
น้ำมูกของคนเราบอกเล่าความลับสุขภาพอะไรได้บ้าง ?

ที่มาของภาพ : Emmanuel Lafont
Article Files
-
- Creator, โซเฟีย กวาเลีย
- Role, บีบีซีฟิวเจอร์
น้ำมูกมีบทบาทสำคัญในการปกป้องพวกเราจากโรคภัยไข้เจ็บ และเพียงแค่ดูสีของมัน เราก็สามารถบอกอาการบางอย่างของร่างกายเราได้
ในสมัยกรีกโบราณ น้ำมูกเคยถูกมองว่าเป็นหนึ่งในของเหลวสี่ชนิดในร่างกายที่มีบทบาทในการรักษาสมดุลของสุขภาพและบุคลิกภาพของมนุษย์ แพทย์ที่มีชื่อว่า ฮิปโปเครติส เคยเสนอทฤษฎีที่ว่า เลืoด เสมหะ น้ำดีสีเหลือง และน้ำดีสีดำ คือ “น้ำเห-ืองทั้งสี่” (four humours) ที่หล่อหลอมอารมณ์และสุขภาพของคน หากของเหลวชนิดใดมีมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดโรคได้
ตัวอย่างเช่น ผู้คนเคยเชื่อว่าเสมหะถูกสร้างขึ้นในสมองและปอด และในฤดูหนาวที่ชื้นและเย็น เสมหะอาจสะสมมากจนทำให้เกิดโรคลมชักได้
แน่นอนว่า ปัจจุบันนี้เรารู้แล้วว่าน้ำมูกไม่ได้มีผลต่อบุคลิกภาพหรือทำให้เกิดโรค ในทางตรงกันข้าม มันคือกลไกป้องกันโรคที่ทรงพลังของร่างกาย
แม้ว่าไม่มีใครชอบอาการน้ำมูกไหล หรือการสาดน้ำมูกกระจายไปทั่วระหว่างจาม แต่มูกเหนียว ๆ ในโพรงจมูกของเรานั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ มันทำหน้าที่ปกป้องเราจากสิ่งแปลกปลอม และมีองค์ประกอบเฉพาะตัวที่สามารถเปิดเผยข้อมูลลึกซึ้งเกี่ยวกับภาวะภายในของเราได้
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามพัฒนาศักยภาพของน้ำมูกให้สามารถใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ตั้งแต่โควิด-19 ไปจนถึงโรคปอดเรื้อรัง
สารเหนียวนี้ทำหน้าที่เคลือบโพรงจมูกให้ชุ่มชื้น และดักจับแบคทีเรีย ไวรัส ละอองเกสร ฝุ่นละออง และมลภาวะต่าง ๆ ที่พยายามแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินหายใจ ด้วยความช่วยเหลือของขนจิ๋วนับร้อยในจมูก น้ำมูกจึงเป็นเสมือนกำแพงกั้นระหว่างโลกภายนอกกับระบบภายในของเรา

ที่มาของภาพ : Emmanuel Lafont
ร่างกายของมนุษย์วัยผู้ใหญ่ผลิตน้ำมูกมากกว่า 100 มิลลิลิตรต่อวัน แต่เด็กมักจะมีน้ำมูกมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากร่างกายของพวกเขายังอยู่ในช่วงเรียนรู้ที่จะรับมือกับการสัมผัสกับโมเลกุลนานาชนิดของโลกเป็นครั้งแรก ตามคำอธิบายของ ศ.ดาเนียลา เฟร์ไรรา ผู้เชี่ยวชาญด้านการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและวัคซีนวิทยา จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สหราชอาณาจักร
แค่เพียงการสังเกตจากลักษณะสีและความข้นของน้ำมูก เราก็พอเดาได้เล็กน้อยแล้วว่าร่างกายกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ น้ำมูกเปรียบเสมือนเทอร์โมมิเตอร์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
- น้ำมูกใสและเหลว บ่งบอกว่าร่างกายกำลังพยายามขับสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองออกไป เช่น ละอองเกสรหรือฝุ่น
- น้ำมูกขาว มักบ่งชี้ว่ามีไวรัสเข้าสู่ร่างกาย โดยสีขาวนั้นเกิดจากเซลล์เม็ดเลืoดขาวที่ถูกเรียกระดมมาเพื่อกำจัดผู้บุกรุก
- น้ำมูกข้นและมีสีเหลืองปนเขียว เป็นสัญญาณของเซลล์เม็ดเลืoดขาวที่เสียชีวิตแล้วสะสมอยู่เป็นจำนวนมากหลังการต่อสู้กับเชื้อโรค
- น้ำมูกสีแดงหรือชมพู อาจมีเลืoดปนเล็กน้อย อาจเกิดจากการสั่งน้ำมูกแรงเกินไปจนทำให้เยื่อบุจมูกระคายเคือง
อย่างไรก็ตาม การดูน้ำมูกเป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น
ทำไมน้ำมูกควรทำให้เรารู้สึกแหวะจริง ๆ
แม้ว่า ฮิปโปเครติส จะเข้าใจผิดอยู่บ้างตอนที่เขาเสนอทฤษฎีว่าน้ำมูกทำให้คนป่วย แต่จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมด
ศ.เฟร์ไรรา อธิบายว่า น้ำมูกเป็นเกราะป้องกันโพรงจมูกก็จริง แต่เมื่อน้ำมูกเริ่มไหล มันกลับกลายเป็นตัวช่วยแพร่เชื้อแบคทีเรียและไวรัส
เราซับหน้า สัมผัสสิ่งของ จาม แล้วเผลอพ่นน้ำมูกกระจายไปทั่วโดยไม่รู้ตัว
เวลาเราติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ น้ำมูกจะถูก “จับเป็นตัวประกัน” โดยเชื้อโรคให้กลายเป็นพาหะในการขยายตัวและเคลื่อนที่ไปยังที่ต่าง ๆ
พูดอีกอย่างก็คือ น้ำมูกกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราทำให้คนอื่นป่วยตามไปด้วย
จุลินทรีย์ในน้ำมูก
แม้ว่าผู้คนจะคุ้นเคยกับจุลินทรีย์ในลำไส้ หรือระบบนิเวศของแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และจุลชีพอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในร่างกายเรา แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อด้วยว่า จุลินทรีย์ในน้ำมูกก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
ในความเป็นจริง นักวิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใจแล้วว่า จุลินทรีย์ในโพรงจมูกนั้นมีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสุขภาพของมนุษย์และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่เหมาะสม
จุลินทรีย์ในน้ำมูกของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย เพราะมันได้รับอิทธิพลจากเพศ อายุ ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมอย่างการสูบบุหรี่ไฟฟ้า
องค์ประกอบของจุลินทรีย์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันผู้บุกรุก เช่น เชื้อโรคต่าง ๆ และการทำงานของมันนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด
งานวิจัยในปี 2024 พบว่า การที่เชื้อแบคทีเรียสตาฟิโลคอคคัส (Staphylococcus) ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้คน รอดชีวิตในโพรงจมูกและทำให้เกิดไข้หรือฝีหนองได้นั้น ขึ้นอยู่กับวิธีที่แบคทีเรียในจุลินทรีย์ของน้ำมูกยึดจับกับธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่เชื้อโรคต้องใช้
ศ.เฟร์ไรรา กำลังวิจัยเพื่อหาคำตอบว่าไมโครไบโอมหรือจุลินทรีย์ในน้ำมูกที่ดีต่อสุขภาพควรมีลักษณะอย่างไร เพื่อที่จะนำไปใช้พัฒนาสเปรย์พ่นจมูกสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ช่วยเสริมสุขภาพของน้ำมูก คล้ายกับที่เรากินโปรไบโอติกส์เพื่อดูแลลำไส้
“ลองจินตนาการดูสิ ถ้าเราสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในโพรงจมูกให้เต็มไปด้วยกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ดีที่ตั้งรกรากอยู่ได้นาน และไม่เปิดช่องให้พวกเชื้อโรคร้ายเข้ามาทำให้เราเจ็บป่วยได้” เธอกล่าว
ขณะนี้ เพื่อนร่วมทีมของ ศ.เฟร์ไรรา ได้คัดเลือกแบคทีเรียที่พวกเขาเชื่อว่าประกอบกันเป็นไมโครไบโอมจมูกในอุดมคติ และกำลังทดสอบว่าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าไปอยู่ในทางเดินหายใจของมนุษย์ และคงอยู่ได้นานพอที่จะส่งผลเชิงบวกต่อสุขภาพหรือไม่

ที่มาของภาพ : Emmanuel Lafont
เนื่องจากไมโครไบโอมในน้ำมูกมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับระบบภูมิคุ้มกัน ศ.เฟร์ไรรา กล่าวว่า ทีมนักวิจัยจึงกำลังศึกษามันเพื่อปรับปรุงวิธีเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แม้กระทั่งทำให้ร่างกายตอบสนองต่อวัคซีนได้ดีขึ้น
งานวิจัยชี้ว่า การตอบสนองของร่างกายต่อวัคซีนอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของไมโครไบโอมที่แต่ละคนมี
ในการศึกษาวัคซีนโควิด-19 มีข้อมูลบ่งชี้ว่าวัคซีนมีผลต่อไมโครไบโอมในน้ำมูก และในทางกลับกัน ไมโครไบโอมเองก็มีบทบาทในการกำหนดประสิทธิภาพของวัคซีนด้วย
“วัคซีนโควิด-19 ทำหน้าที่ได้ดีในการป้องกันไม่ให้เราล้มป่วย แต่เราก็ยังคงแพร่เชื้อได้อยู่ดี” ศ.เฟร์ไรรา กล่าว
“เราอาจสามารถพัฒนาวัคซีนที่ดีกว่านี้ได้ เพื่อให้คนรุ่นต่อไปไม่ป่วยเลย ไม่ว่าจะเป็นโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่ หรือไวรัสทางเดินหายใจชนิดอื่น ๆ และคำตอบทั้งหมดนั้น อาจซ่อนอยู่ในภูมิคุ้มกันจากน้ำมูกนั่นเอง”
ยุคสมัยใหม่แห่งการวินิจฉัยผ่าน ‘จมูก'
แม้งานวิจัยของ ศ.เฟร์ไรรา ที่มุ่งหาสูตรเฉพาะของไมโครไบโอมในน้ำมูกที่สมบูรณ์แบบอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ที่ประเทศสวีเดน นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มต้นไปก่อนแล้ว ด้วยการทดลองปลูกถ่ายน้ำมูกจากคนสุขภาพดีไปยังผู้ป่วยที่มีอาการโพรงจมูกอักเสบเรื้อรังและแพ้ละอองเกสร ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของโรคไซนัสอักเสบ
ทีมนักวิจัยสวีเดนให้ผู้เข้าร่วมทดลอง 22 คน พ่นน้ำมูกของเพื่อนหรือคนรักที่มีสุขภาพดีเข้าจมูกตนเอง โดยใช้เข็มฉีดยา วันละหนึ่งครั้ง เป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน ผลปรากฏว่าอาการไอและปวดบริเวณใบหน้าลดลงเกือบ 40% และผลยังคงอยู่ได้นานถึง 3 เดือนในผู้เข้าร่วมอย่างน้อย 16 คน
“เป็นข่าวดีสำหรับเรา และไม่มีใครรายงานผลข้างเคียงใด ๆ เลย” แอนเดอร์ส มาร์เทนสัน ที่ปรึกษาอาวุโสด้านโสต ศอ นาสิก และศัลยกรรมศีรษะและคอ ประจำโรงพยาบาลเฮลซิงบอร์ก ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นผู้นำการศึกษากล่าว
เขาเสริมด้วยว่าการทดลองนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากงานวิจัยเกี่ยวกับไมโครไบโอมในลำไส้ โดยเฉพาะการปลูกถ่ายอุจจาระ
อย่างไรก็ตาม โปรแกรมนำร่องรอบแรกนี้ยังไม่ได้เก็บข้อมูลอย่างละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมในน้ำมูก ว่าจุลชีพต่าง ๆ ในจมูกเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร
ขณะนี้จึงมีการดำเนินการทดลองในระดับที่ใหญ่ขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้นเพื่อศึกษาผลลัพธ์อย่างลึกซึ้ง

ที่มาของภาพ : Emmanuel Lafont
จริง ๆ แล้ว น้ำมูกสามารถเป็นเกราะป้องกันที่ยอดเยี่ยมจากโรคเรื้อรังทางจมูกและปอดได้
ดร.เจนนิเฟอร์ มัลลิแกน แพทย์เฉพาะทางโสต ศอ นาสิก จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา ใช้น้ำมูกในการศึกษาผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังและผู้ที่มีเนื้องอกในโพรงจมูก ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อประชากรโลกประมาณ 5–12%
ในช่วงแรกของอาชีพ ดร.มัลลิแกน จำเป็นต้องผ่าตัดเก็บเนื้อเยื่อจมูกจากผู้ป่วย ซึ่งเป็นวิธีที่ทั้งลุกล้ำและมีข้อจำกัด
แต่ปัจจุบัน งานวิจัยของเธอแสดงให้เห็นว่า น้ำมูกสามารถใช้เป็นตัวแทน (proxy) ที่แม่นยำในการวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายเมื่อมีภาวะไซนัสอักเสบได้
“ตอนนี้เรากำลังใช้น้ำมูกเพื่อเจาะลึกว่า ตัวการที่แท้จริงคืออะไร ใครคือผู้กระตุ้นอาการเหล่านี้กันแน่” ดร.มัลลิแกนกล่าว พร้อมเสริมว่า สาเหตุของอาการไซนัสในผู้ป่วยแต่ละคนมักจะแตกต่างกันเล็กน้อย
ในอดีต การรักษามักเป็นการลองผิดลองถูก ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน และบางรายอาจต้องเสียค่ารักษาหลักหลายหมื่นดอลลาร์ต่อเนื่องกันหลายเดือน แต่ ดร.มัลลิแกนเสนอว่า การวิเคราะห์น้ำมูกสามารถช่วยให้ระบุวิธีรักษาหรือการผ่าตัดที่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
ขณะนี้มีการทดลองทางคลินิกหลายโครงการทั่วโลกที่ใช้เทคนิคของ ดร.มัลลิแกน
บริษัทด้านเทคโนโลยีสุขภาพหน้าใหม่ เช่น Diag-Nose ซึ่งก่อตั้งโดยวิศวกรจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กำลังพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์สำหรับวิเคราะห์น้ำมูก และจดสิทธิบัตรอุปกรณ์สำหรับเก็บตัวอย่างน้ำมูกในระดับไมโคร
ในปี 2025 บริษัทได้เปิดตัวอุปกรณ์เก็บตัวอย่างน้ำมูกระดับไมโครเครื่องแรกที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถเก็บน้ำมูกได้ในปริมาณที่แม่นยำ เพื่อ ลดความแปรปรวนในการวิจัย ด้วยการทำให้กระบวนการเก็บตัวอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน
“เราค้นพบสิ่งที่เราไม่มีวันเข้าใจได้เลยหากใช้แค่การเก็บชิ้นเนื้อจากโพรงจมูกเพียงอย่างเดียว มันเปลี่ยนความเข้าใจทั้งหมดของเราที่มีต่อโรคนี้ และจะเปลี่ยนวิธีวินิจฉัยผู้ป่วยในอนาคต รวมถึงแนวทางการรักษาอย่างสิ้นเชิง” ดร.มัลลิแกนกล่าว
เธอยังใช้อุปกรณ์วิเคราะห์น้ำมูกเดียวกันนี้ในการศึกษาสาเหตุที่ทำให้บางคนสูญเสียความสามารถในการดมกลิ่น ทีมของเธอพบว่า สเปรย์พ่นจมูกที่มีวิตามินดี อาจช่วยฟื้นฟูการรับกลิ่นในผู้ที่สูญเสียประสาทสัมผัสดังกล่าวจากการอักเสบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ได้
นอกจากนี้ ดร.มัลลิแกนยังกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปอดก็มักจะเกิดขึ้นในจมูกด้วย เช่นเดียวกับกรณีที่กลับกัน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในจมูกก็มักเกิดขึ้นในปอดด้วย
ดังนั้น เครื่องมือวินิจฉัยและวิธีบำบัดเหล่านี้จึงสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโรคทางปอดได้เช่นกัน
งานวิจัยใหม่ชี้ว่า เพียงแค่วิเคราะห์ปริมาณโปรตีน IL-26 ในน้ำมูกของผู้ป่วย แพทย์ก็สามารถระบุได้ว่า บุคคลนั้นมีแนวโน้มจะเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) มากน้อยเพียงใด นี่เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูบบุหรี่ และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 4 ของโลก
ด้วยการวิเคราะห์น้ำมูก แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที
ในทำนองเดียวกัน ทีมนักวิจัยจากหลายประเทศทั่วโลกกำลังพัฒนาเครื่องมือและวิธีการคล้ายกัน เพื่อใช้น้ำมูกในการตรวจหาโรคหอบหืด มะเร็งปอด โรคอัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน
น้ำมูกยังสามารถใช้วัดระดับการได้รับรังสี และงานวิจัยล่าสุดหลายฉบับระบุว่า ของเหลวเหนียวในจมูกนี้สามารถบ่งบอกได้ว่า บุคคลนั้นสัมผัสกับมลพิษ เช่น โลหะหนักหรือฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศมากน้อยเพียงใด
“น้ำมูกคืออนาคตของการแพทย์เฉพาะบุคคล ฉันเชื่ออย่างหมดใจเลยค่ะ” ดร.มัลลิแกนกล่าว
ข้อสงวนสิทธิ์
เนื้อหาทั้งหมดในบทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ควรใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์จากแพทย์ประจำตัวของคุณหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอื่น ๆ
บีบีซีไม่รับผิดชอบต่อการวินิจฉัยใด ๆ ที่ผู้ใช้อาจสรุปจากเนื้อหาบนเว็บไซต์นี้ และไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหาจากเว็บไซต์ภายนอก ที่มีการลิงก์ไว้ รวมถึงไม่ได้ให้การรับรองสินค้าหรือบริการเชิงพาณิชย์ใด ๆ ที่ถูกกล่าวถึงหรือแนะนำบนเว็บไซต์เหล่านั้น
หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณโดยตรงเสมอ
ที่มา BBC.co.uk