ภาพปก: กิตติยา อรอินทร์
สัมภาษณ์/เรียบเรียง: ณัฐพล เมฆโสภณ
เมื่อปี 2566 ได้มีจุดเปลี่ยนสำคัญของสถานการณ์ในพม่า จากยุทธการ 1027 นำโดยกลุ่มกองกำลังพันธมิตร 3 พี่น้อง (Three Brotherhood Alliance – 3BHA) ประกอบด้วย กองกำลังโกก้าง MNDAA กองกำลังตะอางหรือปะหล่อง TNLA และกองกำลังอาระกัน AA จนสามารถยึดกุมเมืองเศรษฐกิจชายแดนรัฐฉานเหนือสำคัญเอาไว้ได้ ขณะที่กองกำลังอาระกัน AA ยังคงขยายอิทธิพลออกไปยังภูมิภาครัฐยะไข่ ฝั่งตะวันตกของประเทXพม่าในปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ฝ่ายต่อต้านที่นำโดยรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (PDF) ออกมารายงานความคืบหน้าทางการทหารเมื่อปี 2567 อ้างว่าขณะนี้ฝ่ายตนเองสามารถควบคุมพื้นที่ได้ 177 อำเภอจาก 330 อำเภอทั่วประเทศแล้ว หรือมากกว่า 1 ใน 3 ขณะที่ฝ่ายกองทัพพม่า สามารถคุมพื้นที่ได้เต็มที่แค่ 107 เขตอำเภอเท่านั้น
สัญญาณแห่งความถอยของอิทธิพลกองทัพพม่า นำมาสู่คำถามสำคัญว่ากองทัพพม่าจะยังสามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2568 ตามแผนที่วางไว้ได้หรือไม่ และอะไรอยู่เบื้องหลังการพยายามจัดการเลือกตั้งของกองทัพพม่า หรือคำถามที่ว่าทำไมจีนถึงเปลี่ยนจุดยืนทางการทูตกลับมาสนับสนุนกองทัพพม่าอีกครั้ง
ประชาไทหอบหิ้วเอาคำถามเหล่านี้ไปคุยกับ อาจารย์ลลิตา หาญวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมืองพม่า จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำให้พบคำตอบว่า เรื่องการเลือกตั้งครั้งนี้ ยังไม่แน่ชัดว่ากองทัพพม่าจะสามารถจัดเลือกตั้งไหวหรือไม่ หรือจะต้องเลื่อนไปปีถัดไป
นอกจากนี้ ลลิxายังได้เสนอให้รัฐบาลมีปรับกระบวนทัศน์ทางการทูตต่อพม่า ในฐานะบทบาทตัวกลางเจรจาหยุดxิง และตีความ ‘รัฐกันชน’ แบบใหม่ เพื่อลดกระทบจากสงครามกลางเมืองในมิติต่างๆ
เลือกตั้งพม่าส่อเค้าเลื่อน ‘ทางลง' ที่ดีที่สุดของกองทัพ
เริ่มจากคำถามแรก คือ กองทัพพม่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ (2568) สำเร็จหรือไม่ ลลิตา กล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปที่กองทัพพม่าอยากจะจัดในปีนี้ ข่าวล่าสุดบอกว่าอาจจะเลื่อนออกไปในปี 2569
“รัฐบาลทหารเขารัฐประหารมายึดอำนาจจากรัฐบาล NLD มา มันก็อาจจะฟังดูแปลกๆ ว่าทำไมเขาอยากผลักดันให้มีการเลือกตั้ง แต่เหตุผลง่ายๆ ที่พม่าต้องมีเลือกตั้ง ในมุมมองของกองทัพ มันจะเป็นทางลงทางการเมือง เป็นเหตุผลที่ดีที่จะนำไปสู่การ ‘เจรจาหยุดxิงทั่วประเทศต่อไป’ (National Ceasefire Agreement – NCA) ที่อาจจะมี” ลลิตา กล่าว
ลลิตา หาญวงษ์
ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า ให้มุมมองว่า แม้ว่ากองทัพพม่าจะคาดหวังให้มีการทำข้อตกลงหยุดxิงทั่วประเทศก็ตาม แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ง่าย และสร้างสันติภาพที่แท้จริงไม่ได้ เพราะว่าขัดแย้งแค่นิดเดียวก็กลับมารบใหม่แล้ว
อีกปัจจัยหนึ่ง บริบทการเมืองพม่าเต็มไปด้วยกองกำลังชาติพันธุ์จำนวนมาก อาจจะมากกว่า 10 กลุ่มที่ยังปฏิบัติการอยู่ แต่ละกลุ่มก็มีข้อเรียกร้องและจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน มีขนาดและความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน ดูอย่างกองกำลังปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) มีทั้งหมด 7 กองพลน้อย ซึ่งแต่ละกองพลก็เคลื่อนไหวและมีจุดหมายไม่เหมือนกัน กองทัพไทใหญ่ก็แบ่งเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายกองทัพรัฐฉานเหนือ (SSPP/SSA) และกองทัพรัฐฉานใต้ (RCSS/SSA) ดังนั้น เราเลยไม่เห็นภาพว่าข้อตกลงหยุดxิงทั่วประเทศที่จะรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือรวมคู่ขัดแย้งทุกฝ่าย มันแทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย
ดังนั้น กองทัพพม่าเขาจึงคิดว่าทางลงที่ดีของสภาบริหารแห่งรัฐ (Sing Administration Council – SAC) แล้วให้มีรัฐบาลกึ่งทหารกึ่งพลเรือนเข้ามาแทน แต่ยังต้องย้ำว่า กองทัพพม่ายังไงก็ต้องมีบทบาททางการเมือง ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญพม่า ค.ศ. 2008 (พ.ศ. 2551) ที่กำหนดให้ผู้แทน 1 ใน 4 ของสภามาจากกองทัพ หรือให้พรรคนอมินีของกองทัพพม่า อย่างพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ออกไป กองทัพพม่าจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด เพราะกองทัพพม่าเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าเขาคือผู้พิทักษ์ไม่ให้ประเทศเมียนมาแตกสลาย ยังไงก็ต้องมีทหารอยู่ในการเมือง
ทำไมจีนต้องสนับสนุนการเลือกตั้งพม่า
ต่อคำถามว่า ทำไมจีนถึงเปลี่ยนนโยบายกลับมาสนับสนุนการเลือกตั้งทั่วไปพม่า ลลิตาให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งมาจากจีนมองว่า พม่ามีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ชายแดน เนื่องจากมีโครงการ “One Belt One Road Initiative (BRI) หรือเส้นทางสายไหม ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมจากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน วิ่งลงมาที่รัฐฉานเหนือ ผ่านภูมิภาคมัณฑะเลย์ ตอนกลางของพม่า และสิ้นสุดที่ท่าเรือน้ำลึก ‘เจาก์ผิ่ว (Kyaukphyu) ในรัฐอาระกัน ทางตะวันตกของประเทXพม่า เพื่อที่จีนจะใช้เป็นทางออกทะเลให้กับมณฑลยูนนาน ทางใต้ของจีน นอกจากนี้ พื้นที่ดังกล่าวยังมีท่อส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันของจีนส่งต่อไปที่คุนหมิงอีกด้วย ดังนั้น ความมั่นคงทางพลังงานของจีนทางตอนใต้ เส้นทางการค้าทางทะเล มันจะอยู่ที่รัฐอาระกันทั้งหมด
ภาพเส้นทางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และท่อส่งน้ำมัน จากตะวันตกของพม่าวิ่งผ่านไปยังเมืองคุนหมิง ประเทศจีน (ที่มา: เว็บไซต์ Earth Rights World)
ลลิตา อธิบายต่อว่า หลังรัฐประหารพม่า และสงครามกลางเมือง ทำให้จีนรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะควบคุมเกมนี้ไม่ได้ รัฐบาลปักกิ่งเลยเลือกไปสนับสนุนกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์บางกลุ่ม ซึ่งเราอาจจะเคยได้ยินปฏิบัติการ 1027 นำโดย ‘กลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง’ จีนให้กองกำลังเหล่านี้ช่วยกันดูแลผลประโยชน์ของจีน ตั้งแต่รัฐฉานเหนือ ลงมาที่ท่าเรือน้ำลึกเจาก์ผิ่ว รัฐอาระกัน แต่ท้ายที่สุดจีนก็พบว่าวิธีนี้ไม่สมบูรณ์แบบ และวิธีการที่เขาจะรักษาผลประโยชน์ของจีนได้ คือการกลับไปคุยกับรัฐบาลทหารพม่า
“กองกำลังชนกลุ่มน้อยไม่ได้มีเอกภาพ และการตัดสินใจว่าจะช่วยรักษาโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจจีนในพม่า จีนเขาประเมินแล้วว่าถ้าปล่อยให้ชนกลุ่มน้อยทำ เขาก็ไม่ได้รับประโยชน์ 100% แต่ถ้าเป็น ‘ตัวกลาง’ ให้ชนกลุ่มน้อยมาคุยกับ SAC สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับจีนคือมีความสงบเกิดขึ้นในพื้นที่ เพราะถ้ามันมี Airstrike (การโจมตีทางอากาศ) แล้วมันไปเข้าใกล้ Pipeline (ท่อส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน) ของจีน คือแค่โจมตีแค่ครั้งเดียว ท่อส่งก๊าซก็เป็นอัมพาตไปจนถึงคุนหมิง เมื่อจีนเขารู้สึกว่าเขาเปราะบาง การสนับสนุนกองกำลังชาติพันธุ์ไม่ได้ผล SAC ยังทำสงคราม ยังโจมตีทางอากาศมากขึ้น จีนก็ต้องหันไปหามินอ่องหล่าย ให้ช่วยกันการรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่ 3 คือการให้ทุกฝ่ายมาเจรจากัน ไม่มีสงครามในพื้นที่ตรงนั้น คือสิ่งที่ดีที่สุด ดีกว่ายุให้คนนี้ตีกับคนนี้” ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า กล่าว
กองทัพพม่าอ่อนแอ แต่ไม่พ่ายแพ้ในเร็ววัน
กองทัพพม่ามีทัศนคติที่ยึดมั่นอย่างมาก นอกจากการป้องกันไม่ให้ประเทศเมียนมาแตกสลาย คือการป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก เช่น ประเทศโลกตะวันตก สหรัฐฯ จีน และอื่นๆ ชนิดที่ว่าใครจะมาสั่งก็ไม่ได้
ถ้าอย่างนี้การเพิ่มขึ้นทางด้านอิทธิพลของรัฐบาลปักกิ่งเหนือดินแดนลุ่มน้ำอิระวดี ถือเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนความอ่อนแอของกองทัพพม่าได้หรือไม่ อาจารย์ลลิตาประเมินว่า กองทัพพม่าอ่อนแอลงจริง ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนผ่านมาตรการบังคับการเกณฑ์ทหารอย่างเร่งด่วนในช่วงที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มกำลังพลรับมือกับสงคราม แต่ถ้าถามว่าจะล่มสลายเร็วๆ นี้ไหม คำตอบคือ ไม่
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองพม่า มองว่า ปัจจัยแรกคือ SAC ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีกว่ากองกำลังชาติพันธุ์โดยเฉพาะหมัดเด็ดคือ ‘การโจมตีทางอากาศ’ โดยเขาจะใช้เครื่องบินทิ้งsะเบิดใส่แบบไม่เลือกเป้าหมาย อย่างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือตลาด ก่อนหน้านี้เขาเคยทิ้งsะเบิดใส่โบสถ์ทำให้คนเสียชีวิตนับร้อยคน หรือล่าสุดใช้เครื่องบินทิ้งsะเบิดใส่ตลาดในรัฐยะไข่ ก็เพื่อข่มขู่กองกำลังอาระกัน AA ที่กำลังเข้มแข็งขึ้น ดังนั้น ถ้าตราบใดที่กองกำลังชาติพันธุ์ยังรับมือตรงนี้ไม่ได้ เหยื่อก็คือประชาชน
“ตราบใดก็ตามที่ SAC ยังมีอาวุธเข้ามาเติมเรื่อยๆ คงมีไม้xายเป็นการโจมตีทางอากาศ โอกาสที่สงครามมันจะจบ กองกำลังชาติพันธุ์จะไปโชว์สัญลักษณ์ victory (ชัยชนะ) หรือว่าไปปักธงว่าฉันชนะ SAC โอกาสมันเป็นไปได้ยาก” ลลิตากล่าว
อีกปัจจัยที่ทำให้ฝ่ายต่อต้านยังไม่สามารถโค่นรัฐบาลทหารพม่าได้อย่างเบ็ดเสร็จ คือ การขาดความเป็นเอกภาพ หรือต่อให้กองกำลังชาติพันธุ์รวมตัวกันได้ อย่างก่อนหน้านี้เคยมีกลุ่ม K3C ซึ่งเป็นการจับมือกันระหว่างสหภาพกะเหรี่ยงแห่งชาติ (KNU) กองกำลังปลดแอกกะฉิ่น (KIA) พรรคกะเรนนีก้าวหน้าแห่งชาติ (KNPP) และแนวร่วมแห่งชาติชิน (Chin National Entrance) ต้องการร่วมกันโจมตี SAC เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เพราะกองทัพพม่ายังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่าในทุกๆ ทาง และกองกำลังชาติพันธุ์ยังขาดการสนับสนุนจากภายนอก แน่นอนว่ามันมีอาวุธที่เข้ามาจากชายแดนทุกทาง แต่ก็ไม่พอให้สามารถเอาชนะกองทัพพม่าได้
เงื่อนไขที่ไม่ลงตัว สันติภาพที่ไกลออกไป
ฉากทัศน์ในปี 2568 นี้ ลลิตาประเมินว่า สันติภาพในพม่าจะเข้าใกล้เฉพาะกองกำลังชาติพันธุ์บางกลุ่มเท่านั้นด้วยการเจรจาสันติภาพ กองกำลังชาติพันธุ์อาจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่พอจะคุยได้บ้าง อย่างกองกำลังโกก้าง MNDAA และกองกำลังตะอาง TNLA ที่เคยเจรจาหยุดxิงกับพม่าโดยมีจีนเป็นตัวกลาง (โบรกเกอร์) กลุ่มนี้คุยง่ายกว่า
ส่วนกลุ่มที่เจรจายาก คือกลุ่มที่ปฏิบัติการหลังพิงชายแดนไทย อย่างกองกำลัง KNU บางกองพลน้อย หรือ KNPP ของรัฐกะเรนนี เพราะว่ากลุ่มนี้มีความขัดแย้งกันมา 80 ปีนับตั้งแต่พม่าได้เอกราช อยู่ดีๆ โยนกระดาษมาให้เขาเซ็นมันก็ยาก หรือบางกลุ่มอย่างกองกำลัง AA รัฐอาระกัน กลุ่มนี้มีข้อเรียกร้องต้องการระบอบสหพันธรัฐ และมีอำนาจปกครองตนเอง ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กองทัพพม่าไม่ยอมรับเด็ดขาด
ส่วนโจทย์ที่ยากที่สุดคือฝ่ายต่อต้านอย่างรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (Other folks's Defense Pressure – PDF) ที่พร้อมจะสู้จนกว่าจะพิชิตกองทัพพม่า
(ซ้าย) ดูหว่า ละชิละ รักษาการประธานาธิบดี รัฐบาล NUG ปรากฏตัวเมื่อ 30 พ.ค. 2565 (เผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊ก National Solidarity Authorities of Myanmar)
“จากประสบการณ์ที่เคยคุยกับคนเหล่านี้ (ผู้สื่อข่าว – คนจากทางฝั่ง NUG และ PDF) มา เขาไม่ยอมเจรจากับ SAC เลย อาจจะมีเงื่อนไขบ้าง เงื่อนไขแรก SAC ต้องยอมวางอาวุธ แต่เราเห็น SAC ยอมวางอาวุธหรือไม่เอาเครื่องบินไปถล่มหมู่บ้านไหม ตรงนี้เราไม่เห็นจาก SAC และอีกเงื่อนไขคือฝ่ายต่อต้านให้ความสำคัญกับความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่าน ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นอาชญากรสงคราม หรือคนที่มีส่วนร่วมกับการโจมตีหมู่บ้าน ทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิต ก็ต้องรับโทษ เอาตัวขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศในฐานะอาชญากรสงคราม เราเห็น SAC รับเรื่องพวกนี้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ …พวกเขามองไปถึงชัยชนะเหนือ SAC หรือกองทัพพม่าอย่างเบ็ดเสร็จ ตราบใดก็ตามที่เขายังไม่มีชัยชนะเหนือ SAC ได้ สงครามจะเป็นแบบนี้ต่อไป” ลลิตา กล่าว
เมื่อทุกคนมีผลประโยชน์ส่วนตัว ทุกคนมีข้อเสนอของตัวเอง ทุกคนมีข้อจำกัดว่า รับได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้ามากไปกว่านี้ฉันจะไม่รับ ดังนั้น การทำข้อตกลงหยุดxิง ทั้งในระดับชาติ ภูมิภาค หรือในระดับเขตพื้นที่อำเภอ จำเป็นต้องมี ‘คนกลาง’ การเจรจา และต้องเป็นคนต่างชาติ
ถึงเวลาที่ไทยต้องคิดถึงการเป็น ‘ตัวกลาง' หรือยัง
ย้อนไปเมื่อปี 2558 สมัยรัฐบาลพลเรือนนำโดยพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) สามารถเจรจาหยุดxิงทั่วประเทศ หรือข้อตกลงปางหลวง ศตวรรษที่ 21 ส่วนหนึ่งมาจากการที่อองซานซูจี นั่งเก้าอี้เป็นคนกลาง แต่ในปัจจุบันบริบทและเงื่อนไขเปลี่ยนไป อองซานซูจีตอนนี้ก็ถูกกองทัพพม่ากักบริเวณภายในบ้านพัก ตำแหน่ง ‘คนกลาง’ เกิดภาวะสุญญากาศขึ้นมา
อาจารย์จาก ม.เกษตร ให้ความเห็นว่า ถ้าเราให้คนพม่าเป็นคนกลาง เรื่องนี้จะไม่มีวันจบสิ้น เพราะจะมีข้อครหาว่าทำไมคนพม่าต้องเป็นกรรมการ คนพม่าได้ประโยชน์ พอกะเหรี่ยงมาเป็นกรรมการ ก็จะมีการตั้งคำถามว่าทำไมต้องเป็นคนกะเหรี่ยง ทำไมไม่ใช่คนกะเรนนี หรือคนยะไข่ ที่สูญเสียหนักสุดตอนนี้ ดังนั้น คนต่างชาติจึงเหมาะสมที่สุดในกรณีนี้ ซึ่งลลิตาเสนอว่า ไทยควรเป็น ‘ผู้นำบทบาทตัวกลางเจรจา’ ในพม่า
ลลิตาเสนอเช่นนี้ เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมือง และปัญหาชายแดนโดยเฉพาะปัญหาสแกมเซ็นเตอร์และการอพยพเข้ามาของชาวพม่า ประกอบกับ บุคลากรของไทยมีความพร้อมและศักยภาพอย่างมากที่จะทำงานในฐานะตัวกลาง
“เรากล้าพูดได้เลยทรัพยากรบุคคลของไทยในการเป็นตัวกลางในการเจรจาได้ เรามีคนเก่งๆ เรามีคนที่เข้าใจบทบาทชายแดน เรามีคนที่เข้าใจชาติพันธุ์อย่างถ่องแท้เยอะ รัฐบาลจะดึงคนที่มีศักยภาพเหล่านี้อย่างไร นั่นคือโจทย์ใหญ่ที่สุดของรัฐบาล” ลลิตา ระบุ
ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า มองว่า โจทย์ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ไทยต้องนำคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายมาคุยกันให้ได้เท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ทัศนคติของรัฐไทยเองที่มองว่าการแก้ไขปัญหาใดๆ ในเมียนมาจะต้องเป็น ‘กระบวนการที่คนเมียนมาเป็นผู้นำ และเป็นเจ้าของกระบวนการเหล่านี้’ หรือที่เรียกว่า ‘Myanmar led, Myanmar possess’ แนวความคิดที่เป็นมรดกตกทอดมาจากสมัยเริ่มมีองค์กรอาเซียนเรื่องนี้ควรจะเปลี่ยนไปได้แล้ว
“ส่วนตัวมองว่าเราท่องคำศัพท์นี้มานานเกินไป”
“เราลองนึกดูว่าถ้าเราเข้าไปเป็นตัวกลางในการเจรจา เราสามารถช่วยชีวิตประชาชน ทำให้สถานการณ์ชายแดนของไทย-เมียนมามันดีขึ้น เราสามารถป้องกันไม่ให้คลื่นมนุษย์กี่หมื่นกี่แสนคนเข้ามาในฝั่งประเทศไทย คุณจะต้องออกจาก mindset (ทัศนคติ) ตรงนี้ก่อน ถ้าคุณปล่อยให้กระบวนการนี้ทำโดยคนภายในพม่า มันจะไม่มีวันจบ แล้วไทยเราจะกลายมาเป็นผู้รับกรรม หรือผู้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบจากสงครามกลางเมือง” ลลิตา กล่าว
ลลิตามองว่า การเป็นตัวกลางอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการเจรจาข้อตกลงหยุดxิงทั่วประเทศ เพราะว่ายากที่จะให้คู่ขัดแย้งมาร่วมโต๊ะเดียวกัน แต่เป็นไปได้ไหมที่อย่างน้อย พื้นที่ชายแดนปฏิบัติการทิ้งsะเบิดทางอากาศจะต้องหยุด ความรุนแรงที่มีต่อประชาชนจะต้องหยุด และไทยก็ต้องหันไปคุยกับกองกำลังชาติพันธุ์กับฝ่ายต่อต้านว่าการรบทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ไทยได้รับผลกระทบ หรือผ่านระบบกลไกอาเซียนก็ได้
“เราแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพราะว่าเราอยากจะเป็นฮีโร่ หรือไม่ใช่เพราะว่าเราหิวแสง แต่เราอยากจะแก้ไขปัญหาภายในของเรา เราอยากจะแก้ปัญหาข้ามแดนต่างๆ เช่น ปัญหาสแกมเซ็นเตอร์ด้วย” อาจารย์ ม.เกษตรกล่าว
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำ SAC ระหว่างการประชุม Greater Mekong Subregion and the Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Co-operation Approach หรือ ACMECS ที่เมืองคุนหมิง ประเทศจีน (ที่มา: Tachilek Recordsdata Agency)
สร้างแนวคิด ‘รัฐกันชน’ ใหม่
ลลิตาเสนอต่อว่า นอกจากบทบาทตัวกลางการเจรจาที่ไทยสามารถทำได้แล้ว ไทยต้องพิจารณาการทูต 2 ระดับ คือ กลไกในระดับรัฐต่อรัฐ และกลไกระดับประชาชนต่อประชาชนตามแนวชายแดน
ลลิตาเสนอว่า รัฐไทยต้องตีความ ‘รัฐกันชน’ (Buffer Sing) ใหม่ ซึ่งไม่ใช่ในมุมมองด้านความมั่นคงหรือการทหาร เพราะว่ามันหมดยุคที่เราจะมองรัฐนู้นรัฐนี้เป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้ว แต่เราจะทำยังไงที่จะไปพัฒนาพื้นที่ชายแดนฝั่งพม่าให้ดีขึ้น เพื่อที่เมื่อมีปัญหาแล้ว เขาจะไม่ต้องอพยพเข้ามาฝั่งไทย หรือไทยจะพัฒนาระบบสาธารณสุขในพื้นที่เพื่อนบ้านอย่างไร เพื่อไม่ให้โรงพยาบาลอุ้มผางหรือโรงพยาบาลแม่สอดต้องรับภาระ เวลาเราพูดเราไม่ได้หมายถึงว่าเราจะต้องปกป้องสิทธิคนจากเมียนมา 100% แต่เราพูดถึงว่าเราจะป้องกันรัฐไทยไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้
“รัฐกันชนมันจะต้องถูกตีความใหม่ เพื่อให้สอดรับกับบริบทในปัจจุบันว่า เราอยากจะเห็นรัฐเพื่อนบ้านของเราดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐพม่า อาจจะเป็นกะเหรี่ยง อาจจะเป็นกะเรนนี อาจจะเป็นฉานใต้ หรือว้า หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ติดกับเรา เราจะไปทำยังไงและเราจะมีแผนในเชิงบูรณาการอย่างไร เพื่อทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นในฝั่งนู้นไม่เป็นภาระกับรัฐไทยมากจนเกินไป เราต้องกลับมาคิดกันอย่างจริงจัง มิเช่นนั้นถ้าเราไม่มีแผนบูรณาการกันระหว่างกระทรวงต่างๆ หรือหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ก็จะกลับมาเรื่องเดิมคือเราจะรับมือกับภัยคุกคามอย่างไร” ลลิตา กล่าว
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐก็ยังต้องคงไว้ อาจารย์ ม.เกษตร มองว่า คนไทยบางส่วนมักมีแนวคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องคุยกับ ‘มินอ่องหล่าย’ แต่ในความเป็นจริงมันยังมีกลไกรัฐต่อรัฐที่ต้องคุยกัน ยกตัวอย่างกรณีการเปิด-ปิดด่านชายแดน การเจรจาให้ปล่อยตัวลูกเรือประมงไทยที่ถูกทางการพม่าควบคุมตัว เมื่อเกิดกรณีแบบนี้ขึ้น ยังไงกลไกระดับรัฐต่อรัฐมันก็ต้องกลับมา แต่มันก็มีมิติที่เราต้องคุยกับกองกำลังชาติพันธุ์ตามชายแดน เช่น กรณีที่ค่ายทหารกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) รุกล้ำเขตแดนไทย ถ้ารัฐบาลไทยเรียกร้องไปทางรัฐบาลเนปิดอ เขาก็ไม่มาจัดการให้ เพราะทหารพม่าเองก็ไม่อยากมีปัญหากับ UWSA
ผู้กำหนดนโยบายต้องชัดเจน ลงพื้นที่จริง
ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่ามีมุมมองว่า นโยบายชายแดนของรัฐบาลไทยต้องมีความชัดเจน ชัดเจนว่าปัญหาคืออะไร เราต้องการหรืออยากเห็นอะไร เช่น มาตรการปิดกั้น (seal) ชายแดน เพราะว่าเราต้องการป้องกันคนลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือเปล่า แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายดาย เพราะว่าเราไม่ได้มีกำแพงกั้น มีแต่ชายแดนธรรมชาติ เราจะเอาทหารมาเดิน 2,400 กว่ากิโลเมตรก็ไม่ไหว มันก็ต้องมาพูดถึงเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับแค่หน่วยงานหรือองค์กรเดียว มันเกี่ยวกับหลายฝ่าย หรือคุณจะไปพัฒนาสถานีอนามัยเพื่อไม่ให้มีคนข้ามมาคลอดฝั่งเรา มันมีนโยบายหลากหลายที่จะทำ สำคัญที่สุดคือนโยบายจากส่วนกลางต้องมีแผนปฏิบัติงานและมีโครงสร้างการทำงานที่ชัดเจน และแผนตรงนี้ต้องมาจากการลงพื้นที่ดูสถานการณ์จริงในชายแดน
“ส่วนตัวเราไม่อยากให้นโยบายมันออกมาจากการนั่งโต๊ะในกรุงเทพฯ ถามกันทางไลน์ว่าสถานการณ์มันเป็นยังไง แต่การเรียกทุกฝ่ายมานั่งคุยกันโดยไม่มีสิ่งที่เรียกว่าผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชามันเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาเองได้รับรู้ข้อเท็จจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างตามแนวชายแดน แต่หลายครั้งแม้ผู้บังคับบัญชาเข้าไปสัมผัสในพื้นที่ แต่ไม่ได้เห็นสถานการณ์จริง” ลลิตากล่าว
คนเดียวทำไม่ไหว ต้องบูรณาการการทำงาน
ท้ายที่สุด ลลิตามองว่าการแก้ไขปัญหาในพม่าไม่มีหน่วยงานไหนทำงานคนเดียวได้ ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกัน
“กระทรวงการต่างประเทศไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง สมช.ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เขาอาจจะมีหน่วยงานออกนโยบาย แต่เขาไม่มีกองกำลังของตัวเอง ท้ายที่สุดแล้วหน่วยงานความมั่นคงทุกแห่ง ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องจะต้องมานั่งคุยกัน ทำให้ทุกอย่างเป็นหน้ากระดาษเปล่าก่อนว่าปัญหาคืออะไร และสิ่งที่เราอยากจะเห็นคืออะไร แต่ละกระทรวงทำอะไรได้บ้าง คุณระดมทุกทรัพยากรที่คุณมี คนที่เก่งๆ คนที่ไม่มีผลประโยชน์ส่วนบุคคล คนที่ต้องการจะเห็นสงครามตรงนี้มันจบ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เอามารวมกัน แล้วนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าตำรวจทำอย่างหนึ่ง ทหารทำอย่างหนึ่ง กระทรวงการต่างประเทศทำอีกแบบหนึ่ง” ลลิตา กล่าว
ต่อประเด็นทิ้งท้ายว่ากรณีของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของ อันวาร์ อิบบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียและเป็นประธานอาเซียนคนปัจจุบัน จะทำให้ปัญหาวิกฤตการเมืองในพม่าดีขึ้นหรือไม่
เรื่องนี้ลลิตา ให้ความเห็นว่า เธอก็ยังตอบไม่ได้ เพราะว่าไม่รู้ว่าอดีตนายกฯ จะทำอะไรบ้าง แต่ถ้าลองสังเกตการณ์จากสถานการณ์พรรคร่วมรัฐบาลที่เกิดขึ้น เวลาจะทำอะไร อีกฝ่ายก็จะมีการคัดง้างกันตลอด ซึ่งส่วนตัวเธอไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องทางการเมือง แต่อยากให้เป็นวาระของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาจริงๆ เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ได้อาศัยเฉพาะฝ่ายการเมือง แต่ยังมีฝ่ายราชการอีกหลายฝ่ายที่ต้องร่วมทำงานกัน
(ขวา) อันวาร์ อิบบราฮิม นายกรัฐมนตรี มาเลเซีย พบ (ซ้าย) ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน เมื่อ 3 ก.พ. 2568 (ที่มา: เพจเฟซบุ๊ก Direct TV)
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )