เหตุใดรถเอสยูวีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แม้ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเกี่ยวกับโลกร้อนอย่างไร ?

ที่มาของภาพ : Reuters

รถอเนกประสงค์หรือเอสยูวี (SUV) มือหนึ่งกำลังข้ามสะพานจากแคนาดา เพื่อส่งมายังสหรัฐฯ

data

  • Author, เนวิน ซิงห์ คฮาดกา
  • Characteristic, ผู้สื่อข่าวด้านสิ่งแวดล้อม

ในเศรษฐกิจขนาดใหญ่และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วหลายแห่งทั่วโลก รถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์หรือเอสยูวี (SUV) กำลังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งบนท้องถนนและนอกถนน

ถึงแม้ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น (UN) รวมถึงหน่วยงานอื่น ๆ เคยคาดการณ์ว่าด้วยสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว วิกฤตสภาพอากาศที่เร่งด่วน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น การหันมาใช้รถยนต์ขนาดเล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม

ในความเป็นจริง เรากลับพบว่า 54% ของรถยนต์ที่ขายได้ในปี 2024 ทั่วโลก คือ รถเอสยูวี (รวมจำนวนทั้งประเภทที่ใช้เชื้อเพลิงเบนซิน ดีเซล และพลังงานไฟฟ้า) ถือเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น 3% จากปี 2023 และเพิ่มขึ้น 5% จากปีที่แล้ว ตามข้อมูลของโกลบอลดาตา (GlobalData) ซึ่งเป็นองค์กรจัดทำข้อมูลด้านการตลาด รวมถึงรวบรวมข่าวสารต่าง ๆ ให้กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา รถเอสยูวีเพิ่มจำนวนขึ้นจาก 1 ใน 5 ของยอดขายใหม่ในปี 2014 เป็นมากกว่า 1 ใน 2 ของยอดขายปี 2024” เจมส์ นิกซ์ จากองค์กรพัฒนาเอกชนชื่อว่า ทรานสปอร์ต แอนด์ เอนไวรอนเมนต์ (Transport and Atmosphere) องค์กรร่มของยุโรปที่ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งและสิ่งแวดล้อม กล่าว

จากข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ หรือ ไออีเอ (Global Vitality Company-IEA) ระบุว่า ในบรรดารถเอสยูวีรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่กำลังวิ่งอยู่บนท้องถนนราว 95% ล้วนแต่กำลังเผาไหม้ด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล แม้ผู้ผลิตจะบอกว่ารถรุ่นใหม่ของพวกเขากำลังเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นก็ตาม

and proceed readingเรื่องแนะนำ

Discontinue of เรื่องแนะนำ

รถยนต์เอสยูวีเป็นพาหนะที่ลูกค้ายากที่จะพลาดแก่การเป็นเจ้าของ เนื่องจากมีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่ ภายในกว้างขวาง มีระยะห่างจากพื้นสูง และมีตำแหน่งการขับขี่ที่สูง ทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นถนนชัดเจนขึ้น แต่ก็มีรถเอสยูวีรุ่นที่เล็กกว่าวางจำหน่ายในท้องตลาดด้วยเช่นกัน

สถิติยอดขายรถยนต์ SUV ในประเทศจีน สหรัฐฯ และ อินเดีย ซึ่งเป็นสามประเทศที่มียอดขายอันดับต้น ๆ ของโลก (หน่วย: ล้านคัน)

นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น กรีนพีซ และ กลุ่มกบฏต่อต้านการสูญพันธุ์ (Extinction Riot) มองว่ารถเอสยูวี คือตัวร้ายสำหรับวิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากมันปล่อยมลพิษในระดับที่สูงมาก

ขณะที่องค์กรต่าง ๆ เช่น สภาระหว่างประเทศว่าด้วยการขนส่งที่สะอาด (Global Council on Ideal Transportation) ออกมาบอกว่าการผลิตของบริษัทรถยนต์ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากซึ่งเป็นไปตามขนาดของรถประเภทดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้ จำนวนของรถเอสยูวีบนท้องถนนยังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งขัดกับวาระความยั่งยืนที่เห็นพ้องกันทั่วโลก ตามที่ระบุไว้ในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดการผลักดันให้ใช้รถยนต์ที่มีขนาดเล็กลง และประหยัดพลังงานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงจากภาคขนส่งด้วย กำลังเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนอย่างมาก หากต้องการลดอุณหภูมิโลกที่กำลังสูงขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าหรือ อีวี (EV) ขนาดมาตรฐานกำลังลดลงในตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และ อินเดีย

ข้อมูลจากโกลบอลดาตา ยังเผยให้เห็นว่ายอดขายรถเอสยูวีในยุโรปกำลังแซงหน้ารถยนต์ไฟฟ้า แม้มีข้อบ่งชี้ว่าแนวโน้มมันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อครึ่งทศวรรษที่แล้ว

ในยุโรปช่วงปี 2018 มีการขายรถแฮทช์แบคขนาดเล็กราว 3.27 ล้านคัน ทั้งที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานไฟฟ้า แต่ในปี 2024 ยอดขายกลับอยู่ที่ 2.13 ล้านคันเท่านั้น

แซมมี ชาน ผู้จัดการฝ่ายคาดการณ์ยอดขาย กล่าวว่า “ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรถเอสยูวีนำเสนอทางเลือกโดยเสนอขนาดรถที่เล็กกว่า ซึ่งทำให้ยอดขายในยุโรปเพิ่มขึ้นเกือบเป็น 2.5 ล้านคันในปี 2014 จากเดิม 1.5 ล้านคันในปี 2018”

ส่วนประเทศจีนมียอดขายรถเอสยูวีเกือบ 11.6 ล้านคัน ในปี 2024 ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา อินเดีย และ เยอรมนี จากข้อมูลของโกลบอลดาตา

อะไรคือแรงผลักดันให้ยอดขายรถเอสยูวีเติบโต ?

ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้กล่าวว่า กำลังซื้อของผู้คนเริ่มดีขึ้นในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายแห่ง ทำให้รถเอสยูวีกลายเป็นตัวเลือกรถยนต์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น

“ผู้ผลิตตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และผู้ขับขี่สนใจยานพาหนะอเนกประสงค์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริง รวมถึงความสะดวกสบาย และมุมมองที่ดีขึ้นเมื่ออยู่บนท้องถนน” ไมค์ ฮาวส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้ายานยนต์ (SMMT) กล่าว

แต่นักวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ยังกล่าวด้วยว่า ผู้ผลิตสนใจอัตรากำไรที่สูงซึ่งได้จากการขายรถเอสยูวีด้วย เพราะมันหมายความว่าพวกเขาสามารถทำเงินจากรถเอสยูวีได้มากขึ้น แม้ว่าผลิตรถยนต์น้อยลงก็ตาม

“มันเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนความต้องการซื้อของลูกค้าผ่านการทำแคมเปญโฆษณาและการตลาดขนาดใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา” ดัดลีย์ เคอร์ทิส ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารของสภาความปลอดภัยด้านการขนส่งของยุโรป กล่าว

“รถเอสยูวีทำให้อุตสาหกรรมทำเงินมากขึ้นได้ง่าย ๆ แม้ว่ายานพาหนะรุ่นอื่น ๆ ก็มีสมรรถนะไม่ต่างกับรถชนิดนี้ และทำงานได้เหมือนกับรถเอสยูวี” เขากล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photography

ความนิยมรถไฟฟ้าแบบปลั๊กอินที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไม่เกิดขึ้นจริงตามการคาดการณ์

แล้วปัญหาของรถเอสยูวี คืออะไร ?

ตามข้อมูลของ IEA รถยนต์เอสยูวีเกือบ 95% บนท้องถนน ทั้งรถใหม่และรถมือสอง ยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

เนื่องจากยอดขายรถยนต์เอสยูวีเติบโตอย่างรวดเร็ว ทาง IEA จึงระบุว่า การบริโภคน้ำมันของรถยนต์ประเภทนี้เพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรลต่อวันทั่วโลก ในช่วงปี 2022-2023 ซึ่งคิดเป็นมากกว่า 1 ใน 4 ของความต้องการน้ำมันทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น

“หากจัดอันดับเทียบกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ พบว่ารถยนต์เอสยูวีทั่วโลกจะกลายเป็นผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากเป็นอันดับ 5 ของโลก แซงหน้าญี่ปุ่นและประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ รวมกัน” อโปสโทลอส เปโตรปูลอส ผู้สร้างแบบจำลองพลังงานของ IEA กล่าว

หน่วยงานดังกล่าวระบุด้วยว่า แม้เทียบกับรถยนต์ขนาดกลางที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลแล้ว รถเอสยูวีก็ยังใช้เชื้อเพลิงดังกล่าวมากกว่าถึง 20% เนื่องจากมีน้ำหนักมากกว่าโดยเฉลี่ยถึง 300 กิโลกรัม

ในความเป็นจริง การขนส่งทางถนนมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนมากกว่า 12% ของโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าทุกภาคส่วนจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนอย่างรวดเร็ว หากต้องการหลีกเลี่ยงหายนะด้านสภาพอากาศ

ทว่า ตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมกลับตอบโต้ว่าไม่ใช่รถเอสยูวีทั้งหมดที่วางจำหน่ายในปัจจุบัน จะทำให้เกิดการปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้น

ที่มาของภาพ : Reuters

มีการจัดลงคะแนนเสียงสำหรับผู้อยู่อาศัยในกรุงปารีสของฝรั่งเศสเมื่อปี 2024 เกี่ยวกับการขึ้นค่าที่จอดรถเอสยูวี เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเพิ่มความปลอดภัยให้กับคนเดินเท้า

“ราว 2 ใน 5 ของรถใหม่เหล่านี้มีการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ เนื่องจากตัวถังรถเหมาะกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและมีระยะวิ่งแบตเตอรีที่ไกลขึ้น ซึ่งช่วยคลายความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับการเข้าถึงการชาร์จไฟได้” ฮาวส์ กล่าว

“สิ่งนี้นำไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ยของรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นใหม่ที่ลดลงมากกว่าครึ่งนับตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งช่วยให้รถยนต์กลุ่มนี้เป็นผู้นำในการลดคาร์บอนของการเดินทางบนท้องถนนในสหราชอาณาจักร” เขากล่าว

ถึงกระนั้น แม้รถเอสยูวีส่วนใหญ่จะใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก แต่เจ้าหน้าที่ของ IEA กล่าวว่าราว 20% ของรถเอสยูวีที่ขายได้ในปี 2023 เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2% ในปี 2018

สำหรับรถยนต์ไฮบริดซึ่งวิ่งได้ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า การศึกษาในยุโรปซึ่งทำโดยสภาระหว่างประเทศว่าด้วยการขนส่งสะอาดเมื่อปี 2022 พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน (ทุกประเภทรวมถึงรถเอสยูวี) สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้เพียงประมาณ 30% ของระยะทางทั้งหมดที่ขับเคลื่อนเท่านั้น

ผลลัพท์ที่คล้ายคลึงกันยังพบในประเทศเขตเศรษฐกิจหลักอื่น ๆ เช่น สหรัฐฯ และ จีน

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่านอกเหนือจากการปล่อยมลพิษแล้ว รถเอสยูวียังทิ้งรอยเท้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายด้านอื่น ๆ ด้วย

นอกจากการใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถยนต์เอสยูวี ทางผู้เชี่ยวชาญยังบอกด้วยว่ามันต้องใช้แบตเตอรีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อจ่ายไฟให้กับรุ่นที่เป็นรถไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้ความต้องการแร่ธาตุสำคัญ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างแรงกดดันให้กับโลกมากขึ้น

ที่มาของภาพ : Reuters

ผู้ประท้วงด้านสภาพอากาศถือป้ายถนนในกรุงอาบูจา ประเทศไนจีเรีย ซึ่งเกิดการประท้วงต่อต้านเชื้อเพลิงฟอสซิลเมื่อเดือน ก.ย. 2023

ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวว่าการถอยหลังไปสู่รถเอสยูวีทำให้เกิดความถดถอยอย่างมากในการลดคาร์บอนจากภาคขนส่ง

“แนวโน้มของยานพาหนะที่มีน้ำหนักมากขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยกว่า เช่น รถเอสยูวี (ในประเทศที่กำลังดำเนินไปในทิศทางนี้) ได้ลบล้างการปรับปรุงการใช้พลังงานและการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอื่น ๆ ทั่วโลกให้เปลี่ยนทิศทางไป”

คณะกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของรัฐสภาสหราชอาณาจักรก็มีการค้นพบที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งปรากฏในรายงานเกี่ยวกับการลดคาร์บอนในประเทศเมื่อปี 2024 ด้วย