
“เราระงับตามจำนวนเงินที่โอนเข้าไป ไม่ใช่อายัดทั้งบัญชี” เรารู้อะไรแล้วบ้าง ปมอายัดบัญชีป่วน ?

ที่มาของภาพ : Getty Images
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ใช้โซเชียลมีเดียหลายรายเปิดเผยข้อมูลว่าถูกอายัดบัญชีธนาคารเนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้า โดยมีทั้งผู้ที่ระบุตัวเองว่าเป็นแม่ค้าออนไลน์ หรือรับเงินโอนที่ลูกหนี้ไปโกงคนอื่นมาคืนให้ และถูกอายัดบัญชีทั้งที่ไม่ได้รู้เห็นในการกระทำความผิด
เพจเฟซบุ๊ก “หมอแล็บแพนด้า” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 3.5 ล้านคน โพสต์เมื่อวานนี้ (13 ก.ย.) อ้างว่ามี “หลายคนเริ่มทยอยไปถอนเงินสดจากธนาคาร” เนื่องจากกลัวถูกอายัดบัญชี ขณะเพจร้านอาหารบางร้านประกาศรับเฉพาะเงินสดชั่วคราวเพราะกังวลว่าจะถูกอายัดบัญชีจากเงินโอนที่ลูกค้าสแกนจ่ายเข้ามา
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หารือร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ในวันนี้ (14 ก.ย.) เพื่อปรับแนวทางการอายัดบัญชีและกระบวนการปลดอายัด เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้บริสุทธิ์
เรารู้อะไรแล้วบ้างเกี่ยวกับปรากฏการณ์ความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น ?
บัญชีธนาคารลักษณะใดบ้างที่ถูกอายัด ?
.พบข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดียของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดบัญชีบอกว่า มีทั้งพ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบการ หรือกรณีที่คนรู้จักให้ช่วยโอนเงิน-รับเงินโอนให้แล้วไปเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารของมิจฉาชีพหรือเว็บพนัน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด
ซึ่งหลายรายระบุว่าบัญชีธนาคารที่ถูกอายัดไม่ใช่เพียงบัญชีเดียวที่มีรายการธุรกรรมเชื่อมโยงกับมิจฉาชีพเท่านั้น แต่ลามไปถึงทุกบัญชีธนาคาร ทำให้กระทบกับการใช้จ่ายในชีวิต เพราะไม่สามารถนำเงินที่อยู่ในบัญชีออกมาใช้ได้จนกว่าจะสามารถยืนยันความบริสุทธิ์และปลดอายัดบัญชีสำเร็จ
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้แจงเมื่อ 13 ก.ย. ว่า บัญชีที่ได้รับผลกระทบจะเป็นบัญชีที่อยู่ใน “เส้นทางเงินที่รับโอนจากบัญชีม้า” เท่านั้น
คำชี้แจงดังกล่าวยังอธิบายต่อไปว่า ที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) และธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ได้ยกระดับการจัดการบัญชีม้า โดย “ขยายขอบเขตการติดตามเส้นทางเงินให้กว้างขึ้น” เพื่อ “กักเงินที่โยงกับบัญชีม้ามาคืนผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด” จึงทำให้การระงับบัญชีที่เกี่ยวข้องอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมากขึ้น
เสียงสะท้อนถึงความยุ่งยากในการขอปลดอายัดบัญชี
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียบางรายสะท้อนถึงขั้นตอนนี้ว่าเป็นกระบวนการที่เสียทั้งเงินและเวลา
“ตอนแรกเกือบจะต้องขับรถจากนครศรีฯ ไปถึงกาญจนบุรี เพราะเงิน 100 บาทแท้ ๆ เพื่อไปให้การ” หนึ่งในผู้ที่ถูกอายัดบัญชีโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “ล่าสุดค่าถ่ายเอกสารเป็น 1,000 แล้ว ยังไม่ผ่าน” ผู้ใช้เฟซบุ๊กดังกล่าวตั้งค่าข้อความเป็นสาธารณะ มีผู้แชร์ข้อความมากกว่า 7,500 ครั้ง
ขณะที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียอีกราย โพสต์ภาพเอกสารกองใหญ่หลายกองที่เธอบอกว่าใช้สำหรับการยื่นเรื่องปลดอายัดบัญชี เธอบอกว่าเธอยื่นเรื่องไปสองรอบ โดยรอบแรกไม่ผ่านเพราะ “เอกสารไม่พอ” รอบสองเธอจึงเตรียมไปเต็มกระเป๋าลากใบใหญ่ หมดค่าพิมพ์เอกสารไปไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น จนกระทั่งได้รับการปลดอายัดบัญชี โพสต์สาธารณะดังกล่าวของเธอมีคนเข้ามาแชร์ข้อความมากกว่า 10,000 ครั้ง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เน้นย้ำในคำชี้แจงเมื่อ 13 ก.ย. ว่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อยกเลิกการระงับบัญชีได้ โดยติดต่อไปยังศูนย์ AOC 1441 ต่อ 2
เพจเฟซบุ๊ก “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” โพสต์คลิปวิดีโอทดลองติดต่อสายด่วนดังกล่าวเมื่อเวลา 9.00 น. ของวันนี้ (14 ก.ย.) ระบุว่าใช้เวลารอ 10 นาทีไม่มีเจ้าหน้าที่รับเรื่อง มีเพียงระบบอัตโนมัติแจ้งกลับมาว่า “ขณะนี้พนักงานให้บริการเต็มทุกคู่สาย กรุณาถือสายรอสักครู่”

ที่มาของภาพ : Getty Images
.พบว่า ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti On-line Scam Operation Heart : AOC ) หรือ AOC 1441 ได้รับการประชาสัมพันธ์ผ่านหลายช่องทางของหน่วยงานภาครัฐว่าเป็น one stop service แก่ประชาชน ช่วยดำเนินการ ระงับ/อายัดบัญชี ได้ทันที สำหรับผู้เสียหายที่ถูกลวงลวงผ่านช่องทางออนไลน์
โดยในขณะนั้น “ตำรวจสอบสวนกลาง” ยังประชาสัมพันธ์ด้วยว่า สายด่วนดังกล่าวที่รองรับกว่า 100 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น สามารถ “อายัดบัญชีของคนร้ายให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกลวงได้ทันทีใน 1 ชั่วโมง” จากการรายงานของสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ
ก่อนหน้านี้เคยมีการเปิดเผยจาก น.ส.วงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง ถึงผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ในช่วงระยะเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2566 – 1 ส.ค. 2568 ได้ระงับบัญชีธนาคารไปแล้ว 821,090 บัญชี คิดเป็นค่าเฉลี่ยได้วันละ 1,269 บัญชี
โดยบัญชีธนาคารที่ถูกระงับส่วนใหญ่เข้าข่ายประเภทคดี “ลวงลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ” คิดเป็น 31.82% รองลงมาคือคดีลวงลวงหารายได้พิเศษ, ลวงลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล, ลวงลวงลงทุน, ลวงลวงให้กู้เงิน และคดีอื่น ๆ
ช่วงไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กบางรายที่ระบุว่าตนเองเป็นตำรวจสอบสวน อาทิ เพจ “พนักงานสอบสวนหญิง” หรือผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “Ton Thanapon” ระบุถึงปัญหาในการปฏิบัติงานตามมาตรการและระเบียบที่มีอยู่ โดยสะท้อนว่ากระบวนการแจ้งอายัดบัญชีผ่านสายด่วน 1441 ทำได้ง่ายดาย เพียงแค่ผู้เสียหายแจ้งว่าถูกโกงและตรวจสอบพบว่ามียอดโอนไปยังบัญชีปลายทางจริง แต่กระบวนการปลดอายัดกลับยุ่งยากและต้องผ่านตำรวจสอบสวนซึ่งรับผิดชอบหลายคดีในมืออยู่แล้ว
ที่มาของมาตรการ
“ตำรวจไซเบอร์” หรือกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โพสต์เมื่อ 14 ก.ย. ชี้แจงที่มาของมาตรการระงับบัญชีต้องสงสัยว่า มาจากการที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาศัย “บัญชีม้า” ในการกระจายเงิน แทนการโอนตรงเข้าสู่บัญชีหลักของขบวนการ ซึ่งมีทั้งการจ่ายค่าตอบแทนให้เจ้าของบัญชีม้า หรือโอนเงินเข้าร้านค้าเพื่อแลกเปลี่ยนออกมาเป็นเงินสดหรือสินค้า ไม่ว่าผู้ประกอบการจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เพื่อปกปิดเส้นทางการเงิน
คำชี้แจงดังกล่าวระบุต่อไปว่า วิธีการนี้ส่งผลให้การติดตามเงินคืนแก่ผู้เสียหายทำได้ยากขึ้น และมีความเสี่ยงที่ประชาชนทั่วไปหรือผู้ประกอบการบางรายจะถูกลวงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงจรฟอกเงินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งท้ายที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อการถูก “อายัดบัญชี” จนไม่สามารถใช้เงินได้ แม้จะไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมโดยตรงก็ตาม
โดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เน้นย้ำว่า มาตรการนี้สามารถหยุดเส้นทางการเงินของคนร้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อระบบติดตามเส้นทางการเงินมีความเข้มข้นขึ้น ก็ทำให้บัญชีของ “ประชาชนสุจริต” บางรายถูกระงับไปด้วย โดยเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายเพิ่งมาแจ้งความย้อนหลัง ซึ่ง บช.สอท. ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งปรับมาตรการดังกล่าวแล้ว
นอกจากนี้ ตำรวจไซเบอร์ยังเปิดเผยว่าได้ยกระดับศูนย์รับเรื่องร้องเรียนอายัดบัญชี โดยเปิดช่องทางเพิ่มเติมเบื้องต้น คือสายด่วน 1441 สำหรับแจ้งเหตุร้องเรียนทั่วไป หรือทางเบอร์โทรศัพท์ 095-425-7478 และ 061-032-2914 สำหรับตรวจสอบและปลดอายัดบัญชีโดยเฉพาะ
ภาครัฐจะแก้ปัญหานี้อย่างไร ?
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ในช่วงบ่ายวันที่ 14 ก.ย. โดยยืนยันว่าในกรณีที่ผู้เสียหายได้รับโอนเงินมาจากบัญชีม้าโดยที่อาจไม่ได้รู้เห็นด้วยนั้น ตามมาตรการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้เป็นเพียงการ “ระงับจำนวนเงินดังกล่าวชั่วคราว” ไม่ใช่การอายัดบัญชีธนาคารทั้งบัญชี
นั่นหมายความว่าผู้ที่ถูก “ระงับการทำธุรกรรม” จะไม่สามารถดำเนินการใด ๆ กับ “วงเงิน” ที่ถูกระงับเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้บัญชีของตนเองในการทำธุรกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากวงเงินนั้นได้ตามปกติ
“โดยหลักการเราก็กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ว่าที่เราดำเนินการ เวลาเราระงับการทำธุรกรรม เราระงับตามจำนวนเงินที่โอนเข้าไป ไม่ใช่อายัดทั้งบัญชีหรือระงับการทำ ธุรกรรม ทั้งบัญชี” ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ อธิบาย “ถ้าเขาระงับธุรกรรม 100 บาท แต่เงินของท่านมันออกไปแล้วมันเหลือไม่ถึง 100 บาท เขาก็จะล็อกวงเงินนั้นไว้ จนกว่าท่านจะมีวงเงินมากกว่า 100 บาท ท่านถึงจะใช้ได้”
ปลัดกระทรวงดีอีเน้นย้ำว่า กรณีนี้เป็นกลไกตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 ซึ่งธนาคารมีหน้าที่ในการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัย ซึ่งจะแตกต่างจากการ “อายัดบัญชี” ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยมีหมายอายัดเท่านั้น
“ถ้าเราตรวจสอบได้ว่าได้รับเงินมาแล้วสุจริต อันนี้เป็นบัญชีนั้นบัญชีเดียว แล้วก็เป็นวงเงินนั้นเท่านั้น แต่ว่าในหลาย ๆ เคส เรามีคนที่เป็นลักษณะที่ว่าขายบัญชี แล้วก็ไปเปิดบัญชีจำนวนมาก… ถ้าเรามีบัญชีที่เราตรวจสอบได้ว่าเป็นบัญชีม้าจริง ๆ… อันนี้เราเรียกว่า ‘ม้าสีดำ' จะมีกลไกของทาง ปปง. ไปทำให้การมีบัญชีของเขามันอาจจะต้องทำได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นอันนี้ทำให้เป็นการปิดทุกบัญชี ซึ่งอันนี้ไม่ใช่เรื่องการระงับที่เราคุยกันในวันนี้” ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ ระบุ
ที่ประชุมในวันนี้มีการพิจารณากลไกการเพิกถอนการระงับธุรกรรมชั่วคราว ซึ่ง ตาม พ.ร.ก.ฯ ให้อำนาจ ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ในการปลดล็อกการระงับวงเงินผ่านการดำเนินการของศูนย์ AOC 1441 ได้ โดยจะเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบบัญชีผ่านการจัดตั้งศูนย์ประสานงานทำงานร่วมกัน ระหว่าง ศปอท., ธปท. ธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยการตรวจสอบจะประกอบด้วย
- เส้นทางการเงิน รูปแบบทางการเงินของบัญชีว่ามีลักษณะเป็นการทำธุรกรรมปกติหรือ
- เจ้าของบัญชีมีรายชื่อเกี่ยวข้องกับการอายัดบัญชีของ ปปง. และตำรวจหรือไม่
“เราจะพยายามเคลียร์ปัญหาว่า ถ้าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ในกรอบจริง ๆ เราจะมีกลไกในการดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น และในขณะเดียวกันจะมีการพูดคุยกันในอนาคตว่า เราจะกำหนดกรอบอะไรที่ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างการดูแลผู้บริสุทธิ์ที่ถูกลวง กับผู้บริสุทธิ์ที่มีเงินวิ่งเข้ามาในบัญชีเพิ่มเติม” ปลัดกระทรวงดีอีระบุในการให้สัมภาษณ์
ที่มา BBC.co.uk