
เหตุตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นเป็นระยะ กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เป็นเพียงเสือกระดาษหรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
Article Knowledge
-
- Author, วศินี พบูประภาพ
- Impartial, ผู้สื่อข่าว.
เหตุการณ์เผชิญหน้าระหว่างมวลชนผู้ประท้วงชาวกัมพูชาที่ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยผลักดันออกจากเขตแดนไทยด้วยแก๊สน้ำตาและกระสุนยางบริเวณพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 ก.ย. ที่ผ่านมา เกิดขึ้นหลังจากไทยนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Intervening time Observer Groups – IOT) เดินทางมาสังเกตการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวและมีการเจรจาขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในที่ตั้ง
คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวชุดที่เยือนบ้านหนองหญ้าแก้วนี้ถูกตั้งขึ้นโดยผลจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ (GBC) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา
แม้จะมีเป้าหมายเพื่อตรวจสอบความขัดแย้ง อย่างไรก็ดี คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ในประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์การปะทะที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุด อ้างอิงจากการแถลงของพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ซึ่งแถลงช่วงค่ำวันเดียวกันระบุว่าภายหลังคณะคณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) เดินทางออกจากพื้นที่แล้ว จึงได้พบว่าประชาชนกัมพูชาได้กลับมารื้อลวดหนามและทำร้ายเจ้าหน้าที่ไทย จนเกิดการปะทะกันในช่วงเย็น
ทางด้านความเคลื่อนไหวของกัมพูชา หลังสถานการณ์คลี่คลายลง สำนักข่าวเฟรชนิวส์อินเตอร์เนชันแนลของกัมพูชา (Unique News Worldwide) รายงานเมื่อเวลา 20.46 น. ระบุว่าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ที่ประจำอยู่ ณ กัมพูชา ซึ่งสื่อมวลชนกัมพูชาเรียกว่า ASEAN Intervening time Observers ได้ลงพื้นที่ในบริเวณดังกล่าวเช่นกันหลังเกิดเหตุการณ์ปะทะโดยไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติม
แม้การเผชิญหน้าที่บ้านหนองหญ้าแก้วเมื่อวันพุธ จะไม่ใช่การเผชิญหน้าทางการทหาร แต่ก็ได้จุดกระแสการถกเถียงในกลุ่มประชาชนชาวไทยและกัมพูชาอีกครั้งว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายเริ่มจุดชนวนความรุนแรงก่อน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
ขณะเดียวกันแม้คณะคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ของทั้งสองประเทศจะอยู่ในพื้นที่ในเวลาใกล้เคียงที่สถานที่เกิดเหตุ ทว่ายังไม่มีการชี้ขาดข้อเท็จจริงเปิดเผยต่อสาธารณะจนถึงทุกวันนี้
.สำรวจบทบาทของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และโอกาสที่กลไกนี้จะมีบทบาทในการยุติข้อพิพาทชายแดนอย่างยั่งยืน ผ่านทัศนะจากผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามประเด็นปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ : Royal Thai Military
ผู้เชี่ยวชาญชี้การทำงานของคณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) มีข้อจำกัด
คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) จัดตั้งขึ้นตามข้อตกลงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ (GBC) ที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 7 ส.ค.
ข้อตกลงในครั้งนั้นมีผลผูกพันให้ไทยและกัมพูชาต้องเปิดให้คณะซึ่งประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียนประจำประเทศของตนเข้าไปสังเกตการณ์ในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ โดยคณะดังกล่าวจะมีผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของมาเลเซียที่ประจำอยู่ในประเทศไทยและกัมพูชานำคณะ
ที่ผ่านมาคณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) ลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทยและกัมพูชามาแล้วหลายครั้ง แต่ในทางสาธารณะ บทบาทของกลไกที่จัดตั้งมาแล้วกว่าหนึ่งเดือนนี้ยังไม่ปรากฏให้เห็นมากนัก

ที่มาของภาพ : Reuters
เกี่ยวกับข้อสังเกตประเด็นนี้ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักวิชาการอิสระซึ่งเชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา เปิดเผยกับ.ว่า คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ที่ใช้ในการประสานงานระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นชายแดน เป็นเพียง “ทีมชั่วคราว” ที่ไม่มีอำนาจหน้าที่ชัดเจนและกลไกนี้ไม่มี “mandate” หรืออำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนในการดำเนินงานตามที่กำหนดไว้จากการประชุมโดยเฉพาะในแง่ของกระบวนการตรวจสอบและติดตามผล
ข้อกังวลของสุภลักษณ์สะท้อนผ่านการปฏิบัติงานของคณะทำงานของ IOT ในพื้นที่ขนาบชายแดนสองฝั่งระยะที่ผ่านมาก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งมีการลงพื้นที่หลายครั้ง รวมถึงการลงพื้นที่ในวันที่ 18-20 ส.ค. 68 และ 2 ก.ย. 68 กระนั้นยังไม่ได้มีข้อสรุปใดเปิดเผยแก่สาธารณะจนถึงปัจจุบัน
ครั้งหนึ่งระหว่างที่คณะ IOT ลงพื้นที่ วันที่ 20 ส.ค. 2568 ณ พื้นที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ คำกล่าวของ พล.ต. ซัมซุล ริซัล บิน มูซา (Brigadier Customary Samsul Rizal bin Musa) ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียในฐานะหัวหน้าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวในประเทศไทยซึ่งถูกแปลโดยเจ้าหน้าที่ทหารไทย ระบุว่า “เราไม่ได้มาเพื่อระบุว่าใครถูกหรือผิด เรามาเพื่อตรวจสอบเพียงแค่นั้น”
ขณะเดียวกัน กัมพูชาได้พาคณะทำงาน IOT ที่ประจำของตนลงพื้นที่หลายครั้งเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงจากมุมมองตน หนึ่งในนั้นคือการลงพื้นที่เขาพระวิหารในวันที่ 20 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งสื่อกัมพูชาขแมร์ไทม์ (Khmer Conditions) รายงานว่า “กัมพูชายังคงยึดมั่นอย่างแน่วแน่ในการรักษาข้อตกลงหยุดยิv และยืนหยัดต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี และการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศอย่างเต็มที่”
การให้สัมภาษณ์และรูปแบบการลงพื้นที่ที่ปราฏข้างต้นสะท้อนข้อกังวลของสุภลักษณ์ว่าคณะทำงานในแต่ละประเทศจะตรวจสอบเหตุการณ์ได้อย่างอิสระเพียงใด
“ประเทศเจ้าบ้านเป็นคนกำหนดว่าจะพาไปไหน ให้ดูอะไร แบบไหน อย่างไร ทำให้มันไม่มีกระบวนการสืบต่อเนื่องว่าดูแล้วเสร็จแล้วเป็นยังไง ตรวจสอบถ้าเท็จจริง คอนเฟิร์มอะไรได้สักอย่างไหม มันยังไม่มีฟังก์ชันที่จะทำเรื่องตรงนั้น” สุภลักษณ์ ระบุโดยชี้ว่าข้อจำกัดดังกล่าวทำให้การทำงานของคณะ IOT ถูกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่แต่ละประเทศใช้เพื่อผลประโยชน์ด้านการประชาสัมพันธ์ของตนเอง มากกว่าจะเป็นกลไกที่มีความเป็นกลางอันเป็นหัวใจหลักของการยุติความขัดแย้ง
“ฝ่ายหนึ่งก็พยายามจะฉีกหน้าฝ่ายตรงกันข้ามต่อหน้าคณะ IOT อะไรอย่างนี้ แล้วแต่ว่าใครพาไป” เขาอธิบาย
ขณะที่ ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยให้สัมภาษณ์กับ.ก่อนหน้านี้ว่า การตรวจสอบโดยอิสระจากบุคคลที่สามเป็นสิ่งสำคัญในการยับยั้งความขัดแย้งไม่ให้บานปลาย
“ถ้าไม่มีคนกลางมาช่วยตรวจสอบ เราก็จะกล่าวหากันไปมา ยิvกันไปมา แล้วก็ปล่อยให้สถานการณ์บานปลายแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ” เขากล่าวกับ.ช่วงต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
“สิ่งที่น่ากังวลคือ มันอาจจะนำไปสู่การกลับมาปะทะกันอย่างหนักอีกครั้ง”
จากคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) สู่ข้อเสนอตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT)
หลังเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ จากคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของเขาเสนอให้ไทยเปิดโอกาสให้ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observers Crew- AOT) เข้าประจำในพื้นที่เสี่ยงแทนคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT)
“หากไทยไม่เปิดโอกาสให้ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้ามาประจำพื้นที่เสี่ยงอย่างน้อยก็สัก 3 เดือน โดยกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นฝ่ายละเมิด หรือเหตุใดเราจึงปิดกั้นโอกาสในการลดการเผชิญหน้าและการปะทะตามแนวชายแดน” เขาระบุผ่านโพสต์ทางโซเชียลมีเดีย โดยเสนอเงื่อนไขกรอบเวลา 3 เดือน และต้องไม่มีการถือครองอาวุธ
สุภลักษณ์เห็นด้วยกับแนวคิดของ ดร.ฟูอาดี้ โดยอธิบายถึงบทบาทที่แตกต่างกันระหว่างคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT)
“สิ่งที่จะต้องทำก็คือการมอนิเตอร์สถานการณ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Test) ของสถานการณ์ แล้วก็การรายงานสถานการณ์ แต่การทำงานของคณะ IOT ดันไม่ชัดเจน เราก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องเชื่ออะไร แล้วใครจะเป็นคนตรวจสอบสิ่งเหล่านี้” เขากล่าวพร้อมกับชี้ไปที่เหตุการณ์การปะทะที่บ้านหนองหญ้าแก้ว “อย่างเหตุการณ์ที่หนองหญ้าแก้ว 17 ก.ย. มันเกิดขึ้นยังไง ที่มามันเป็นแบบไหน”
อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโสกล่าวต่อไปว่า หากเป็นทีมคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ก็จะมีภาระหน้าที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการรายงานสถานการณ์อย่างเร่งด่วนเมื่อเกิดการยกระดับความรุนแรง เพื่อให้สามารถนำเรื่องเข้าสู่การหารือในกรอบอาเซียนได้อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ
ข้อเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ครั้งล่าสุดหลังการปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาตั้งแต่กลางปี 2568 เป็นต้นมา ริเริ่มโดยพล.อ.ตัน ซรี โมห์ด นิซาม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของมาเลเซีย ซึ่งสื่อท้องถิ่นรายงานว่าได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม เจรจากับผู้นำไทยและกัมพูชาเพื่อให้มีคณะทำงานจากมาเลเซียเข้าร่วมสมทบการสังเกตการณ์ในพื้นที่
ต่อมาวันที่ 19 ส.ค. นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก สนับสนุนหนุนแนวคิดดังกล่าว และระบุว่าได้ปรึกษากับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในประเด็นนี้โดยชี้ว่ามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน
ส่วนท่าทีของฝ่ายไทย นายรัศม์ ชาลีจันทร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในวลานัั้น ระบุว่าไทยสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ในหลักการ แต่เห็นว่าควรมีโครงสร้างที่สามารถดำเนินงานได้ทันทีโดยไม่ติดขัด จึงมองว่าคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ เพื่อให้ภารกิจสังเกตการณ์สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ล่าช้า พร้อมยืนยันว่าไทยพร้อมอำนวยความสะดวกและสนับสนุนทั้งสองรูปแบบอย่างเต็มที่ โดยคำนึงถึงความรวดเร็ว ประสิทธิภาพ และความเป็นเอกภาพของอาเซียน
“AOT คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน จะต้องมีการส่งผู้สังเกตการณ์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหารมาจากเมืองหลวงของประเทศสมาชิกเข้ามาดำเนินการ ซึ่งภายใต้กฎหมายไทย กระบวนการดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณาตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่กฎหมายระบุไว้ก่อน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการลงพื้นที่ออกไป” ข้อความที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์กรมประชาสัมพันธ์ของไทยระบุ
ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุดจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยพิเศษ ที่ จ.เกาะกง ราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา คณะผู้แทนทั้งสองประเทศระบุในการแถลงข่าวร่วมว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบหลักการขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference หรือ TOR) เพื่อจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนตามกฎหมายภายในประเทศ และจะส่ง TOR ให้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนรับทราบ
ทั้งนี้ คำแปลอย่างไม่เป็นทางการของการแถลงดังกล่าวจากกระทรวงการต่างประเทศไทยระบุว่าระหว่างรอการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ทั้งสองฝ่ายจะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) เพื่อควบคุมการหยุดยิvอย่างต่อเนื่องไปก่อน และฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) จะหารือแผนปฏิบัติการภายใน 3 สัปดาห์ โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เป็นผู้สังเกตการณ์
สุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องนี้ว่าหากมีการส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทแล้ว ขั้นตอนต่อไปควรเป็นหน้าที่ของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนในการเร่งจัดตั้งกลไกที่เกี่ยวข้อง
“รอดูว่ามาเลเซีย ถ้าได้รับแล้ว เขาก็ควรจะพูดชัดเจนว่าได้รับแล้ว” สุภลักษณ์กล่าว พร้อมบอกว่า “ตอนนี้มันจำเป็นมาก เพราะสถานการณ์ถูกยั่วยุ และไม่มีการตรวจสอบหรือยืนยันข้อเท็จจริงใด ๆ ได้เลย”
ย้อนดูกรณีเขาพระวิหาร เคยมีข้อเสนอคนกลางเข้าสังเกตการณ์ แต่ไทยไม่ตอบรับ
ก่อนหน้านี้แนวคิดการตั้งบุคคลที่สามให้ประจำการเป็นผู้สังเกตการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เคยถูกเสนอโดยอินโดนีเซีย ในช่วงที่เกิดกรณีพิพาทชายแดนเขาพระวิหารในอดีต และได้มีการวางกรอบแผนงานผ่านการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการระหว่างงานประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย ในเดือน ก.พ. 2554 จนนำไปสู่การเจรจาอย่างเป็นทางการในเดือนพ.ค. 2554 ซึ่งจบลงโดยไร้ข้อตกลงใด ๆ
ท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แถลงหลายครั้งตลอดช่วงที่สถานการณ์เขาพระวิหารคุกรุ่นระหว่างเดือน ก.พ. จนถึงราวกลางปี 2554 โดยยืนยันว่าการเข้าสังเกตการณ์ของคนกลางต้องกระทำหลังจากที่กัมพูชาตกลงถอนทหารแล้วเท่านั้น
เดอะ จาการ์ตาโพสต์ สื่อหนังสือพิมพ์ของอินโดนีเซีย ตีพิมพ์บทวิเคราะห์ในปีต่อมาระบุว่า “ไทยยังไม่ลงนามในข้อตกลง และข้อตกลงดังกล่าวก็ไม่เคยมีผลบังคับใช้ นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เคยประกาศในเบื้องต้นว่าไทยเห็นชอบต่อการส่งคณะผู้สังเกตการณ์ แต่การคัดค้านจากฝ่ายทหารทำให้ข้อตกลงทางประวัติศาสตร์นี้ต้องสะดุดลง”
บทวิเคราะห์ภาษาอังกฤษซึ่งเขียนโดย โจนาธาน เพรนทิซ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกรุงลอนดอน และที่ปรึกษาอาวุโสด้านการรณรงค์เชิงนโยบายขององค์กรอินเตอร์เนชั่นแนล ไครซิส กรุ๊ป (Worldwide Crisis Group) ชี้ว่า “ในช่วงแรกไทยได้ตั้งข้อสงวนเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของคณะผู้สังเกตการณ์ ชื่อของคณะ สถานะทางการทูต รวมถึงเครื่องแบบที่พวกเขาจะสวมใส่ ต่อมา นายทหารระดับสูงของไทยระบุว่า จะไม่ยอมรับทหารอินโดนีเซียในเครื่องแบบเข้ามาในดินแดนไทย เนื่องจากถือเป็นการละเมิดอธิปไตย”
ข้อสังเกตดังกล่าวสอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของสุภลักษณ์ที่ตีพิมพ์ในไทยรัฐพลัส ซึ่งชี้ว่าเบื้องหลังการปฏิเสธผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียในครั้งนั้น เป็นเพราะเหตุผลด้านคุณค่าผ่านประวัติศาสตร์และโครงการทางการเมืองของไทยที่ทำให้ยึดถือว่า จะปล่อยให้ต่างประเทศจะแทรกแซงกิจการภายในของไทยไม่ได้

ที่มาของภาพ : ADEK BERRY/AFP by approach of Getty Photos
เอกสารข้อกำหนดภารกิจของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ต้องชัดเจน
แม้การตกลงเพื่อจัดตั้งให้มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จะมีความคืบหน้า ทว่าสุภลักษณ์เตือนว่าหัวใจสำคัญที่จะทำให้ภารกิจดำเนินการไปได้โดยเกิดความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายยังขึ้นอยู่กับเอกสารข้อกำหนดภารกิจ (Terms of Reference – TOR)
เอกสาร TOR ดังกล่าวจะระบุขอบเขตการดำเนินงาน อำนาจหน้าที่ และองค์ประกอบที่จะกำหนดว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จะมีใครบ้าง รวมถึงงบประมาณและค่าใช้จ่าย สถานที่ตั้งสำนักงาน จำนวนบุคลากร และแหล่งที่มาของเจ้าหน้าที่ อันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่โดยรวม
เขาระบุว่าในกรณีที่ดีที่สุด ทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ควรได้รับอำนาจเต็มในการปฏิบัติงานอย่างอิสระในพื้นที่ชายแดนทั้งสองฝั่ง โดยสามารถตรวจสอบสถานการณ์ได้ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา แม้จะมีการแยกทีมปฏิบัติงาน แต่ต้องสามารถประสานข้อมูลร่วมกันได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อพิพาทชายแดนผู้นี้ระบุด้วยว่า หากจะให้กลไกนี้มีประสิทธิภาพจริง ควรมีอย่างน้อยสามองค์ประกอบหลัก ได้แก่ การมอนิเตอร์สถานการณ์ การตรวจสอบข้อเท็จจริง และระบบรายงานที่โปร่งใส
“หนึ่ง มอนิเตอร์ สอง พิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และสาม ระบบการรายงานที่รายงานต่อประธานอาเซียน และเปิดให้สาธารณชนหรือเวทีระหว่างประเทศสามารถเข้าถึงรายงานได้” สุภลักษณ์กล่าว
ทั้งนี้ สุภลักษณ์กล่าวว่ารายละเอียดใน TOR ยังไม่มีการเปิดเผยแก่สาธารณชนแต่อย่างใด
ที่ผ่านมามีข้อเสนอเรื่องรายละเอียดของการจัดตั้งคณะทำงาน AOT แตกต่างกันไปโดยเฉพาะประเด็นการเจรจาว่าจะเป็นแบบทวิภาคีหรือพหุภาคี
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 ส.ค. สื่อมาเลเซียรายงานว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย เคยนำเสนอแนวคิดบุคลากรเพิ่มเติมจากฝ่ายผู้ช่วยทูตด้านกลาโหมและสถานทูตนานาชาติ
ต่อมาข้อเสนอดังกล่าวถูกตอบโต้โดยนายภูมิธรรม เวชชยชัย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาชี้แจงว่าขอใช้การเจรจาแบบทวิภาคีระหว่างสองประเทศในการดำเนินการ
ด้าน ดร.ฟูอาดี้ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เสนอให้ใช้คณะทำงานเฉพาะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน และชี้ว่าการพึ่งพา “กลไกทวิภาคี” เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนในปัจจุบัน
“เราต้องยอมรับความจริงว่า ‘กลไกทวิภาคี' เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ แต่เราจำเป็นต้องมี ‘ความกล้าหาญ' ในการใช้กลไกภูมิภาค (และกลไกระดับโลก) ควบคู่กันไป” นักวิชาการรัฐศาสตร์จาก ม.ธรรมศาสตร์ เสนอผ่านโพสต์บนเฟซบุ๊ก Fuadi Pitsuwan เมื่อ 18 ก.ย.
นอกจากนี้เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่าการเริ่มต้นนำการเจรจาระดับภูมิภาคจะพลิกสถานการณ์ให้เป็นคุณแก่ไทยมากขึ้น “หากเราเลือกที่จะก้าวข้ามกรอบ ‘ทวิภาคี' มาอย่างมั่นใจ เราจะเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ มากกว่าถูกสถานการณ์ลากไป” ดร.ฟูอาดี้ ระบุ
ท่าทีของไทยต่อคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ในระดับนานาชาติ
ที่ผ่านมาปรากฎข้อวิจารณ์ว่าไทยเลือกทำเฉพาะเรื่องที่ตัวเองได้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่นข้อวิจารณ์ในบทวิเคราะห์โดยนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมา บรรยายในพาดหัวรองว่า “รัฐบาลกรุงเทพฯ ร้องขอการสนับสนุนจากนานาชาติในเรื่องกับsะเบิด แต่กลับไม่ขอให้มีส่วนร่วมในข้อพิพาทอื่น ๆ “
บทความดังกล่าวร่ายถึงข้อเปรียบเทียบว่า แม้ที่ผ่านมาไทยจะใช้กลไกระหว่างประเทศอย่างอนุสัญญาออตตาวาเพื่อร้องเรียนเรื่องกับsะเบิดอย่างต่อเนื่อง แต่ในการเจรจาข้อพิพาทเรื่องชายแดนกัมพูชาโดยรวมรัฐบาลไทยกลับมีท่าทีในการรักษาการเจรจาแบบทวิภาคีมากกว่ายกระดับไปใช้กลไกภูมิภาคหรือกลไกพหุพาคีอื่น ๆ บทความดังกล่าวเรียกการกระทำของไทยว่า “เอาดีเข้าตัว (Cherry-picking)”
เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ แสดงความเห็นว่า “เกรงว่าหากไทยยังคงปฏิเสธ กลับจะยิ่งถูกมองว่าไม่ให้ความร่วมมือกับกลไกในระดับภูมิภาคและนานาชาติที่มีเป้าหมายเพื่อลดความขัดแย้ง ซึ่งจะบั่นทอนความชอบธรรมของเราในเวทีโลก”
สอดคล้องกับความเห็นของสุภลักษณ์ เขามองว่าไทยไม่มีทางเลือกมากนัก หากต้องการยกสถานะในระดับนานาชาติของไทย
เขาบอก.ว่า “ถ้าให้ประเทศไทยมีสถานะในทางสากลก็คงจะต้องรับข้อเสนอว่าเราจําเป็นแล้วที่จะต้องใช้กลไกระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถือ ซึ่งกลไก AOT ก็เป็นอย่างแรก”
อย่างไรก็ดี อดีตนักวิชาการอาวุโสมองว่า ขั้นตอนที่โปร่งใสตรวจสอบได้สำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการธำรงความได้เปรียบของไทย เนื่องจากมีสถานะ “ประเทศใหญ่” และ “ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียน” ติดตัว เมื่อเทียบกับกัมพูชาซึ่งประวัติศาสตร์ ที่มาสถานะ และอำนาจทางเศรษฐกิจไม่เท่ากัน
เขาย้ำว่า หากกระบวนการมีความน่าเชื่อถือ จะไม่มีใครสามารถแทรกแซงหรือบิดเบือนผลได้ และจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายในระยะยาว อย่างไรก็ดี เขาทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยยังเผชิญข้อท้าทายเพิ่มเติมจากการเปลี่ยนรัฐบาล
“ถ้าเกิดรัฐบาลใหม่ไม่เห็นด้วย TOR นั้นจะเป็นอย่างไร อันนี้ต้องตั้งคำถามไว้หน่อยว่า นโยบายรัฐบาลใหม่ต่อเรื่องที่กำลังดำเนินอยู่มันจะเป็นแบบไหน จะดําเนินการอย่างไร” เขาตั้งข้อสังเกตและทิ้งท้ายว่า “เรามีปัญหาอยู่บางประการที่เป็นข้ออ่อนของไทยก็คือการไม่มีความต่อเนื่องในทางนโยบาย”
ที่มา BBC.co.uk