
“เราพูดกันเล่น ๆ มาตลอดว่าพ่อหน้าตาไม่เหมือนปู่กับย่าเลย ในที่สุดเราก็ได้รู้สาเหตุว่าทำไม”
ที่มาของภาพ : Family photo
Article Files
-
- Author, จิม รีด
- Role, ผู้สื่อข่าวสุขภาพ
พ่อของแมทธิวมีดวงตาสีน้ำตาลและผมสีดำ ในขณะที่ปู่กับยามีนัยน์ตาสีฟ้าโฉบเฉี่ยว
มีเรื่องหยอกล้อกันอยู่เรื่องหนึ่งในครอบครัวของเขาที่ถูกพูดถึงตลอดว่า “พ่อหน้าตาไม่เหมือนปู่กับย่าเลย” คุณครูจากตอนใต้ของอังกฤษผู้นี้เล่า ซึ่งในเวลาต่อมา เขาก็ได้ทราบสาเหตุว่าเพราะเหตุใด
พ่อของแมทธิวถูกสลับตัวกับเด็กอีกคนในโรงพยาบาลเมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว เขาเสียชีวิตในปีที่ผ่านมา ก่อนจะได้ทราบความจริงถึงประวัติศาสตร์ของครอบครัว
แมทธิว (นามสมมติ) ติดต่อบีบีซีหลังจากที่เรารายงานกรณีของซูซาน ผู้ที่ได้รับเงินชดเชยจากกองทรัสต์ในระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NHS belief) หลังตรวจดีเอ็นเอที่บ้านแล้วพบว่าเธอถูกสลับตัวกับเด็กทารกอีกคนในทศวรรษที่ 1950
บีบีซีนิวส์ได้รับทราบข้อมูลว่า มีอย่างน้อย 5 กรณีที่เด็กทารกถูกสลับตัวในแผนกผดุงครรภ์ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 ถึงทศวรรษที่ 1960
ขณะที่ทนายความส่วนหนึ่งระบุว่า พวกเขาคาดว่าจะมีคนออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการทดสอบทางพันธุกรรมราคาถูกลงมาก
“ที่สุดแล้วมุกเก่า ๆ ของครอบครัวอาจเป็นเรื่องจริง”
ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แมทธิวเริ่มค้นหาคำตอบในสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของครอบครัวเขา เขาส่งตัวอย่างน้ำลายผ่านทางไปรษณีย์เพื่อไปวิเคราะห์
บริษัทที่ให้บริการสืบค้นประวัติของวงศ์ตระกูลใส่ข้อมูลของเขาลงไปในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้เขาสามารถเห็นผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ที่มีดีเอ็นเอใกล้ชิดกับเขาได้
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
“ครึ่งหนึ่งของชื่อที่ปรากฏคือชื่อที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” เขากล่าว “ผมคิดว่ามันแปลก และผมก็โทรหาภรรยาเพื่อจะบอกเธอว่าที่สุดแล้วมุกเก่า ๆ ของครอบครัวอาจเป็นเรื่องจริง”
จากนั้นแมทธิวจึงขอให้พ่อของเขาส่งตัวอย่างดีเอ็นเอ ซึ่งยืนยันว่าเขาใกล้ชิดกับสมาชิกของครอบครัวปริศนากลุ่มเดียวกันเสียยิ่งกว่าแมทธิว
แมทธิวเริ่มแลกเปลี่ยนข้อความกับผู้หญิงสองคนที่เว็บไซต์ดังกล่าวแนะนำว่าเป็นญาติของพ่อเขา ทั้งคู่งุนงงว่าพวกเขามาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
หลังจากร่วมกันสืบ พวกเขาสามารถค้นหาสูติบัตรในปี 1946 ซึ่งเป็นเอกสารในช่วงเวลาหลายเดือนหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
ข้อมูลจากสูติบัตรฉบับต่าง ๆ บ่งชี้ว่า ในหนึ่งวันหลังจากที่พ่อของเขาเกิด มีเด็กทารกชายอีกคนที่ได้รับการแจ้งเกิดในโรงพยาบาลเดียวกันทางตะวันออกของกรุงลอนดอน
เด็กผู้ชายคนนั้นมีนามสกุลแปลก ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับรายชื่อปริศนาต่าง ๆ ที่ปรากฏบนแผนผังครอบครัว ซึ่งความเชื่อมโยงนี้ได้รับการยืนยันในภายหลังจากสูติบัตรที่แมทธิวรวบรวมมาได้
ทันใดนั้นเขาก็นึกได้
“ผมนึกได้ในทันทีว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้น” เขาเล่า “คำอธิบายเดียวที่ดูจะเป็นคำตอบได้อย่างสมเหตุผล คือทารกทั้งสองคนถูกสลับตัวกันที่โรงพยาบาล”
แมทธิวและผู้หญิงอีกสองคนสามารถสร้างแผนผังครอบครัวใหม่โดยอิงจากผลดีเอ็นเอที่ตรงกันกับเขา
“ผมชอบไขปริศนาและผมชอบทำความเข้าใจกับอดีต” เขากล่าว “ผมค่อนข้างหลงใหลกับมันอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงพยายามที่จะแกะรอยย้อนกลับว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ที่มาของภาพ : Hulton Archive/Getty Pictures
ยุคก่อนสายรัดข้อมือ
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กทารกส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรเกิดที่บ้าน ไม่ก็ในสถานบริบาล โดยมีเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์และแพทย์ประจำครอบครัวช่วยทำคลอด
แต่เมื่อสหราชอาณาจักรเตรียมทำระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ในปี 1948 วิธีการคลอดก็เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีเด็กคลอดในโรงพยาบาลมากขึ้น ซึ่งทารกจะถูกแยกออกจากมารดาในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อรับการดูแลในห้องเด็ก
“เด็กทารกจะถูกพาตัวออกไปในช่วงเวลาหลังให้นมเพื่อให้แม่ได้พักผ่อน และให้เด็กได้รับการเฝ้าดูโดยพยาบาลเด็กหรือเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์” เทอร์รี โคทส์ อดีตอาจารย์ด้านการผดุงครรภ์และอดีตที่ปรึกษาทางการแพทย์ของซีรีส์ “คอล เดอะ มิดไวฟ์” (Name The Midwife) ของบีบีซี ระบุ
“มันอาจจะฟังดูว่าเป็นการตัดสินใจหรือพูดแทนคนอื่นนะ แต่เจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์เชื่อว่าพวกเขาดูแลแม่และเด็ก ๆ ทารกได้ดีสุด ๆ ไปเลย”
โดยปกติแล้ว แม่แรกคลอดจะต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล 5 – 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นานกว่าปัจจุบันมาก
เด็กในห้องเด็กจะมีป้ายผูกไว้ที่ปลายเปลนอนเพื่อระบุตัวตน โดยป้ายนั้นจะระบุชื่อเด็ก ชื่อแม่ วันเวลาคลอด และน้ำหนักของเด็ก
“เมื่อป้ายชื่ออยู่บนเปล แทนที่จะอยู่บนตัวเด็ก อุบัติเหตุก็เลยเกิดขึ้นได้ง่าย” โคทส์ ผู้ซึ่งเคยได้รับการฝึกอบรมในฐานะพยาบาลเมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 และได้เป็นเจ้าหน้าที่ผดุงครรภ์ในปี 1981 ระบุ
“ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเจ้าหน้าที่ให้อาหารทารกอยู่ในห้องเด็กสองคนหรือมากกว่านั้นเมื่อไหร่ ก็ง่ายที่เด็กจะถูกวางลงผิดเปล”
ในปี 1956 การคลอดบุตรในโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น และตำราเรียนผดุงครรภ์หลายฉบับก็แนะนำว่าควรมีการติด “ป้ายข้อมือ” หรือ “สายร้อยลูกปัดจีน” ไว้ที่ตัวเด็กโดยตรง
ราวกลางทศวรรษที่ 1960 ก็เริ่มไม่ค่อยพบเด็กทารกถูกพาออกจากห้องคลอดโดยไม่ได้ติดป้ายระบุตัวตนแล้ว
ที่มาของภาพ : Textbook for Midwives, 1956
เรื่องราวของเด็กที่ถูกสลับตัวในโรงพยาบาลโดยไม่ได้ตั้งใจเป็นเรื่องที่แทบไม่ค่อยมีการเปิดเผยออกมาในช่วงเวลานั้น แต่ตอนนี้เริ่มถูกเปิดเผยออกมามากขึ้นแล้วหลังจากการทดสอบทางพันธุกรรมและเว็บไซต์ค้นหาบรรพบุรุษได้รับความนิยม
หนึ่งวันหลังจากทารกแจน ดาลี เกิดที่โรงพยาบาลทางตอนเหนือของกรุงลอนดอนในปี 1951 แม่ของเธอร้องเรียนทันทีว่าเด็กที่ทางโรงพยาบาลพามาให้เธอ ไม่ใช่ลูกของเธอ
“เธอเครียดจริง ๆ และเธอร้องไห้ แต่พยาบาลยืนยันว่าเธอจำผิด และหมอก็ถูกเรียกเข้ามาปลอบเธอ” แจนเล่า
เจ้าหน้าที่ยอมถอยเมื่อแม่ของเธอบอกว่าเธอคลอดลูกอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องช่วยเหลือเลย พร้อมกับชี้ให้เห็นรอยคีมที่ศีรษะของทารก
“ฉันเข้าใจแม่ของเด็กอีกคนเลยที่ให้นมฉันอย่างมีความสุขอยู่สองวัน แล้วก็ต้องปล่อยเด็กทารกไปสลับกับอีกคน” เธอกล่าว
“ไม่เคยมีการขอโทษใด ๆ มันเป็นแค่ ‘หนึ่งในความผิดพลาดเล็ก ๆ' แต่สร้างความสะเทือนใจให้แม่ของฉันอยู่นานทีเดียว”
ที่มาของภาพ : Hulton Archive/Getty Pictures
ไม่เคยได้รู้
พ่อของแมทธิว ตัวแทนประกันจากบริษัทโฮม เคาท์ตีส์ (Home Counties) เป็นนักปั่นจักรยานสมัครเล่นที่เอาจริงเอาจังมากและใช้ทั้งชีวิตของเขาปั่นจักรยานตามเส้นทางต่าง ๆ ภายในท้องถิ่น
เขาใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่เพียงลำพัง และในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สุขภาพของเขาก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ
แมทธิวคิดหนักและคิดอยู่นานว่าจะบอกความจริงเกี่ยวกับประวัติครอบครัวของพ่อหรือไม่ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะไม่บอก
“ผมแค่รู้สึกว่าพ่อของผมไม่ได้ต้องการมัน” เขากล่าว “เขาอยู่มา 78 ปีโดยที่ดูเหมือนว่าไม่ได้สนใจอะไร ดังนั้นผมจึงรู้สึกว่ามันอาจจะไม่เหมาะที่จะบอกเรื่องนี้กับเขา”
พ่อของแมทธิวเสียชีวิตในปีที่แล้วโดยที่ไม่รู้ว่าเขาฉลองวันเกิดเร็วไป 1 วัน ตลอดช่วงชีวิตเกือบ 8 ทศวรรษ
ตั้งแต่ที่สูญเสียพ่อ แมทธิวขับรถไปยังภูมิภาคเวสต์ คันทรี (West Nation) เพื่อจะดื่มกาแฟกับลูกพ่อลูกน้องของพ่อ ซึ่งเกี่ยวข้องกันทางพันธุกรรม และลูกสาวของเขา
เขาเล่าว่าการพบกันครั้งนั้นเป็นไปด้วยดี โดยพวกเขาได้แลกเปลี่ยนรูปถ่ายเก่า ๆ และ “เติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในประวัติศาสตร์ของครอบครัว”
แต่แมทธิวตัดสินใจที่จะไม่ติดต่อชายที่ถูกสลับตัวกันกับพ่อของเขาในขณะเป็นทารก หรือลูก ๆ ของเขา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอ
“หากคุณทำการทดสอบโดยส่งน้ำลายมา มันก็สามารถเข้าใจได้ว่าคุณอาจจะไปเจออะไรอะไรมาที่ทำให้ประหลาดใจ” แมทธิวกล่าว
“แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ทำแบบนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันถูกหรือเปล่าที่จะติดต่อพวกเขาไป ผมแค่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องที่ผมจะไปโยนsะเบิดใส่”
ที่มา BBC.co.uk













