ข้อถกเถียงเรื่อง ‘บ้านใหญ่’ วนกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังจากพรรคประชาชนคว้าชัยเป็นครั้งแรกในสนามการเลือกตั้งนายก อบจ. จังหวัดลำพูน โดยมีบางการวิเคราะห์กล่าวถึงปัจจัยที่ วีระเดช ภู่พิสิฐ หรือ ‘โกเฮง’ ว่านายก อบจ. จากพรรคปชน.โค่นแชมป์เก่าจากพรรคเพื่อไทยลงได้ เพราะเขาคือตัวแทนจากอีกหนึ่งบ้านใหญ่ในจังหวัด เนื่องจากวีระเดชเป็นบุตรชายของ ‘โกเก๊า’ ประเสริฐ ภู่พิสิฐ อดีตนายก อบจ.ลำพูน และประธานหอการค้า จ.ลำพูน
แกนนำระดับแม่เหล็กของทั้ง 2 พรรคออกมาแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ ประชาไทรวบรวมไว้ด้านล่าง
ธนาธร: บ้านใหญ่ไม่ใช่นามสกุล ให้ดูพฤติกรรม
“คุณเฮง นามสกุลนี้แต่เขาไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนั้น”
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ช่วงเช้าของวานนี้ (3 ก.พ.) ตอนหนึ่งอธิบายคำว่า เวลาพูดถึงบ้านใหญ่ต้องดูว่าเป็นนามสกุล หรือว่าเป็นพฤติกรรม คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ตนเองเกิดมาก็นามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจ เช่นกันกับวีระเดช
“บ้านใหญ่ไม่ใช่นามสกุล ดูพฤติกรรม โดยพฤติกรรมไม่ใช่ คุณเฮงเดินมาตั้งแต่อนาคตใหม่ และหลายปีที่ร่วมงานกันมา ไม่เคยคิดที่จะกลับไปทำงานการเมืองกับที่บ้าน เดินกับพวกเรามาตั้งแต่อนาคตใหม่”
ปิยบุตร: ชี้ 3 เกณฑ์จัดเป็นบ้านใหญ่
“หากเราตีขลุมไปหมดว่า คนที่นามสกุลเดียวกันกับนักการเมือง คนที่เป็นลูกหลานนักการเมืองประจำจังหวัด เท่ากับเป็น “บ้านใหญ่” ทั้งหมด ย่อมไม่เป็นธรรม
เพราะ คนที่เป็นลูกหลานนักการเมืองอาจมีความประพฤติ อุดมการณ์ แนวคิดต่างกันกับพ่อ แม่ พี่ น้อง หรือนักการเมืองในตระกูลตนเองก็ได้”
ปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ในช่วงนี้มีการถกเถียงเรื่องบ้านใหญ่กันมาก แต่ก่อนจะเถียงกัน ต้องนิยามคำว่าบ้านใหญ่เสียก่อน
ปิยบุตรระบุถึงหลักเกณฑ์ในการจัดให้เป็น ‘บ้านใหญ่’ 3 ข้อ
ข้อแรก – การสร้างฐานทางการเมืองและทำงานทางการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ”
ปิยบุตรอธิบายว่า การเมืองแบบแบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ คือการใช้เงินของครอบครัวตนเอง การใช้อำนาจ อิทธิพล เครือข่ายของตนเอง เข้าไปดูแลประชาชนในพื้นที่เลือกตั้ง จนสร้างเครือข่าย อิทธิพล และเกิดเป็น “หนี้บุญคุณ” ต่อกัน ทั้งหมด เพื่อหวังผลตอบแทนกลับมา คือ การได้รับเลือกตั้งหรือเข้าไปดำรงตำแหน่งแบบ “ผูกขาด” ”
“เมื่อมีโอกาสบริหารราชการแผ่นดินและใช้งบประมาณแผ่นดิน ก็จะหาวิธีการเบียดบังเอางบประมาณเหล่านั้นเข้ากระเป๋าตนเอง สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับตระกูลตนเอง และแบ่งเอาเงินและทรัพยากรเหล่านั้นบางส่วนมาเป็น “ทุน” ในการทำการเมืองต่อไป วนเวียนแบบนี้เป็นวัฏจักรซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนฝังรากลึกลงไป”
ข้อสอง – การถ่ายโอนอำนาจการเมืองผ่านการสืบทอดทางสายโลหิต
ปิยบุตรระบุว่า การคัดเลือกคนไปดำรงตำแหน่งหรือลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ไม่ได้พิจารณาจากแนวคิด ไม่ได้พิจารณาจากการคัดสรรตามกระบวนการของพรรคที่เปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าแข่งขัน แต่คิดจากสายโลหิต เหมือนเป็นธุรกิจหรือกงสีในครอบครัว อาจมีคนเข้ามาทำงาน มีมืออาชีพมาช่วยบริหาร แต่เจ้าของต้องเป็นคนในตระกูลตนเอง การดำรงตำแหน่งใหญ่ต้องเป็นคนของตระกูลตนเอง
ปิยบุตรระบุอีกว่า การใช้วิธีการสืบสายโลหิตคือ การเอาเรื่อง “ครอบครัว” ซึ่งเป็นแดนเอกชน มาปะปนกับเรื่อง “การเมือง”
ข้อสาม – การสวามิภักดิ์อำนาจนิยมที่อยู่เหนือกว่าตนเอง
ปิยบุตรระบุว่า การเมืองแบบบ้านใหญ่ต้องการสร้างอิทธิพลและบารมีในอาณาเขตของตนเอง เช่น ในจังหวัด หรือในหลายจังหวัดใกล้เคียงกัน แต่จะไม่ท้าทายกับอำนาจที่อยู่เหนือกว่าตนเอง พวกเขาตีกรอบแดนอาณาเขตไว้ ไม่ยุ่งกับแดนอื่น และป้องกันไม่ให้คนอื่น กลุ่มอื่น มารุกล้ำแดนตนเอง หากตนเองเป็นบ้านใหญ่ในจังหวัดตนเอง ก็ไม่ไปยุ่งกับจังหวัดอื่น
ปิยบุตรกล่าวต่อไปว่า ในส่วนของการเมืองระดับชาติ แกนนำพรรคหรือเจ้าของพรรคที่อาศัยพลังของบ้านใหญ่หลายๆ บ้านรวมกันเป็นตัวเลขจำนวน ส.ส. สนับสนุนให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมีวิธีบริหารจัดการบ้านใหญ่เหล่านี้ ผ่านทั้งพระเดชและพระคุณ
“การเมืองแบบบ้านใหญ่จึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของการต่อสู้เพื่อบ้านใหญ่ ต่อสู้เพื่อตนเอง เพื่อให้บ้านใหญ่มีอำนาจ มีโอกาสแสวงหาอำนาจ แสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจการเมือง รักษาอำนาจความเป็นบ้านใหญ่ต่อไป มากกว่าการต่อสู้เพื่อประชาชน พัฒนาคุณภาพการเมือง หรือประชาธิปไตย”
ณัฐวุฒิ: อย่าเหมารวม ‘บ้านใหญ่’ แย่ทั้งหมด
“ถ้าไปตั้งโจทย์ว่าบ้านใหญ่คือจำเลย คือสิ่งที่ต้องโค่นล้ม ต้องโจมตี สิ่งที่เป็นอุปสรรคถ่วงรั้งความเจริญของท้องถิ่น ไม่แน่ใจว่าตั้งโจทย์แบบนั้นจะถูกหรือเปล่า แล้วยิ่งพอไปตั้งโจทย์แบบนั้นขึ้นมา ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วใครคือบ้านใหญ่”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ช่วงเช้าวันนี้ (4 ก.พ.) ถึงข้อถกเถียงในประเด็น ‘บ้านใหญ่’ ที่เกิดขึ้นว่า การเมืองไม่จำเป็นต้องมีผู้ร้ายในทุกสถานการณ์ การเมืองไม่จำเป็นต้องมีพระเอกในทุกเวที การเมืองเป็นเรื่องของคนธรรมดานี่แหละ มีขาว มีเทา มีดำปนๆ กันไป
ณัฐวุฒิกล่าวต่อไปว่า กรณีที่พรรคการเมืองอื่นมีคนที่ถูกมองว่าเป็นบ้านใหญ่ แล้วเราต้องมาอธิบายเพิ่มว่าการเป็นบ้านใหญ่ต้องดูที่พฤติกรรม ไม่ใช่นามสกุล หรือจะต้องมีคำนิยามอะไรใหญ่โต ตนเองมองว่ายุ่งเปล่าๆ
“ถ้าไปมองพฤติกรรม คำถามต่อไปก็คือแล้วใครจะเป็นคนตัดสินพฤติกรรมนั้น”
“ตัวผู้สมัคร (นายก อบจ.ลำพูน) ถือว่ามีฐานการเมืองในพื้นที่ ผมไม่ได้พูดคำว่าบ้านใหญ่ เพราะว่าในทัศนะผม คนที่ถูกเรียกว่าบ้านใหญ่เดี๋ยวนี้ความหมายมันคลุม (เครือ) และกว้างมาก… ด้วยความเคารพนะครับ ผมอยากขอความเป็นธรรมให้คนที่ถูกเรียกว่าบ้านใหญ่ด้วยซ้ำไป เพราะว่าบางทีเขาไม่ใช่พวกค้ายาเสพติด ปล้นจี้ ตีชิงฉ้อราษฎร์บังหลวง
คนจำนวนมากที่ถูกขีดเส้นว่าเป็นบ้านใหญ่ในท้องถิ่นในวันนี้ หลายคนเกิดมาจากคนยากคนจนนี่แหละ ล้มลุกคลุกคลานถลอกปอกเปิกแต่ชีวิตตั้งตัวได้ คนพวกนี้ใจใหญ่ คบเพื่อน กล้าให้ กล้าเสียเปรียบ”
พิธีกรถามต่อไปว่า ประเด็นที่เป็นข้อวิจารณ์ของอีกฝั่งคือ กรณีกลุ่มคนที่อิงแอบอยู่กับอำนาจรัฐ หาผลประโยชน์จากการขอสัมปทานต่างๆ และสืบทอดกันโดยคนในตระกูล
ณัฐวุฒิตอบว่า “พ่อลูก พี่น้อง สามีให้ภรรยาที่ว่ากัน ไม่ใช่ตั้งเองได้ ต้องให้ประชาชนเลือก แล้วเขาก็ไม่ได้ไปปิดกั้นโอกาสไม่ให้คนอื่นส่งแข่ง ก็ส่งแข่งกันได้ แล้วก็ทำงานกันในสนามการเมือง การเลือกตั้งกันได้ปกติ”
“คนทำงานการเมืองในท้องถิ่นไม่ว่าจะมากจะน้อยก็ต้องสัมผัสกับกลไกรัฐ ถ้าเอาประโยชน์เข้าพกเข้าห่อส่วนตนมากจนเกินไป วันหนึ่งประชาชนเขาก็จะปฏิเสธ”
ณัฐวุฒิกล่าวว่า ตัดเรื่องความเป็นพรรคการเมืองออกไป ตนตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้ในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมว่ามีการใช้คำว่าบ้านใหญ่ครอบคลุมและผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริงหรือไม่ ตนอาจคิดผิดก็ได้ แต่ก็อยากให้เกิดคำถามนี้ขึ้นในสังคม อีกอย่างคือตนไม่ได้จะพยายามสถาปนาคำว่าบ้านใหญ่ให้มันดูหล่อ ดูเท่ขึ้นมา แต่ต้องการจะมองเป็นเรื่องๆ มองเป็นพื้นที่ไป มองให้เห็นความจริงว่าสังคมไทยอยู่กันแบบนี้
“ถ้าเกิดนามสกุลไหน ถ้าผม (เป็น) รุ่นหลานแล้วยังอยู่กับพ่อ กับปู่ กับแม่ ยังเชื่อมั่นในแนวทางของครอบครัวก็กลายเป็นพวกล้าหลัง เป็นพวกบ้านใหญ่รุ่นใหม่ แต่ถ้าผมแยกออกไป ก็กลายเป็นพวกน่าเชื่อถือ น่าเชื่อมั่น หล่อขึ้นมาทันที ในเรื่องนี้ผมไม่คิดแบบนั้น”
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )