โลกที่อื้ออึงด้วยมลภาวะทางเสียง บั่นทอนสุขภาพมนุษย์จนเสี่ยงเสียชีวิตไวขึ้นได้อย่างไร

Article info
- Creator, เจมส์ กัลลาเกอร์
- Characteristic, พิธีกรสารคดี LOUD บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส
มนุษย์กำลังถูกรุมล้อมด้วยมัจจุราชที่มองไม่เห็น น้อยคนที่จะสังเกตพบว่า มันสามารถบั่นทอนอายุขัยของเราให้สั้นลง เพราะทูตมรณะชนิดนี้เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่พบได้ทั่วไป จนแทบไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย, ก่อโรคเบาหวานประเภทที่สอง, และล่าสุดผลวิจัยยังพบว่ามันนำไปสู่โรคสมองเสื่อมได้อีกด้วย
มัจจุราชที่มองไม่เห็นนี้ก็คือ “เสียงรบกวน” นั่นเอง มลภาวะทางเสียงส่งผลกระทบต่อร่างกายคนเราอย่างร้ายแรง ไม่ใช่แค่ทำลายความสามารถในการได้ยินเท่านั้น “มันคือภาวะวิกฤตทางสาธารณสุขอย่างหนึ่ง เพราะมีคนจำนวนมากที่ได้รับมลภาวะทางเสียงเป็นประจำทุกวัน” ศาสตราจารย์ชาร์ล็อตต์ คลาร์ก จากมหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จแห่งกรุงลอนดอนกล่าว
ภาวะวิกฤตที่ไม่มีใครสนใจจะพูดถึงนี้ ทำให้ผมเริ่มออกสืบเสาะค้นหาคำตอบว่า เมื่อใดที่เสียงรบกวนซึ่งฟังดูแล้วก็ปกติธรรมดาอย่างยิ่ง ได้กลายเป็นมลภาวะทางเสียงที่ก่ออันตรายต่อสุขภาพ โดยผมได้พูดคุยกับผู้ป่วยหลายคนและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว เพื่อดูว่ามีทางออกในการแก้ไขไม่ให้โลกของเราเสียงดังอื้ออึงขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือไม่
การเดินทางค้นหาคำตอบของผมเริ่มขึ้น ที่ห้องปฏิบัติการเสียงอันเงียบงันจนน่ากลัวของศ.คลาร์ก เราจะทำการทดสอบว่าร่างกายของผมตอบสนองอย่างไรต่อเสียงรบกวน โดยทีมวิจัยนำอุปกรณ์ที่ดูเหมือนนาฬิกาสมาร์ตวอตช์เรือนใหญ่มาติดไว้ที่ตัวผม เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจและปริมาณเหงื่อที่หลั่งออกมาจากผิวหนัง
ผู้อ่านบทความที่มีอุปกรณ์หูฟังสามารถเข้าร่วมการทดลองนี้ได้เช่นกัน โดยฟังเสียง 5 แบบ จากคลิปเสียงด้านล่างนี้ แล้วสำรวจดูว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกับเสียงเหล่านั้น
and proceed readingเรื่องแนะนำ
Finish of เรื่องแนะนำ

ปรากฏว่าเสียงที่ระคายหูและกวนใจผมได้มากที่สุด คือเสียงการจราจรในกรุงธากาเมืองหลวงของบังกลาเทศ ซึ่งเมืองแห่งนี้ขึ้นชื่อว่า มีเสียงรบกวนดังอึกทึกครึกโครมในระดับสูงสุดของโลกมานานแล้ว ในทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ ผมรู้สึกตึงเครียดเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางขบวนรถติดยาวเหยียดที่ไม่ขยับเขยื้อนเสียที
อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจจับความตึงเครียดรำคาญใจของผมได้ทันที อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งสูงขึ้น และผิวหนังหลั่งเหงื่อออกจากรูขุมขนมากขึ้นด้วย ในตอนนั้นศ.คลาร์ก หันมาบอกกับผมว่า “มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากยืนยันว่า เสียงจากการจราจรส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจของคนเราได้”
มีเพียงเสียงหัวเราะสนุกสนานจากสนามเด็กเล่นเท่านั้น ที่ทำให้ร่างกายและจิตใจของผมผ่อนคลายความตึงเครียดลง ส่วนเสียงสุนัขเห่าและเสียงเพื่อนบ้านจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมนั้น ทำให้ร่างกายผมมีปฏิกิริยาตอบสนองในทางลบ
ศ.คลาร์กให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้ว่า เสียงมีอิทธิพลเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของคนเราได้ เพราะมนุษย์มีการตอบสนองทางอารมณ์ต่อเสียงชนิดต่าง ๆ หูจะตรวจจับคลื่นเสียงและส่งสัญญาณเสียงต่อไปยังสมองส่วนอะมิกดาลา (amygdala) ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก จากนั้นจะมีการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นระบบประสาทให้คนเรามีปฏิกิริยา “สู้หรือหนี” (fight-or-flight) ซึ่งช่วยให้เราตอบสนองต่อเสียงรอบตัวได้อย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัตินี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์นั่นเอง เช่นช่วยให้วิ่งหนีได้ทันท่วงที เมื่อได้ยินเสียงสัตว์ผู้ล่าเดินเหยียบย่างผ่านพุ่มไม้จนใกล้เข้ามา

“เมื่อเสียงกระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยานี้ อัตราการเต้นของหัวใจจะพุ่งสูงขึ้น ระบบประสาทจะตื่นตัวและมีการหลั่งฮอร์โมนเครียดออกมา” ศ.คลาร์กกล่าว เธอยังบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดี หากเรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามหรือเหตุฉุกเฉินเร่งด่วนเป็นครั้งคราว แต่ในระยะยาวแล้วมันจะสร้างความเสียหายต่อสุขภาพโดยรวมได้
“ถ้าคุณได้ยินเสียงรบกวนนานติดต่อกันหลายปี ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนั้นอยู่ตลอดเวลา มันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย, ความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลืoดสมองตีบหรือแตก, และโรคเบาหวานประเภทที่สองได้” ศ.คลาร์กกล่าวเสริม
สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงนี้เกิดขึ้นได้แม้ในขณะหลับสนิท หลายคนอาจคิดว่าตัวเองนอนหลับในสถานที่เสียงดังได้เพราะเคยชินเสียแล้ว ตัวผมเองก็เคยคิดอย่างนั้นสมัยที่ยังเช่าบ้านอยู่ใกล้สนามบิน แต่ในความเป็นจริงตัวชี้วัดทางชีววิทยาจะฟ้องว่า คุณไม่ได้หลับลึกอย่างแท้จริงเลย
ศ.คลาร์กกล่าวสรุปว่า “หูของคนเราไม่เคยหยุดรับฟังเสียง แม้แต่ในตอนที่หลับสนิทคุณก็ยังคงรับฟังเสียงต่าง ๆ อยู่ ดังนั้นปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงเช่นการที่หัวใจเต้นเร็วขึ้น จึงสามารถเกิดขึ้นได้ในตอนที่เรานอนหลับ”

สาเหตุของเสียงดังรบกวนนั้น นอกจากจะเกิดขึ้นเพราะการจราจร, ระบบรถไฟ, และการบินขึ้นลงของอากาศยานแล้ว ยังมาจากชีวิตประจำวันของผู้คนและชุมชนได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่นกรณีของ “โคโค่” หญิงชาวสเปนที่อาศัยอยู่ในห้องชุดบนชั้นที่สี่ของอาคารที่พักแห่งหนึ่ง ในเขตพื้นที่ประวัติศาสตร์ “วิลา เด กราเซีย” (Vila de Gràcia) ของนครบาร์เซโลนา
ที่หน้าห้องของเธอมีของฝากเป็นถุงใส่มะนาวที่เพื่อนบ้านเพิ่งเก็บจากต้นใหม่ ๆ ผูกอยู่กับประตู ภายในห้องของเธอมีแผ่นแป้งตอร์ติญาเก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งก็เป็นของฝากจากเพื่อนบ้านอีกราย หลังจากนั้นเธอนำขนมเค้กที่แต่งหน้าอย่างสวยงามมาให้ผมลองชิม ซึ่งเค้กนี้ก็เป็นของฝากจากเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งที่กำลังหัดทำขนมอบ
นอกจากเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรอย่างยิ่งแล้ว เมื่อมองออกไปนอกระเบียง เรายังได้เห็นมหาวิหาร “ซากราดา ฟามีเลีย” (Sagrada Familia) อันโด่งดังอย่างชัดเจน ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าเหตุใดโคโค่จึงตกหลุมรักชุมชนแห่งนี้ ทว่าราคาที่เธอต้องจ่ายสำหรับการพักอาศัยอยู่ที่นี่ แพงลิบลิ่วเกินกว่าค่าเช่าห้องเป็นอย่างมาก จนเธอเริ่มถอดใจว่าคงต้องหาที่อยู่ใหม่ในไม่ช้า
“เสียงรบกวนดังอึกทึกเหลือเกิน ดังอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง” โคโค่ยังบอกว่า ใกล้ที่พักของเธอมีสวนที่เปิดให้คนพาสุนัขไปเดินเล่น จนมีเสียงเห่าดังลั่น “แม้แต่ตอนตีสอง,ตีสาม,ตีสี่,และตีห้า” ส่วนลานด้านหลังอาคารของเธอก็เป็นพื้นที่สาธารณะ ซึ่งผู้คนพากันมาใช้จัดงานทุกรูปแบบ ตั้งแต่งานเลี้ยงฉลองวันเกิดลูกหลาน ไปจนถึงการจัดคอนเสิร์ตมาราธอนตลอดทั้งวันที่ปิดท้ายด้วยการจุดดอกไม้ไฟ โคโค่ยังเปิดคลิปเสียงในโทรศัพท์ของเธอให้เราฟังว่า เสียงดนตรีจากงานคอนเสิร์ตครั้งนั้นดังสนั่น จนทำให้กระจกหน้าต่างที่ห้องของเธอสั่นสะเทือน
บ้านของเธอควรเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อน เพื่อหลบลี้จากความตึงเครียดของสำนักงาน แต่เสียงรบกวนที่เกินจะทน “ทำให้ฉันคับข้องใจอย่างยิ่ง จนรู้สึกอยากจะร้องไห้” โคโค่เคยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมาแล้วสองครั้งเพราะอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งเธอเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่า เสียงรบกวนได้ก่อความเครียดที่บั่นทอนสุขภาพของตัวเอง “มีความเปลี่ยนแปลงทางกายที่ฉันรู้สึกได้ แน่นอนว่ามันต้องทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของคนเรา”
ดร.มาเรีย ฟอราสเตร์ ผู้เชี่ยวชาญที่รวบรวมและวิเคราะห์หลักฐานเกี่ยวกับมลภาวะทางเสียงให้กับองค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่าที่นครบาร์เซโลนามีกรณีหัวใจวายราว 300 ราย และมีผู้เสียชีวิตราว 30 คนต่อปี เนื่องจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับเสียงดังรบกวนจากการจราจร

ส่วนสถิติทั่วภูมิภาคยุโรปนั้น ประมาณการว่าเสียงรบกวนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร 12,000 กรณีต่อปี รวมทั้งเกี่ยวข้องกับโรคนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท และเหตุเดือดร้อนรำคาญใจจากเสียงรบกวนที่ทำร้ายสุขภาพจิตของผู้คน คิดเป็นจำนวนถึงหลายล้านกรณีต่อปี
ผมนัดพบกับดร.ฟอราสเตร์ ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในนครบาร์เซโลนา โดยร้านกาแฟแห่งนี้แยกห่างจากถนนที่มีการจราจรคับคั่งที่สุดของเมือง ด้วยพื้นที่ของสวนสาธารณะขนาดย่อมที่มาคั่นกลางเอาไว้ มาตรวัดระดับความดังของเสียงที่ตัวผม บอกว่าเสียงจากการจราจรบนท้องถนนลดลง เหลือเพียงกว่า 60 เดซิเบลภายในร้านกาแฟ ทำให้เราพูดคุยกันได้สบาย ๆ โดยไม่ต้องตะเบ็งเสียง แต่ถึงกระนั้น ระดับความดังของเสียงรบกวนที่ว่าก็ไม่ดีต่อสุขภาพแล้ว
“หากต้องการรักษาสุขภาพหัวใจ เสียงรบกวนไม่ควรจะดังเกิน fifty three เดซิเบล ตัวเลขนี้บ่งบอกว่าเราต้องไปหาที่เงียบ ๆ กว่านี้นั่งคุยกัน ยิ่งเสียงดังขึ้นเท่าไหร่ ความเสี่ยงต่อสุขภาพก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น” ดร.ฟอราสเตร์กล่าว “เกณฑ์ที่ว่ามานี้เป็นระดับความดังของเสียงที่เหมาะสมในช่วงกลางวัน เราจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เสียงรบกวนเบากว่านั้นอีกในตอนที่หลับ เพราะช่วงกลางคืนเราต้องการความเงียบสงบอย่างแท้จริง”

นอกจากความดังของเสียงแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ อย่างลักษณะของเสียงนั้นรบกวนจิตใจได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งการที่คุณสามารถควบคุมเสียงรบกวนนั้นได้หรือไม่ ล้วนส่งผลต่อปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เรามีต่อเสียงดังกล่าว ซึ่งดร.ฟอราสเตร์บอกว่า ผลกระทบต่อสุขภาพจากมลภาวะทางเสียงนั้น ร้ายแรงเทียบเท่ากับมลภาวะทางอากาศเลยทีเดียว แต่ผู้คนไม่ค่อยเข้าใจถึงผลร้ายของเสียงรบกวนเมื่อเทียบกับผลกระทบจากฝุ่นควัน
“เราเคยชินกับความเข้าใจที่ว่า สารเคมีเป็นพิษและส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่มันค่อนข้างยากและซับซ้อนที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ว่า ปัจจัยทางกายภาพอย่างเช่นเสียง สามารถบั่นทอนสุขภาพของเราได้มากกว่าแค่ทำให้สูญเสียการได้ยิน” ดร.ฟอราสเตร์กล่าวอธิบาย
อย่างไรก็ตาม เสียงรบกวนจากการจราจรนั้นมีอิทธิพลต่อสุขภาพของคนเรามากที่สุด เพราะมีคนจำนวนมากต้องรับฟังเสียงนี้เป็นประจำทุกวัน แต่นอกจากเสียงเครื่องยนต์และเสียงแตรของรถราบนท้องถนนแล้ว ในเสียงการจราจรยังมีเสียงของผู้คนที่เคลื่อนไหวทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเสียงของคนที่เดินทางไปทำงาน, จับจ่ายสินค้า, หรือกำลังพาลูกไปโรงเรียนผสมปนเปอยู่ด้วย ดังนั้นการขจัดปัญหาเสียงรบกวนจากการจราจร จึงหมายถึงการร้องขอให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเอง ซึ่งก็จะทำให้เกิดปัญหาที่เป็นความขัดแย้งใหม่ขึ้นมาอีก
ดร.นาตาลี มิวเลอร์ จากสถาบันเพื่อสุขภาพระดับโลกแห่งนครบาร์เซโลนา (ISGlobal) พาผมไปเดินเล่นรอบบริเวณใจกลางเมือง เราเริ่มออกเดินจากถนนที่การจราจรวุ่นวายคับคั่งสายหนึ่ง โดยมาตรวัดระดับเสียงของผมบอกว่าตรงนั้นดังกว่า 80 เดซิเบลเลยทีเดียว จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยังถนนที่เงียบสงบ ซึ่งมีต้นไม้ปลูกอยู่เรียงรายสองข้างทางสายหนึ่ง ซึ่งระดับความดังของเสียงที่นั่นลดลงเหลือเพียง 50 กว่าเดซิเบลเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ถนนสายนี้ดูไม่เหมือนกับถนนสายอื่น ๆ ของเมือง เพราะแม้จะเคยเป็นถนนที่มีการจราจรคับคั่งมาก่อน ทว่าตอนนี้มีการเว้นพื้นที่ให้กับทางเดินเท้า, ร้านกาแฟ, และสวนขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น ผมสามารถมองเห็นร่องรอยของสี่แยกที่เคยเป็นจุดตัดของถนนสองสายได้ จากแนวการวางกระถางดอกไม้ในปัจจุบัน ยานพาหนะบางชนิดยังคงเข้ามาในถนนสายนี้ได้ แต่ต้องวิ่งช้า ๆ เพื่อความปลอดภัย
ผลการทดลองกับตัวเองในห้องปฏิบัติการเสียงก่อนหน้านี้ เตือนให้ผมนึกได้ว่า มีเสียงบางชนิดที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกายได้ “ถนนสายนี้ไม่ได้เงียบสนิทเสียทีเดียว แต่ผ่านการปรับเปลี่ยนให้ผู้คนเกิดการรับรู้เสียงธรรมชาติและเสียงรบกวนในรูปแบบใหม่” ดร.มิวเลอร์กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ก่อนหน้านี้ทีมวิจัยของดร.มิวเลอร์ ได้เสนอแผนการสร้าง “ซูเปอร์บล็อก” (superblock) พื้นที่ลดความคับคั่งของยวดยานและเป็นมิตรกับคนเดินเท้าเช่นนี้เพิ่มอีกในนครบาร์เซโลนา โดยในขั้นต้นมีแผนจะสร้างอีกกว่า 500 แห่ง โดยผนวกรวมย่านที่อยู่อาศัยซึ่งแต่ละแห่งตั้งอยู่ระหว่างถนนสองสาย (บล็อก) เข้าด้วยกันเป็นกลุ่มเดียว เพื่อให้เกิดซูเปอร์บล็อกที่ภายในมีทางเดินเท้าและสวนหย่อมเพิ่มมากขึ้น
งานวิจัยของดร.มิวเลอร์ชี้ว่า การทำเช่นนี้จะช่วยลดมลภาวะทางเสียงในเมืองลงได้ 5-10% ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เกิดกรณีการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะเสียงรบกวนได้ราว 150 รายต่อปี แต่นี่เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของประโยชน์มหาศาลต่อสุขภาพที่จะได้จากการดำเนินตามแผนดังกล่าว
น่าเสียดายที่ในความเป็นจริงแล้ว มีการสร้างซูเปอร์บล็อกลดมลภาวะทางเสียงขึ้นมาเพียง 6 แห่ง ในนครบาร์เซโลนา โดยทางสภาผู้บริหารเมืองได้ปฏิเสธที่จะชี้แจงเรื่องดังกล่าวตามคำขอของบีบีซี
การขยายตัวของเมืองใหญ่
อันตรายจากเสียงรบกวนยังคงมีเพิ่มขึ้นในโลกปัจจุบัน การขยายตัวของเมืองใหญ่และการพัฒนาให้ชนบทกลายเป็นเมืองอันทันสมัย ทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องมาอาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึงคอยรบกวนอยู่ตลอดเวลา
กรุงธากาของบังกลาเทศเป็นหนึ่งในเมืองยักษ์ใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดของโลก ส่งผลให้เกิดสภาพการจราจรที่รถราแน่นขนัดเต็มท้องถนน โดยมีเสียงแตรรถยนต์ดังลั่นเป็นฉากหลังอยู่ตลอดเวลา
โมมินูร์ ราห์มาน รอยัล ศิลปินชาวบังกลาเทศ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “วีรบุรุษผู้โดดเดี่ยว” เพราะเขาทำการประท้วงเงียบ ๆ คนเดียว เพื่อชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื่องมลภาวะทางเสียงของกรุงธากามานานแล้ว โดยในแต่ละวันเขาจะไปยืนที่สี่แยกของถนนสายใหญ่ 2-3 แห่ง เป็นเวลาราว 10 นาที พร้อมทั้งถือป้ายสีเหลืองมีข้อความประณามคนขับรถที่บีบแตรเสียงดังว่า เป็นผู้ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้คนหมู่มาก
เขาตัดสินใจทำภารกิจนี้หลังลูกสาวของเขาเกิดมา “ผมอยากจะหยุดยั้งการบีบแตรรถยนต์ทั้งหมด ไม่เพียงแค่ให้หมดไปจากกรุงธากาเท่านั้น แต่ให้หมดไปจากบังกลาเทศด้วย” รอยัลกล่าว “ลองสังเกตดูนก, ต้นไม้, หรือแม่น้ำ ไม่มีสิ่งใดที่ส่งเสียงรบกวนเลย หากไม่มีมนุษย์เป็นผู้ทำเสียงดังให้เกิดขึ้น ดังนั้นมนุษย์ต้องรับผิดชอบ”

ไซอีดา ริซวานา ฮาซัน ที่ปรึกษาและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของบังกลาเทศบอกกับบีบีซีว่า เธอวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อปัญหาสุขภาพที่เป็นผลกระทบจากมลภาวะทางเสียง ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อปราบปรามพฤติกรรมบีบแตรเสียงดัง รณรงค์เพิ่มความตระหนักในหมู่ประชาชน รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้เข้มงวดขึ้น
“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ปัญหาสำเร็จภายในเวลาหนึ่งถึงสองปี แต่เราเห็นว่าเป็นไปได้ที่จะทำให้เมืองมีเสียงรบกวนน้อยลง เมื่อผู้คนรู้สึกได้ว่าเมืองเงียบสงบขึ้น พวกเขาก็จะรู้สึกดีขึ้นตามไปด้วย ฉันมั่นใจว่าตอนนั้นพฤติกรรมของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเอง” ฮาซันกล่าว
แม้การแก้ปัญหามลภาวะทางเสียงจะยุ่งยาก ซับซ้อน และท้าทายอย่างยิ่ง แต่หลังจากสิ้นสุดการเดินทางค้นหาคำตอบในเรื่องดังกล่าว ผมตั้งใจว่าจะออกค้นหาพื้นที่บางส่วนในชีวิต เพื่อใช้หลบเร้นตัวเองให้พ้นจากเสียงรบกวน ดังคำกล่าวของดร.มาสรูร์ อับดุล กาเดร์ จากมหาวิทยาลัยมืออาชีพแห่งบังกลาเทศ (BUP) ที่บอกว่า “เสียงรบกวนคือเพชฌฆาตเงียบ มันคือยาพิษที่ออกฤทธิ์อย่างช้า ๆ”
สารคดี LOUD ผลิตโดยแกรี โฮลต์ รายงานข่าวเพิ่มเติมจากบังกลาเทศโดย ซัลมาน ซาอีด
ที่มา BBC.co.uk