29 ม.ค. 2568 เวลา 14.00 น. ญาติและเพื่อนของผู้ต้องขังคดีทางการเมืองจัดกิจกรรม “คนติดไม่ท้อ คนรอไม่ทิ้ง” เยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
ผู้สื่อข่าวประชาไทมีโอกาสร่วมสังเกตการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังและพูดคุยกับญาติๆ พบว่าบรรยากาศเป็นไปอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ของเรือนจำอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่มีรายชื่อเป็นญาติได้เข้าเยี่ยม ทำให้คนบางส่วนได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ต้องขังผ่านโทรศัพท์ ขณะที่มวลชนอีกส่วนที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อต้องมองผ่านกระจกอยู่ข้างนอก โดยมีตาข่ายติดกระจกจากด้านในจึงทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าคนข้างในได้ชัด คนข้างนอกจึงโบกไม้โบกมือและส่งเสียงทักทายดังๆ
คดีใหญ่ทำเรือนจำเข้มงวดขึ้น
หลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ ‘ไฮยีนส์’ หนึ่งในคนที่ได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ต้องขัง เธอเป็นคนที่มาเยี่ยมเพื่อนๆ อยู่ตลอด
ไฮยีนส์
ไฮยีนส์เล่าว่า ก่อนหน้านี้การจะเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทางการเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายกว่านี้ ไม่ได้เข้มงวดเท่านี้ แต่พอมีพวกคดีใหญ่ๆ อย่าง ดิ ไอคอน กรุ๊ป และ Forex-3D เรือนจำเข้มงวดขึ้นในเรื่องการเยี่ยมจึงส่งผลให้การเยี่ยมผู้ต้องขังทางการเมืองยากขึ้นไปด้วย
ไฮยีนส์เล่าว่า ตอนนี้แดน 4 มีนักโทษทางการเมืองเยอะที่สุด อย่างเช่น เก็ต โสภณ, ทนายอานนท์, บุ๊ค ธนายุทธ, ขนุน สิรภพ, ก้อง อุกฤษฏ์, สมบัติ ทองย้อย ถือว่า ‘อบอุ่น’ มาก แต่ปัญหาคือ นักโทษการเมืองที่ต้องไปอยู่แดนอื่นอาจเสี่ยงต่อการถูกนักโทษคดีอื่นๆ รังแก เพราะไม่เห็นด้วยในเรื่องแนวคิดทางการเมือง หรือกระทั่งเจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้มีการรังแกเกิดขึ้น
“อย่างกรณี อารีฟ (วีรภาพ วงษ์สมาน) เคยโดนนักโทษคดีอื่นเข้ามาต่อย หรือว่าจะเป็นแอมป์ (ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา) ที่โดนคุกคามทางเพศ”
“กรณีของ อัฐสิษฎ ที่อยู่แดน 3 เขาบอกว่าเวลาเขาโดนคุกคามหรือรังแก เขาเขียนคำร้อง แต่คำร้องของเขาไม่เคยไปถึงหน้าแดนเลย เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับการปกป้องเลย เขียนขนาดไหนก็ไปไม่ถึง เราเลยพยายามทำเรื่องให้เขาได้ย้ายแดนกลับมา”
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรในการเดินทางมาเยี่ยมเพื่อนๆ ตลอด ในขณะที่กระแสการเคลื่อนไหวซาลงไปแล้ว
“จริงๆ เราชิน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเรากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เลยเพราะสงสารเพื่อนแต่ละคน เพื่อนก็ทำท่าจะร้องไห้ใส่ แต่หลังๆ เราเริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แล้วก็เลยชิน เราสามารถที่จะเล่าเรื่องตลก ข่าวสารข้างนอกให้พวกเขาฟังได้”
ส่วนในเรื่องกระแส ไฮยีนส์บอกว่าส่วนตัวเธอเองรู้สึกว่ากระแสมันไม่ได้ซา เพราะว่าประชาชนรับรู้กันแล้วว่าอะไรที่เป็นปัญหา อย่างกรณีดรามาของแสตมป์ ก็เป็นคนทั่วๆ ไปนี่แหละที่มีคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ว่า เมื่อพูดถึงคดีการเมืองก็นึกถึงคดีมาตรา 112 อยู่แล้ว การเคลื่อนไหวมันเป็นคลื่น ต้องมีลงบ้างขึ้นบ้าง แค่ต้องมีอะไรสักอย่างมาเป็นตัวจุด
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ไม่ได้ลงชื่อเป็นญาติก็ไม่ได้เข้าเยี่ยม
ตี้ วรรณวลี ธรรมสัตยา นักศึกษาที่เคยเป็นแกนนำกลุ่มราษฎร คือหนึ่งในคนที่ต้องรออยู่ข้างนอก ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งสั้นๆ ที่ตี้กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เมื่อเสร็จสิ้นการเยี่ยม ผู้สื่อข่าวจึงเข้าไปคุยกับเธอ
ตี้ วรรณวลี
ตี้เล่าว่า สาเหตุที่ร้องไห้คือเธอตั้งใจมาเยี่ยมน้องที่สนิทคือ “อารีฟ–วีรภาพ วงษ์สมาน” นั่งรถตู้มาจากนครนายกตั้งแต่เช้า คิดถึงน้อง หวังว่าจะได้พูดคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้เยี่ยมเนื่องจากไม่มีชื่ออยู่ในรายชื่อญาติ
ตี้เล่าต่อไปว่า ก่อนหน้านี้เธอมีชื่อเป็นหนึ่งในญาติของรีฟและก็ได้เข้าเยี่ยมมาตลอด แต่พักหลังๆ มานี้ เธอติดงาน ติดเรียน จึงไม่ค่อยได้มา ทำให้เมื่อปีที่แล้ว รีฟขอเอารายชื่อของเธอออกเพื่อที่จะใส่ชื่อคนอื่นที่ว่างมาเยี่ยมแทน
“ก่อนหน้านี้ที่น้องจะเข้า (เรือนจำ) เราเป็นคนมาส่งน้องที่ศาล แล้วก็รู้ว่าน้องน่าจะไม่ได้ประกันตัว น้องก็จำชื่อเราดีมากๆ เพราะว่านามสกุลเราค่อนข้างยาว ก็ใส่ชื่อเราไว้ในรายชื่อญาติ แล้วหลังจากนั้นเราก็ได้มาเยี่ยมน้องบ่อยๆ ทีนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เป็นการเยี่ยมญาติใกล้ชิด ตอนนั้นเราไม่ว่างที่จะมา น้องก็เลยต้องเอารายชื่อใส่ใหม่ ไม่แน่ใจว่าระบบเป็นอย่างไร แต่น้องบอกว่าขอเอารายชื่อพี่ออกก่อนนะ เพราะจะเอารายชื่อคนที่ว่างเข้ามาใส่แทนก่อน หลังจากนั้นน้องก็ไม่ได้เอาชื่อเรามาใส่อีก เราก็ลืมบอกให้น้องใส่”
“เรานั่งอยู่หน้าประตูเพื่อมองหน้าน้อง ไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมและคุยผ่านโทรศัพท์กันได้ น้องเห็นเราก็พยายามกวักมือเรียก เราก็ตะโกนบอกว่าพี่เข้าไม่ได้ ไม่มีรายชื่อ น้องก็ตกใจว่าทำไมถึงไม่มี คุยไปคุยมากลายเป็นน้องเอาชื่อเราออกไปน่าจะประมาณปีที่แล้ว ไม่ชัวร์ว่าเดือนไหน แล้วน้องก็ร้องไห้ พี่เอกชัย (หงส์กังวาน) ที่อยู่ข้างในเป็นคนวิ่งออกมาบอก เราก็ร้องไห้ตาม มันคิดถึง อย่างน้อยได้เจอได้คุยกันน่าจะดี”
ตี้บอกว่าในส่วนของรายชื่อญาติ การอัปเดตอย่างมากมันก็ควรจะใช้เวลาแค่ 1 เดือน แต่ไม่รู้ว่าระบบของเรือนจำเป็นอย่างไร ล่าช้าเป็นพิเศษหรือไม่ในกรณีญาติของนักโทษการเมือง ในวันนี้หลายๆ คนที่เดินทางมาก็เสียใจ อย่าง เจษฎา ศรีหลั่ง หรือเจมส์ สมาชิกเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี เจมส์เคยใส่ชื่อว่าเป็นญาติของขุนแผน ก็ไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมได้เหมือนกัน
กลุ่มเพื่อนก้องเรียกร้องให้เจ้าตัวได้สอบในเรือนจำ
ก้อง อุกฤษฏ์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้ต้องขังคดี ม.112 ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ เขาอยู่ในเรือนจำมาเกือบหนึ่งปีแล้ว และกำลังจะสิ้นสภาพความเป็นนักศึกษา และจะไม่สามารถจบการศึกษาเป็ณบัณฑิตได้ เพราะมหาวิทยาลัยไม่อนุมัติให้สอบในเรือนจำ
ข้อมูลจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนทำไรท์ระบุว่า ก้องและเพื่อนๆ เคยยื่นหนังสือถึงทางมหาวิทยาลัยแล้ว แต่มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้สอบนอกสถานที่ ขณะนี้ก้องและเพื่อนจึงยื่นหนังสือไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และกระทรวงยุติธรรม
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีแฮชแท็ก #ก้องต้องได้สอบ ผุดขึ้นมาในโลกออนไลน์ ขณะที่เช้าวันนี้ กลุ่มเพื่อนๆ ของก้องไปยื่นหนังสือมาที่รัฐสภา โดย กมธ.กฎหมายฯ รับเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน และจะมีการนัดสอบข้อเท็จจริงกับมหาวิทยาลัยในวันพุธหน้า (5 ก.พ.)
ช่วงบ่าย เพื่อนคนหนึ่งที่มาเยี่ยมก้องที่เรือนจำบอกกับผู้สื่อข่าวว่า มีความเป็นห่วงว่าก้องจะได้สอบไหม เหลืออีกแค่ 9 หน่วยกิตสุดท้าย ก็คือ 3 วิชาของคณะนิติศาสตร์ ตอนนี้กำลังรอการประสาน คิดว่ากรรมาธิการการกฎหมายฯ ที่ไปยื่นหนังสือมาเมื่อเช้า และ กระทรวง อว. (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) น่าจะช่วยดำเนินเรื่องให้
เพื่อนของก้องเล่าต่อไปว่า ก่อนหน้านี้มีการส่งหนังสือไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อเรียกร้องให้ก้องได้สอบ แต่มหาวิทยาลัยปฏิเสธว่าไม่สามารถที่จะช่วยตรงนี้ได้โดยที่ไม่ได้ให้เหตุผลกลับมา และเป็นการตอบกลับแบบปากเปล่า ไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร
ทั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า การจัดสอบในเรือนจำเคยเกิดขึ้นแล้วกับ ไผ่ จตุภัทร์ นักกิจกรรมทางการเมืองขณะถูกคุมขังด้วยคดี ม.112 ที่จังหวัดขอนแก่น จากกรณีแชร์ข่าว. เมื่อปี 2559
ญาติและประชาชนที่มาเยี่ยมผู้ต้องขังคดีการเมือง
ญาติและประชาชนที่มาเยี่ยมผู้ต้องขังการเมือง
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )