลังหนึ่งที่กรุงเดลี
ท่ามกลางผู้ศรัทธาหลายร้อยคน มีนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และครอบครัวของนายตำรวจระดับสูงมาก ที่เดินทางโดยเครื่องบินเพื่อมาดูเข้าพบเธอโดยเฉพาะ
ฉันอยู่ที่นั่นเพื่อสังเกตการณ์และรายงานในฐานะผู้สื่อข่าว แต่ถูกบอกให้ต้องรับพรจากเธอก่อน ฉันถูกผลักไปข้างหน้าให้ต่อแถวยาว จากนั้นก็ถูกแนะนำว่าจะต้องภาวนาอย่างไร และถูกเตือนว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับครอบครัวหากฉันปฏิบัติไม่ถูกต้อง
ในห้องสีแดงและทอง ซึ่งเป็นสีโปรดของราติมานั้น เธอใช้ดวงตาของเธอสั่งการทุกอย่าง
ช่วงหนึ่งมีความสุข ขณะที่อีกช่วงโกรธเกรี้ยว ความโกรธของเธอดูเหมือนจะถ่ายโอนไปยังหนึ่งในลูกศิษย์ ซึ่งดูเหมือนจะเข้าสู่ภวังค์อย่างอธิบายไม่ได้ ทั้งห้องเงียบลงเมื่อศิษย์หญิงคนนั้นเริ่มทรุดลงกับพื้นและบิดร่างกายไปมา
แต่เพียงไม่กี่นาทีจากนั้น หลังจากบรรดาสาวกของราติมาร้องขอการให้อภัยจากเธอ เสียงเพลงบอลลีวูดที่คุ้นหูก็เริ่มบรรเลง และเธอเริ่มเต้นรำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความสงบเรียบร้อยได้กลับคืนมาแล้ว และแถวของกลุ่มผู้ศรัทธาก็เริ่มขยับอีกครั้ง

การกลายเป็น ‘เทพมนุษย์'
บ้านเกิดของราติมาอยู่ในแคว้นปัญจาบ ทางตอนเหนือของอินเดีย
ตอนที่เกิดเธอมีชื่อเรียกว่า สุขวินเดอร์ คัวร์ (Sukhwinder Kaur) เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางในหมู่บ้านธรรมดา ๆ แห่งหนึ่ง เธออ้างว่าเธอบรรลุพลังศักดิ์สิทธิ์ หลังจากได้รับมนต์จากกูรู (guru) ท่านหนึ่ง
“เหมือนกับเด็กทั่วไปที่อยากจะเป็นนักบินหรือหมอ ราติมามักจะถามเสมอว่า ‘ฉันเป็นใคร' พ่อของพวกเราก็เลยพาเธอไปหากูรู ด้านความเชื่อ ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งเขาประกาศว่าเธอเป็นเทพธิดาในร่างมนุษย์” ราจินเดอร์ คัวร์ (Rajinder Kaur) พี่สาวของราธิ มา ระบุ
เธอบริหารวัดซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องในชื่อของราติมา วัดดังกล่าวสร้างขึ้นโดย โมฮัน ซิงห์ (Mohan Singh) สามีของเธอ จากเงินออมที่เขารวบรวมจากการทำงานในต่างประเทศ
“เราเรียกเขาว่า ‘พ่อ' เธอคือมารดาของพวกเรา ดังนั้นเขาจึงเป็นบิดา” ราจินเดอร์ กล่าว
เมื่อเธออายุราว 20 ปี ขณะที่สามีของเธออยู่ต่างประเทศ ราติมาทิ้งลูกชาย 2 คนของเธอให้อยู่ในการดูแลของพี่สาว และเริ่มอาศัยอยู่ในบ้านของผู้ศรัทธา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่านักธุรกิจ
เธอย้ายที่อยู่อาศัยเรื่อย ๆ ไปยังเมืองต่าง ๆ จนกระทั่งไปถึงนครมุมไบ เมืองหลวงทางธุรกิจของอินเดีย ซึ่งเธอใช้เวลากว่าทศวรรษอาศัยในบ้านของนักธุรกิจ ก่อนที่จะกลับไปหาครอบครัวในท้ายที่สุด
บรรดาผู้ศรัทธาที่เธอไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา อ้างว่าพวกเขาประสบกับความเจริญรุ่งเรืองหลังจากนั้น พวกเขาเป็นผู้ติดตามที่ช่วยกระจายชื่อเสียงให้เธอมากที่สุด
เธออยู่ในโลกที่แปลกประหลาด ที่ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์อยู่ร่วมกับสายใยแห่งการครอบครองและความสัมพันธ์ทางโลก
ปัจจุบันราติมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยลูกชาย 2 คนของเธอ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและแต่งงานกับครอบครัวนักธุรกิจ แต่ในชั้นที่พักของเธอซึ่งแยกส่วนจากห้องพักอาศัยต่าง ๆ ถูกจัดไว้ให้เฉพาะสำหรับการพบปะเหล่าสาวกของเธอ หรือไม่เธอก็บินไปยังเมืองอื่น ๆ เพื่อปรากฏตัวต่อสาธารณะ

“ประการแรก เธอไม่ได้อยู่กับเรา เราโชคดีที่ได้อาศัยอยู่ในชาราน ที่ลี้ภัย ของเธอพร้อมกับกริปา พระคุณ ของเธอ” เมฆา ซิงห์ ลูกสะใภ้ของเธอ ซึ่งดูแลการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะทั้งหมดของเธอ กล่าว “ประการที่สอง เธอไม่ได้มองเราเป็นครอบครัวแต่เป็นสาวก”
เงินบริจาคของราติมาก็ถูกบริหารจัดการโดยครอบครัวของเธอและผู้ศรัทธาที่อยู่ในวงใกล้ชิด
“เงินบริจาคที่เธอได้รับจะถูกนำไปใช้ในกลุ่มสังคมที่ดำเนินการโดยผู้ศรัทธาของเธอ ซึ่งพวกเขาจะพิจารณาคำร้องขอจากผู้ที่ต้องการ ก่อนที่จะจัดสรรเงินหรือของขวัญให้ ขณะที่ตัวของราติมาเองอยู่เหนือวัตถุนิยมเหล่านี้มาก” เมฆา ซิงห์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เทพมนุษย์หญิงผู้นี้ชื่นชอบเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ปราณีต
“ฉันชอบสวมชุดที่สวยงามและทาลิปสติกสีแดง อย่างที่ผู้หญิงแต่งงานแล้วทุกคนควรจะทำ แต่ฉันไม่ชอบแต่งหน้า” ราติมาเปิดเผย ทว่าเธอแต่งหน้าค่อนข้างจัด
“คุณสามารถสรรหาชุดเดรสที่เหมาะที่สุดให้กับไอดอลของคุณได้เสมอ แล้วทำไมไม่ทำให้กับพระเจ้าที่มีชีวิต? พวกเรารู้สึกปิติมากที่มีเธอ และพวกเรารู้สึกปิติที่ได้รับใช้เธอ” เมฆา ซิงห์ กล่าวเสริม
ในปี 2020 ราติมาปรากฏตัวในรายการทีวีเรียลลิตี้ “บิ๊ก บราเธอร์” (Substantial Brother) เวอร์ชั่นอินเดีย เพื่อให้พรในบ้านของผู้เข้าแข่งขัน เธอโดดเด่นด้วยชุดสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ และถือตรีศูลทองคำ
ภาพลักษณ์ของเธอในปัจจุบัน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพถ่ายของหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่เหล่าผู้ศรัทธาเคยให้ฉันดูในขณะที่ฉันเดินทางไปที่รัฐปัญจาบ
หนึ่งในนั้นคือ ซานโตช กุมารี ที่วางรูปของราติมาไว้แท่นบูชาภายในบ้าน เธอบอกกับฉันว่าความศรัทธาของเธอมีต้นกำเนิดจากพรที่เธอได้รับขณะที่สามีเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหัวใจวาย ซึ่งต่อมาเขาฟื้นตัวได้
“มีเลืoดไหลออกจากปากของเธอ เธอใช้มันแทนผงสีแดงแต้มมันที่ฉันและบอกว่า ‘ไม่มีเรื่องร้ายใดจะเกิดขึ้น สามีของเธอจะได้รับการรักษา'” เธอบอกกับฉัน
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับฉัน ที่มีผู้ศรัทธาของราติมาหลายคนพูดถึงเรื่องที่มีเลืoดไหลออกจากลิ้นของเธอ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นผลมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์
กุมารี เป็นหนึ่งในหญิงราว 500 คน ที่จำนวนมากเป็นแม่หม้าย ที่ได้รับบำนาญรายเดือน เดือนละ 1,000 – 2,000 รูปี (ราว 394 – 789 บาท) จาก “สมาคมการกุศล ชรี ราติมา” (Shri Radhe Maa Charitable Society)
ผู้ได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญคนอื่น ๆ ก็เล่าเรื่องราวปาฏิหาริย์อย่างระมัดระวัง แต่บางครั้งก็มีคำเตือนตามมาด้วย

ความหวาดกลัว
“เราไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเธอได้เพราะมันอาจจะเป็นอันตรายต่อพวกเรา ถ้าฉันไม่จุดตะเกียงให้กับเธอ มันจะก่อให้เกิดอันตรายบางอย่าง ฉันจะล้มป่วย” หนึ่งในผู้ศรัทธา สุรจิต คัวร์ ระบุ
สุรจิตจุดตะเกียงให้กับราติมาในทุกวันโดยไม่เคยว่างเว้น เธอเชื่อมั่นในพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพมนุษย์หญิงผู้นี้
ศ.มานัฟ อธิบายว่า สิ่งนี้คือความกลัวของผู้ศรัทธาว่าจะสูญเสียพรจากเทพมนุษย์
“กฎแห่งความน่าจะเป็นสะท้อนว่าการคาดการณ์บางอย่างจะเป็นจริง และเทพมนุษย์จะได้รับความน่าเชื่อถือจากสิ่งนั้น แต่เขากลับไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือเมื่อทำนายผิดพลาด ซึ่งจะกลายเป็นความผิดของตัวผู้ศรัทธาเองที่สวดภาวนาหรือมีความศรัทธาไม่เพียงพอ รวมทั้งอาจเป็นความโชคร้ายได้ด้วย” เขากล่าว
มีผู้คนจำนวนพอสมควรที่ฉันพบในงานพิธีสาธารณะของราติมา ที่แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความไม่เชื่อว่าพลังของเธอจะสร้างปาฏิหาริย์
หนึ่งในนั้นเรียกคำกล่าวอ้างนี้ว่าเป็น “เรื่องราวในจินตนาการ” และคนอื่น ๆ ชี้ถึงการแต่งหน้าและการแต่งกายที่แปลกตาของเธอ ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นเทพเจ้า พร้อมกับเสริมว่าพวกเขาไม่เคยเห็นหลักฐานว่ามีปาฏิหาริย์ใด ๆ ด้วยตาของตัวเอง
แต่พวกเขาก็ยังมาร่วมงานพิธีสาธารณะของราติมา พวกเขามองว่าเธอ “ทำให้เพลิดเพลิน” และอยากจะเจอตัวจริงหลังจากที่ได้ดูเธอผ่านรายการทีวีเรียลลิตี้
ระหว่างการหาข้อมูลของฉัน ฉันได้พบกับอดีตผู้ติดตามของราติมาจำนวนหนึ่งที่บอกว่าการทำนายของเธอไม่เป็นจริง และกล่าวหาว่ามันทำให้เกิดอันตรายด้วย แต่พวกเขาไม่ต้องการให้ระบุตัวตน
มันเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นของฉัน เกี่ยวกับบรรดาผู้ศรัทธาของเธอ ความเชื่อของพวกเขาในความเป็นพระเจ้าของเธอ และการยอมรับใช้ของพวกเขา

ศรัทธาหรือความเชื่องมงาย
เย็นวันหนึ่งฉันรู้สึกตกใจเมื่อเห็นราติมา ร้องขอผู้ติดตามใกล้ชิดของเธอ ผู้ซึ่งนั่งอยู่กับพื้น ให้เลียนเสียงสัตว์ และพวกเขาก็ทำตาม
เธอขอให้พวกเขาทำตัวเหมือนกันสุนัขและลิง แล้วพวกเขาก็เห่าและหอน รวมถึงทำท่าทางแกะเกา
ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
ลูกสะใภ้ของราติมา เมฆา ซิงห์ อยู่ในห้องนั้นด้วย ฉันขอให้เธอช่วยอธิบายว่าทำไมพวกเขาจึงแสดงท่าทางแบบนั้น
เธอดูไม่แปลกใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
เธอบอกว่าเทพมนุษย์หญิงผู้นี้อาศัยในขอบเขตห้องของเธอมากว่า 30 ปี
“นี่ก็เลยเป็นแหล่งความเพลิดเพลินเดียวที่เธอมี” เธออธิบาย “เราพยายามเล่าเรื่องตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเราแค่พยายามทำให้เธอหัวเราะจากการแสดงท่าทางแบบนี้”
มันทำให้ฉันนึกถึงคำเตือนที่ฉันได้รับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าผู้ศรัทธาจะต้องเชื่ออย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข
เหมือนกับตอนที่ฉันเคยถามพุชพินเดอร์ สิงห์ หนึ่งในผู้ศรัทธา ว่าราติมาร้องขออะไรจากผู้ติดตามของเธอบ้าง
“ไม่มี นอกจากที่เธอพูดว่า ‘เมื่อคุณมาหาฉัน จงมาด้วยความเชื่อและใจที่เปิดกว้าง' ผมเห็นมันมาแล้ว เมื่อผู้คนมาหาเธอด้วยความคิดแบบนั้น เธอสร้างปาฏิหาริย์ให้กับพวกเขา แต่หากคุณไปหาเพื่อจะทดสอบเธอ ผมคิดอย่างสุภาพและเป็นมิตรนะ ว่าคุณจะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของซานกัต กลุ่มผู้เชื่อ ได้อีกต่อไป” เขาตอบคำถาม
สิ่งที่พวกเขาพยายามบอกกับฉัน คือเพื่อศรัทธา จะต้องยอมจำนนต่อเหตุผลทั้งหมด
ขณะที่ ศ.มานัฟ มองว่าการอุทิศตัวอย่างไม่มีคำถามโดยสมบูรณ์นี้เอง คือองค์ประกอบหนึ่งที่สร้าง “ความเชื่องมงาย”
“เราถูกสอนว่าปัญญาจะต้องได้มาจากการยึดมั่นเชื่อถือในผู้นำทางความเชื่อของคุณเท่านั้น ใครก็ตามที่สงสัยในตัวเขา หรือพยายามจะทดสอบเขา จะสูญเสียความศรัทธาและสูญเสียการได้รับพร”
ไม่ว่าจะด้วยความเชื่องมงายหรือความศรัทธา ราติมาเชื่อว่าผู้ติดตามของเธอจะไม่ไปไหน
และเธอกล่าวด้วยว่า เธอไม่กังวลไหวกับคนที่บอกว่าเธอเสแสร้ง
“ฉันไม่สนใจ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
“เพราะพระเจ้ามองฉันอยู่จากด้านบน และให้การดูแลฉันอยู่” เธอกล่าวทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk