มติรัฐสภา 303:151 ส่งตีตีความอำนาจทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่-จำนวนครั้งประชามติ

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
Article files
- Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Characteristic, ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติ 303 ต่อ 151 เสียง เห็นชอบให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจตัวเองในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่แกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) เสนอ
ขณะเดียวกันมีสมาชิกรัฐสภาอีก 120 คน ลงมติออกเสียง และอีก 1 คน ไม่ลงคะแนน ทั้งนี้ในส่วนของ
สส. ฝ่ายค้าน และ สว. บางส่วนที่คัดค้านการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความรอบที่ 3 เห็นว่า คำวินิจฉัยเดิมของศาลรัฐธรรมนูญชัดเจนแล้วว่าให้ทำประชามติ 2 ครั้ง พร้อมเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนว่าต้องการผลักดันนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
ญัตติขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ที่สมาชิก 2 สภาร่วมกันพิจารณามี 2 ญัตติ ทว่ามีเป้าประสงค์เดียวกัน
ญัตติแรก เสนอโดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. และประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) โดยมีเพื่อน สส. เพื่อไทยอีก 56 คนร่วมลงนามรับรอง
เรื่องแนะนำ
เรื่องแนะนำ
อีกญัตติ เสนอโดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ที่เรียกตัวเองว่า “สว. สีขาว” โดยมีทั้ง สว. และ สส. รวม 59 คนร่วมเซ็นรับรอง ในจำนวนนี้มีเลขาธิการพรรค พท. และเลขาธิการพรรคกล้าธรรมรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ญัตติของหมอเปรมเป็นวาระคงค้างตั้งแต่ในคราวประชุมร่วมรัฐสภา 13 ก.พ. แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากแพ้โหวตตอนมีผู้เสนอให้เลื่อนวาระขึ้นมาพิจารณาเป็นลำดับแรก ก่อนเกิดเหตุสภาล่มหลังจากนั้น 2 วันซ้อน
นี่ถือเป็นความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพรรค พท. เพื่อหาข้อยุติในข้อถกเถียงที่ว่าต้องทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้งกันแน่ ด้วยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาด นั่นทำให้นโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่จัดทำในบรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 อยู่ในภาวะ “ย่ำอยู่กับที่” มากว่า 1 ปีแม้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลมาแล้ว 2 คนก็ตาม
รัฐบาล “เศรษฐา” (ก.ย. 2566-ส.ค. 2567) กำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น 1 ใน 4 วาระเร่งด่วนของรัฐบาล โดยระบุถึง “การแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้คนไทยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น…”
ส่วนรัฐบาล “แพทองธาร” (ก.ย. 2567-ปัจจุบัน) แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้เพียงว่า “เร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด”

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
ทว่าข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติคือ รัฐบาลทั้ง 2 ชุดปล่อยให้การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เป็นเรื่องของพรรคการเมืองในสภา โดยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มิได้นำเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในนามรัฐบาลแต่อย่างใด
สิ่งที่พรรค พท. ทำในช่วงที่ผ่านมาคือ เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ต่อประธานรัฐสภา โดยมีร่างของพรรคก้าวไกล/พรรคประชาชนประกบด้วย ทว่าทั้ง 2 พรรคมีมุมมองแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องกระบวนการ โดยพรรคสีส้มยืนยันว่าสมาชิกรัฐสภาในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเดินหน้าพิจารณาร่างได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปถามหรือขออนุญาตตุลาการ “เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเปิดช่องให้ศาลรัฐธรรมนูญขยายอำนาจของตนเอง จนเสียสมดุลทางอำนาจ” ขณะที่พรรคสีแดงรับบท “หัวหอก” ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้เกิดความรอบคอบ ชัดเจน และสิ้นสงสัย หลังพบว่า สส. พรรคร่วมรัฐบาล และ สว. ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับและส่อว่าจะโหวตคว่ำร่างกลางสภา
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อ 11 มี.ค. 2564 ระบุตอนหนึ่งว่า “หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้วต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
คำวินิจฉัยดังกล่าวก่อให้เกิดข้อถกเถียงและการตีความหลากหลายว่า คำว่า “ออกเสียงประชามติเสียก่อน” ต้องทำในขั้นตอนไหน ก่อนเสนอร่างเข้ารัฐสภา หรือรัฐสภาเห็นชอบร่างแล้วถึงนำไปทำประชามติ และถูกนักการเมืองบางส่วนหยิบฉวยไปใช้เป็นเงื่อนไขในการ “ไม่ร่วมพิจารณา” หรือ “ประกาศคว่ำร่าง” แก้ไขมาตรา 256 โดยอ้างว่ากระบวนการของรัฐสภามิชอบด้วยกฎหมาย

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
คำถามถึงศาลรัฐธรรมนูญ
แม้ 2 ญัตติมีเป้าหมายปลายทางเดียวกันคือส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจของรัฐสภา แต่คำถามที่ส่งถึงไปสอบถามศาลนั้น มีความแตกต่างกัน
นพ.เปรมศักดิ์ ตั้ง 2 คำถาม ได้แก่
คำถามแรก “รัฐสภามีอำนาจพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมที่มีการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่มีการดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อนได้หรือไม่”
คำถามที่สอง “หากรัฐสภามีอำนาจพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้แล้ว การดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ สามารถกระทำภายหลังที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว โดยทำพร้อมกับการทำประชามติว่า ประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ ได้หรือไม่ อย่างไร”
นายวิสุทธิ์ มีคำถามข้อเดียวคือ “รัฐสภาจะพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยยังไม่ได้มีการทำประชามติว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่”

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
เหตุผลของฝ่ายหนุน-ฝ่ายค้านส่งศาล รธน. ตีความ
ก่อนการลงมติของรัฐสภา บรรดา สส. และ สว. ได้ใช้เวลากว่า 5 ชม. ในการอภิปรายสนับสนุนและคัดค้านการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นรอบที่ 3 หลังรัฐสภาเคยส่งศาลตีความแล้วในปี 2564 และล่าสุดในปี 2567 ซึ่งศาลไม่รับวินิจฉัย
เสียงฝ่ายสนับสนุน
สส. เพื่อไทยหลายคนกล่าวสนับสนุนญัตติของตัวเอง โดยปฏิเสธข้อกล่าวหา “เตะถ่วง” และ “ยื้อเวลา” แก้ไขรัฐธรรมนูญ และยืนยันว่า ไม่ได้ถามซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือสงสัยในอำนาจตัวเอง แต่ถ้ายังดื้อดึง หัวชนฝา จะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ที่ค้างอยู่ในระเบียบวาระ ก็มีแต่ตกกับตก
นายธีระชัย แสนแก้ว สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวว่า การถามศาลรอบนี้ เราถามอีกขั้นที่ล้ำหน้า ก้าวหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ถ้าเราถามก็เป็นความก้าวหน้า ถ้าไม่ถามก็เป็นการล้าหลัง เพราะยังไงมติก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว”
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ขยายความว่า เจตจำนงของเพื่อนสมาชิกส่วนหนึ่งไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าเดินหน้าพิจารณาร่างฯ แล้วถูกฟ้อง สิ้นสถานะสมาชิกภาพไป ใครจะรับผิดชอบ หรือถ้าดื้อพิจารณาร่างฯ แล้วไม่ได้ 67 เสียงก็ตก (เงื่อนไขกฎหมายกำหนดว่าต้องได้เสียงเห็นชอบจาก สว. 1/3 หรือ 67 จากวุฒิสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 199 คน) ต้องรอยื่นร่างใหม่ในสมัยประชุมต่อไป “กับการที่เราทำละมุนละม่อม ให้ศาลวินิจฉัย ถ้าศาลวินิจฉัยเป็นประโยชน์ก็เริ่มทำรัฐธรรมนูญใหม่ จบปีหน้า ถามว่าอะไรยื้อกว่ากัน”
นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ชี้ว่า ปัญหาและกำแพงที่เราเดินข้ามไม่ได้คือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญปี 2564 ที่สร้างความไม่ชัดเจน ส่วนที่มีการพูดกันว่าเป็นการ “เตะถ่วง” ส่วนตัวเชื่อว่าถ้าส่งศาลวันนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาพิจารณาไม่เกิน 1 เดือน กับอีกอันที่บอกว่าต้องเดินหน้า ส่วนตัวคิดว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ตก ก็ต้องมาเป็นวังวนอีก
“ผมเลือกเตะถ่วงข้างนอก ดีกว่าส่งรัฐธรรมนูญไปตกเสียชีวิต ถ้าผมจะถ่วงสัก 1 เดือนก่อน กับให้ตกเสียชีวิตสัปดาห์หน้า” นายสุทินกล่าว ก่อนพูดต่อไปว่าเป็นการเปรียบเทียบ เขาและพรรค พท. ไม่มีเจตนาเตะถ่วง แต่ต้องการให้ผ่าทางตันให้ได้ จึงต้องยอมรับให้ศาลชี้ให้ชัด ถ้าเสี่ยงเดินแบบเอาผ้ามัดตาอาจตกบ่อเสียชีวิต ดังนั้นจึงยอมเสียเวลา และเมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้ว เชื่อว่าจะได้วิธีแก้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง
“1 เดือน คงไม่ถึงขั้นเตะถ่วง อาจสะดุดนิดหนึ่ง แต่สะสุดเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกลับมา” นายสุทินกล่าว
นักการเมืองรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า หลายคนชอบอ้างไอน์สไตน์ว่าคนโง่ทำวิธีการเดิม ๆ แล้วหวังจะได้คำตอบใหม่ แต่พูดหรือคิดไม่หมด ตีความแบบนั้นไม่ได้ หากไอน์สไตน์ยังมีชีวิต จะถามว่า “ทำวิธีเดิม ๆ แต่ในบริบทใหม่ มันอาจจะได้คำตอบใหม่ แต่ถ้าทำวิธีเดิม ๆ ในบริบทเดิม แน่นอนไอนไสตน์พูดถูก”
คำกล่าวของนายสุทินเกิดขึ้นภายหลัง น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สมาชิกที่เรียกตัวเองว่า “สว. พันธุ์ใหม่” อภิปรายตอนหนึ่งว่า จะส่งญัตติถามศาลรัฐธรรมนูญอีกทำไม หรือจะให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยอีก ทั้งนี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ เคยกล่าวไว้ว่า มีแต่คนวิกลจริตที่ทำแต่สิ่งเดิมซ้ำ ๆ แล้วหวังผลที่แตกต่าง ดังนั้นอาจใช้เวลาอีกเดือนหรือหลายเดือนเพื่อรับคำตอบเดิมเหมือนปีที่แล้ว แบบนี้เป็นการยืดเยื้อแก้รัฐธรรมนูญ

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
เสียงฝ่ายคัดค้าน
ด้านสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความได้หยิบยกข้อมูลต่าง ๆ มาโน้มน้าวให้เพื่อนร่วมสภาเห็นว่าการทำประชามติ 2 ครั้งเพียงพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็น คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 6 คน, อินโฟกราฟิคสรุปคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ที่จัดทำโดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุถึงการทำประชามติ 2 ครั้ง, ผลการหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างประธาน กมธ.พัฒนาการเมือง สภาผู้แทนฯ กับประธานศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 21 พ.ย. 2567 พร้อมแสดงความกังวลว่าจะทำให้ดุลอำนาจทางการเมืองเสียไป ใครจะทำอะไรต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน จนกลายเป็น “ที่ปรึกษา” ไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นการเปิดประตูให้ฝ่ายตุลาการขยายอำนาจล่วงล้ำแดนเข้ามาในฝ่ายนิติบัญญัติ จนกลายเป็น “ตุลาการธิปไตย”
นอกจากนี้พวกเขายังเรียกร้องรัฐบาล “แพทองธาร” ให้แสดงเจตจำนงทางการเมืองในการผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ตั้งข้อสังเกตว่า มีสมาชิกบางคนไม่ได้สนใจหรือมีข้อกังวลด้านข้อกฎหมาย แต่ลึก ๆ แล้วไม่อยากเห็นการแก้รัฐธรรมนูญ จึงต้องพยายามหาข้อกังวลทางกฎหมาย หวังจะส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชะลอการจัดทำรัฐธรรมนูญ หวังดึงเทคนิค ทำให้ประชาชนลืมประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่สำเร็จ ไม่ใช่ “ข้อกังวลทางกฎหมาย” แต่คือ “การขาดเจตจำนงทางการเมือง”
เขาตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมานายกฯ แพทองธารได้ทำอะไรไปบ้างหรือยังเพื่อคลายข้อกังวลของพรรคร่วมรัฐบาล ด้งนั้นถ้าผู้เสนอญัตติจากพรรคแกนนำรัฐบาลคาดหวังว่าการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด อยากให้ทบทวนดี ๆ เพราะแม้ศาลรัฐธรรมนูญให้คำตอบชัดเจนว่าเราเดินหน้ากันต่อได้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า สส. พรรคร่วมรัฐบาล และ “สว. หัวใจเดียวกัน” จะโหวตสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร.
“ทางออกของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้นสิ่งที่รัฐสภาแห่งนี้สมควรต้องทำมากกว่าในวันนี้คือการส่งสัญญาณดัง ๆ ไปที่นายกฯ ให้แสดงภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นเจ้าภาพในการสร้างความเป็นเอกภาพของรัฐบาล เพื่อร่วมกันผลักดันนโยบายเรือธงของตนเองให้สำเร็จได้จริง” นายพริษฐ์กล่าว

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ย้อนคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาที่ว่า “จะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็ว” แต่ผ่านมา 6 เดือนยังไม่เห็น “เร่ง” และ “โดยเร็ว” มีเพียงนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่มีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ ครม. ดังนั้นในระหว่างทาง-ระหว่างรอ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงความจำเป็นในการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐบาลต้องใส่ใจในนโยบายตัวเอง
“มูฟออนเป็นวงกลม” ปมแก้ รธน. ในยุครัฐบาลเพื่อไทย?
ในเวลาเกือบครึ่งเทอมของรัฐบาลภายใต้การนำพรรคเพื่อไทย การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปิดทางสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ “มูฟออนเป็นวงกลม”
โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ใช้คำว่า “ความฝันในการมีรัฐธรรมนูญใหม่ของสังคมไทยยังคงวนกลมกลับมาที่เดิม” เมื่อรัฐบาล “เศรษฐา” ตัดสินใจตั้งคณะกรรมการศึกษาแทนที่จะเริ่มกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทันทีตามที่เคยประกาศไว้ และเมื่อพรรค พท. ลุกขึ้นมาเสนอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความระลอกล่าสุดนี้ สส. พรรคประชาชน ก็วิจารณ์ว่า “เป็นการย้อนวงรอบ ย้อนไปใช้คำถามแบบเดิมที่เราเคยได้คำตอบมาแล้ว”
บีบีซีไทยขอสรุปความเคลื่อนไหวสำคัญผ่านไทม์ไลน์นี้
- 11 ก.ย. 2566 รัฐบาล “เศรษฐา” แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยบรรจุวาระรัฐธรรมนูญเป็น 1 ใน 4 นโยบายเร่งด่วน “เพื่อให้คนไทยมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยยึดรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่แก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์”
- 13 ก.ย. 2566 นายกฯ เศรษฐา มีข้อสั่งการกลางที่ประชุม ครม. นัดแรก ให้ตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติ โดยไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
- 3 ต.ค. 2566 นายกฯ เศรษฐา ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 จำนวน 35 คน (ต่อมาถอนตัวไป 1 คน) มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน โดยภารกิจสำคัญของกรรมการชุดนี้คือ การหาข้อสรุปว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง และใช้คำถามว่าอะไร
- 25 ธ.ค. 2566 คณะกรรมการชุด “ภูมิธรรม” มีมติให้ทำประชามติ 3 ครั้ง ใช้งบราว 9,600 ล้านบาท ใช้คำถามประชามติครั้งแรกว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์” และเตรียมรายงานแนวทางต่อ ครม.
- 16 ม.ค. 2567 พรรค พท. โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พร้อม สส. อีก 122 คน ร่วมกันเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ต่อประธานรัฐสภา ทั้งนี้นายชูศักดิ์ให้ความเห็นว่าการทำประชามติ 2 ครั้งเพียงพอแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของพรรค ก.ก. เจ้าของร่างแก้ไขมาตรา 256 อีกฉบับ
- ต่อมา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งว่า ประธานสภาพิจารณาแล้วเห็นว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 จึงมิใช่ร่างแก้ไขเพิ่มเติมตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้” เมื่อ 11 มี.ค. 2564 ดังนั้นประธานรัฐสภาจึงไม่สามารถบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในระเบียบวาระได้
- 1 ก.พ. 2567 สส. พรรค พท. และพรรค ก.ก. ยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ประชามติ 2 ฉบับต่อประธานสภา เพื่อ “ปลดล็อก” หลักเกณฑ์การใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้นในการหาข้อยุติเรื่องที่ทำประชามติ
- 29 มี.ค. 2567 ที่ประชุมรัฐสภามีมติ 233:103 ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความจำนวนครั้งในการทำประชามติ ตามที่นายชูศักดิ์เสนอญัตติขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) หลัง สส. และ สว. ตีความแตกต่างกัน
- 17 เม.ย. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 7:0 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจาก “ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา และคำร้องมีสาระสำคัญเป็นเพียงข้อสงสัยและขอให้ศาลรัฐธรรมนูญอธิบายเนื้อหาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยโดยละเอียดและชัดเจนแล้ว”
- 23 เม.ย. 2567 ครม. “เศรษฐา” มีมติเห็นชอบรายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการชุด “ภูมิธรรม” ให้เดินหน้าทำประชามติ 3 ครั้ง ซึ่งนายภูมิธรรมชี้ว่า “เลือกทางที่ปลอดภัยที่สุด”

ที่มาของภาพ : พรรคเพื่อไทย
- 28 พ.ค. 2567 ครม. “เศรษฐา” อนุมัติร่าง พ.ร.บ.ประชามติฉบับรัฐบาล โดยสาระสำคัญคือให้ยกเลิก “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” แล้วเปลี่ยนไปใช้ “เสียงข้างมาก” ของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงหาข้อยุติเรื่องที่ทำประชามติ โดยมีร่างกฎหมายประชามติของ 3 พรรคการเมืองเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาในคราวเดียวกัน ได้แก่ ฉบับเพื่อไทย, ก้าวไกล, ภูมิใจไทย
- 14 ส.ค. 2567 นายกฯ เศรษฐา พ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต. โดยศาลชี้ว่า “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
- 16 ส.ค. 2567 ที่ประชุมสภามีมติ 319:145 เสียง เห็นชอบให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ คนใหม่
- 21 ส.ค 2567 ที่ประชุมสภามีมติเป็นเอกฉันท์ 409:0 เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประชามติ โดยพรรค พท. เผยแพร่ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียของพรรคว่า “เปิดแล้วประตูบานแรกแก้รัฐธรรมนูญ” ก่อนส่งร่างให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป
- 12 ก.ย. 2567 รัฐบาล “แพทองธาร” แถลงนโยบายต่อรัฐสภาว่า “รัฐบาลจะเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็วที่สุด…”
- 30 ก.ย. 2567 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ 167:19 เห็นชอบร่าง พ.รบ.ประชามติ ในวาระ 3 ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภา ที่มี “สว. สีน้ำเงิน” เป็นประธาน เสนอแก้ไข โดยกลับไปใช้ “เสียงข้างมาก 2 ชั้น” หาข้อยุติการทำประชามติที่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ สว. เคยรับหลักการร่างของสภาในวาระ 1 แต่มา “กลับหลักการ” ในชั้น กมธ. ระหว่างพิจารณาวาระ 2 และ 3 ทำให้ต้องตั้ง กมธ. ร่วมพิจารณาร่างกฎหมายนี้ ก่อนส่งให้แต่ละสภาพิจารณา
- 17 ธ.ค. 2567 ที่ประชุมวุฒิสภามีมติ 153:24 เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่ผ่านการพิจารณาของ กมธ. ร่วมฯ (ให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น)
- 18 ธ.ค. 2567 ที่ประชุมสภา มีมติ 326:61 ไม่เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.ประชามติ ที่ผ่านการพิจารณาของ กมธ. ร่วมฯ (ให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น) ทำให้ร่างนี้ถูกแขวนไว้ 180 วันก่อนที่สภาล่างจะนำร่างดั้งเดิมของตนกลับมายืนยันได้

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
- 8 ม.ค. 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) 3 ฝ่าย ประกอบด้วย รัฐบาล, ฝ่ายค้าน, วุฒิสภา เห็นพ้องให้เลื่อนการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรวม 17 ฉบับ (แก้ไขรายมาตรา) ออกไปอีก 1 เดือน จากเดิมประธานรัฐสภานัดหมายไว้ 14-15 ม.ค. โดยก่อนหน้านี้ทั้งพรรค พท. และพรรค ปชน. ได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต่อประธานรัฐสภาด้วย
- 13 ก.พ. 2568 ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ฉบับพรรค พท. และฉบับพรรค ปชน. โดยประธานวันนอร์ยอมบรรจุระเบียบวาระ ตามคำแนะนำของคณะกรรมการประสานงานและเสนอความเห็นเพื่อประกอบการวินิจฉัยของประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังได้ “ข้อมูลใหม่” จากนายพริษฐ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. หลัง สส. รายนี้พูดคุยนอกรอบกับประธานศาลรัฐธรรมนูญและนำคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาเสนอ โดย 6 จาก 9 ตุลาการเห็นว่าการทำประชามติ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
- ในระหว่างนี้ ได้เกิดวาระสอดแทรกเข้ามา เมื่อ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. เสนอญัตติด่วนกลางที่ประชุม ขอให้รัฐสภาส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) แต่ที่ประชุมรัฐสภามีมติ 275:247 ไม่เห็นด้วยที่จะเลื่อนญัตติของ สว. รายนี้ขึ้นมาพิจารณาก่อน จึงต้องรอต่อคิวพิจารณาต่อจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 2 ฉบับ ทั้งนี้ระหว่างประชุม สส. พรรคภูมิใจไทย และ สว. “สีน้ำเงิน” ได้ทยอยวอล์กเอาท์-ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย ก่อนที่สมาชิกจะเสนอให้นับองค์ประชุม ซึ่งปรากฏว่ามีผู้กดบัตรแสดงตนเพียง 204 คน จากสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ 692 คน (สส. 493 คน และ สว. 199 คน) โดย สส. รัฐบาลแม้อยู่ในห้อง แต่ก็ไม่ยอมกดบัตรแสดงตน เมื่อเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงถือว่าองค์ประชุมไม่ครบ ต้องปิดประชุมในเวลา 12.03 น.
- 14 ก.พ. ประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ต่อเป็นวันที่สอง ทว่าเมื่อนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. เตรียมเสนอหลักการร่างของตน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรค พท. ก็เสนอให้ตรวจสอบองค์ประชุม ทำให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวาง จนประธานต้องสั่งพักการประชุม 20 นาที และเมื่อกลับเข้าห้องประชุม ประธานได้สั่งตรวจสอบองค์ประชุมพบว่ามีสมาชิกกดบัตรแสดงตน 176 คน เมื่อองค์ประชุมไม่ครบ จึงสั่งปิดการประชุมในเวลา 10.47 น.
- 17 มี.ค. 2568 ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติ 303:151 ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง เสนอโดย สส. วิสุทธิ์ และ สว. เปรมศักดิ์
ที่มา: บีบีซีไทยรวบรวม

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix

ที่มาของภาพ : Thai Info Pix
ที่มา BBC.co.uk