“ผมอยู่ในปากของมัน 1 วินาที” นักพายเรือคายัคเล่านาทีเผชิญหน้ากับวาฬระยะประชิด

เอเดรียน ซิมันคาส กำลังพายเรือคายัคอยู่ เมื่อเขาถูกวาฬหลังค่อมเขมือบเข้าไป

data

  • Creator, แอนเดรีย ดิแอซ และ อาเยเลน โอลิวา
  • Role, บีบีซี นิวส์ มุนโด (ภาษาสเปน)

นี่คือประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของนักพายเรือคายัคชาวเวเนซุเอลา เมื่อเขาถูกวาฬหลังค่อมกลืนกินเข้าไป ขณะที่เขากำลังพายเรือผ่านช่องแคบแมกเจลแลนทางตอนใต้ของชิลี

เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนเกิดขึ้นขณะที่ เอเดรียน ซิมันคาส วัย 23 ปี เขาพายเรือไปกับ ดาลล์ ซิมันคาส พ่อของเขา วัย 49 ปี

“ผมรู้สึกถูกตีด้วยอะไรสักอย่างจากด้านหลัง มันเข้ามาใกล้ และทำให้ผมจงลง ผมหลับตาลง แล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าอยู่ในปากของวาฬ” เอเดรียนเล่าย้อนนาทีระทึกใจให้บีบีซีฟัง

สองพ่อลูกเพิ่งข้ามอ่าวอีเกิลมาได้ไม่นาน เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของเรือคายัคจับภาพคลื่น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกระแทกจากด้านหลัง

เมื่อมองย้อนกลับไป เขาเห็นลูกชายหายไปแล้ว “เมื่อผมมองกลับมา ผมไม่เห็นเอเดรียนแล้ว ผมกังวลอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นเขาขึ้นมาจากทะเล จากนั้นผมก็เห็นตัวอะไรสักอย่าง ซึ่งผมนึกได้ทันทีว่ามันคือวาฬ เมื่อดูจากขนาดของมัน” ดาลล์ กล่าว

and continue learningเรื่องแนะนำ

End of เรื่องแนะนำ

ที่มาของภาพ : Dell Simancas

กล้องจับภาพวาฬไว้ได้ หลังจากมันคายเอเดรียนและเรือคายัคของเขาออกมา

เอดรียนเชื่อว่าเขาอยู่ภายในตัวของวาฬนานถึง 3 วินาที โดยบรรยายประสบการณ์เหนือจริงที่เกิดขึ้นว่า “ผมสามารถมองเห็นส่วนสีน้ำเงินเข้มและสีขาว ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหยึย ๆ บนใบหน้าของผม ในตอนนั้นผมหลับตาลงและเตรียมรับแรงกระแทก แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองพลิกคว่ำ ไม่ได้โดนกระแทกอะไร แล้วสุดท้ายผมก็นอนอยู่ตรงนั้น”

“ผมใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะตระหนักได้ว่ากำลังอยู่ในปากของตัวอะไรสักอย่าง และเริ่มคิดว่าบางทีมันอาจจะกินผม มันอาจเป็นวาฬเพชฌฆาตหรือสัตว์ประหลาดในทะเล” เขากล่าว

“แต่แล้วผมก็รู้สึกเหมือนกำลังลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ซึ่งเป็นตอนที่มันคายผมออกมา ผมตะกายขึ้นไป 2 วินาทีจนขึ้นสู่ผิวน้ำ และตระหนักได้ว่ามันไม่ได้กินผมเข้าไป มันไม่ใช่นักล่า” เขากล่าวเสริม

ทั้งคู่ย้ายจากเวเนซุเอลาไปชิลีเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพื่อตามหาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติในน่านน้ำอันห่างไกลในแถบพาทาโกเนียของชิลีเช่นนี้

“มันเป็นการเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าในสถานที่ที่สุดขีดแห่งหนึ่ง” เอเดรียนสะท้อนความรู้สึก

“ผมคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตรอดในตัววาฬ ผมสงสัยว่ามันจะทำอย่างไรหากกลืนผมเข้าไป เพราะผมไม่สามารถขัดขืนหรือต่อสู้เพื่อหยุดมันได้เลย ผมจึงพยายามคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปหากมันกลืมผมลงไปแล้ว”

“ผมกลัวเล็กน้อยว่าจะกลั้นหายใจได้หรือไม่ เพราะผมไม่รู้ว่ามันจะลึกแค่ไหน และผมรู้สึกว่ามันใช้เวลานานมากกว่าจะขึ้นมาได้”

ในเวลาต่อมา เมื่อเอเดรียนเห็นภาพที่กล้องวิดีโอของพ่อจับภาพเหตุการณ์ไว้ได้ เขาตกใจอย่างมากเมื่อเห็นขนาดมโหฬารของตัววาฬตัวนั้น

“ผมไม่ทันเห็นลำตัวด้านหลังและครีบของวาฬปรากฏขึ้น ผมไม่ได้เห็นมันเลย และนั่นทำให้ผมสั่นไปหมดเมื่อได้เห็นภาพ”

ที่มาของภาพ : Dell Simancas

วินาทีที่วาฬตัวนั้นเขมือบเอเดรียนและเรือคายัคของเขาเข้าไป

“แต่เมื่อเห็นภาพในวิดีโอ ผมก็ตระหนักได้ว่ามันปรากฏตรงหน้าผมจริง ๆ และมีขนาดใหญ่โตมาก ซึ่งบางทีถ้าผมเห็นมันก่อน ผมคงรู้สึกกลัวมากกว่านี้” เขากล่าวเสริม

สำหรับเอเดรียนแล้ว นี่เป็นประสบการณ์ที่เราเรียกมันว่า “เป็นโอกาสครั้งที่ 2” ซึ่งไม่ได้หมายถึงการเอาชีวิตรอดออกมาได้เท่านั้น แต่มันเกี่ยวข้องกับทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย

“เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้ไตร่ตรองถึงสิ่งที่สามารถทำได้ดีกว่านี้เมื่อถึงจุดนั้นได้อย่างไร และผมจะใช้ประโยชน์พร้อม ๆ กับชื่นชมประสบการณ์นี้ได้อย่างไร มันไม่ใช่แค่การดึงสิ่งดี ๆ ออกมาจากสถานการณ์ที่แย่ ๆ แต่มันทำให้เห็นภาพรวมสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด การได้พบเจอสัตว์ป่าในภูมิภาคสุดขอบโลกนั้นมันเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร”

อุบัติเหตุ

โรเชด เจคอบสัน เซบา นักอนุรักษ์ชาวบราซิลและประธาน Instituto Vida Livre องค์กรไม่แสวงหากำไรที่สนับสนุนการอนุรักษ์และงานวิจัยสัตว์ป่า อธิบายการเผชิญหน้าระหว่างวาฬกับเอเดรียนว่าเป็น “อุบัติเหตุ”

“วาฬน่าจะกินฝูงปลาอยู่เมื่อมันเผลอกลืนเรือคายัคเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ” เขาอธิบาย

“เมื่อวาฬโผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วขณะที่มันกำลังกินอาหารอยู่ มันอาจชนหรือกลืนวัตถุที่กีดขวางทางโดยไม่ได้ตั้งใจ”

เซบาตั้งข้อสังเกตว่า วาฬหลังค่อมมี “คอแคบ ขนาดประมาณท่อน้ำที่ใช้ในครัวเรือน ซึ่งมันออกแบบมาสำหรับการกลืนปลาและกุ้งขนาดเล็ก ดังนั้นจากกายภาพของมัน มันจึงไม่สามารถกลืนวัตถุขนาดใหญ่ เช่น เรือคายัค ยางรถยนต์ หรือแม้แต่ปลาตัวใหญ่ ๆ เช่น ทูน่า ได้”

ในที่สุด วาฬก็คายเรือคายัคออกมา เพราะเป็นไปไม่ได้เลยในทางกายภาพที่มันจะกลืนลงไป” เขากล่าว และยังเตือนด้วยว่าการเผชิญหน้าที่ไม่มีใครคาดคิดเช่นนี้ “เป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญ”

“ผู้คนไม่ควรเข้าใกล้พื้นที่ที่มีวาฬโดยใช้กระดานยืนพาย กระดานโต้คลื่น หรือเรือที่ไม่มีเสียง” เขากล่าวเตือน พร้อมเสริมว่า เรือที่ใช้ชมและวิจัยวาฬจะต้องติดเครื่องยนต์ไว้ตลอดเวลา เนื่องจากเสียงดังกล่าวจะช่วยให้ปลาวาฬตรวจจับการมีอยู่ของพวกเขาได้

“มันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความเคารพที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมัน ควรให้พวกมันสามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการแทรกแซงจากมนุษย์ที่ไม่จำเป็น”

รายงานเพิ่มเติมโดล ลูอิส บาร์รุชโช