เปิดรายงานจากสากลโลก พบเจออะไรบ้างเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ในซินเจียง

ตั้งแต่วันนี้ (18 มี.ค.) จนถึง 21 มี.ค. คณะผู้แทนระดับสูงฝ่ายไทย รวมถึงสื่อมวลชนบางส่วนได้เดินทางไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำแถลงของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นี่คือการแสดงความโปร่งใส และเพื่อตรวจสอบว่า สภาพความเป็นอยู่ของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ไทยส่งกลับไปให้จีนนั้นเป็นอย่างไร

นับตั้งแต่ไทยตัดสินใจส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 คน ไปยังประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา รัฐบาลต้องเผชิญกับการกดดันทางการทูตระหว่างประเทศจากหลากหลายทิศทาง

สภายุโรปมีมติประณามไทย เมื่อวันที่ 13 มี.ค. โดยระบุว่า การส่งกลับชาวอุยกูร์ดังกล่าวถือเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เผยแพร่แถลงการณ์ของนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เลือกใช้มาตรการจำกัดด้านวีซ่ากับเจ้าหน้าที่รัฐของไทยที่เกี่ยวข้อง

หลายฝ่ายต่างหวังกันว่าคณะเดินทางครั้งนี้จะสามารถไขข้อข้องใจให้กับชาวไทยและชาวโลกได้ว่าการส่งชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับจีนเป็นเรื่องน่ายินดีจริงอย่างที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวไว้หรือไม่ และความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่

บีบีซีไทยรวบรวมข้อค้นพบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ จากรายงานของสถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมถึงรายงานข่าวของบีบีซีเอง เพื่อดูว่าจากข้อมูลและรายงานที่ปรากฏต่อสาธารณชนในปัจจุบัน สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนเป็นอย่างไร

การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง

รายงานการประเมินข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อ 31 ส.ค. 2022 ชี้ชัดว่า “มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ภายใต้บริบทของการบังคับใช้ยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายและต่อต้าน “ลัทธิสุดโต่ง” ของรัฐบาลจีน” โดยข้อค้นพบจากรายงานฉบับนี้ อาจสรุปแบ่งได้เป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่นับถือศาลนาอิสลาม นิกายซุนนี
  • การควบคุมตัวโดยพลการและการกักขังในวงกว้าง

รายงานของ OHCHR ฉบับดังกล่าว ระบุว่า ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาชาวอุยกูร์ถูกเชื่อมโยงจากรัฐบาลจีนว่ามีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน เป็นผู้ก่อการร้าย และเป็นกลุ่มผู้มีความคิดสุดโต่ง ทำให้ในเดือน พ.ค. 2014 รัฐบาลจีนออกมาตรการ “ปราบปรามขั้นเด็ดขาด” (Strike Hard) เพื่อแก้ปัญหา

มาตรการดังกล่าวนี้นำไปสู่การกักขังผู้คนอย่างไม่เหมาะสม เมื่อทำการศึกษาและสัมภาษณ์ชาวอุยกูร์ในซินเจียงที่เคยถูกคุมขังมาก่อน OHCHR พบว่า ผู้ที่ถูกควบคุมตัวจะถูกกักตัวไว้ที่สถานีตำรวจก่อน และถูกสอบสวนเป็นเวลานาน โดยไม่ได้รับอนุญาตให้พบหรือปรึกษากับทนายความ

จากนั้นพวกเขาก็จะถูกส่งตัวไปยัง “ศูนย์การศึกษาและฝึกอาชีพ” (Vocational Education and Coaching Centre) โดยไม่มีผู้ใดที่สามารถออกไปจากศูนย์ได้ และไม่มีการระบุว่าพวกเขาแต่ละคนจะถูกกักตัวเป็นระยะเวลาเท่าใด

ผู้ให้สัมภาษณ์กับ OHCHR ระบุว่า ระยะเวลาในการถูกกักตัวมีตั้งแต่ 2 -18 เดือน ทุกคนระบุสอดคล้องกันว่าศูนย์เหล่านี้มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ผู้ถูกสัมภาษณ์บางคนได้รับอนุญาตให้พบญาติหรือติดต่อครอบครัวได้บ้าง ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับอนุญาต และครอบครัวก็ไม่ทราบที่อยู่ของพวกเขา

  • การทรมาน การปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม และความรุนแรงทางเพศ

รายงานดังกล่าวของ OHCHR พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมด้วย เช่น การขังเดี่ยว การจับกดน้ำ การเฆี่ยนตี การบังคับให้รับยา และการล่วงละเมิดทางเพศ

ในปี 2021 บีบีซีได้สัมภาษณ์อดีตชาวอุยกูร์ผู้ถูกคุมขังในซินเจียงเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งลี้ภัยไปยังสหรัฐอเมริกาแล้ว อย่าง ทูร์ซูไน ซิยาวูดูน ที่เล่าว่า ผู้หญิงในศูนย์เหล่านี้ต่างถูกทรมานและข่xขืx อีกทั้งยังถูกบังคับให้ต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพที่ปราศจากคำอธิบายใด ๆ รวมถึงถูกบังคับให้กินยาบางอย่างและถูกฉีด “วัคซีน” อย่างไม่เต็มใจทุก ๆ 15 วัน ซึ่งทำให้พวกเธอรู้สึกคลื่นไส้และด้านชา

บีบีซีตรวจสอบเรื่องราวของซิยาวูดูนเท่าที่เป็นไปได้ แม้ทางการจีนจะจำกัดเสรีภาพสื่ออย่างเข้มงวด และพบว่าคำให้การของเธอสอดคล้องกับคำบอกเล่าของอดีตผู้ถูกคุมขังรายอื่น ๆ

ทูร์ซูไน ซิยาวูดูน กล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้แค่ข่xขืx แต่ยังกัดไปทั่วทั้งตัวจนคุณไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นคนหรือสัตว์กันแน่”

บีบีซียังได้สัมภาษณ์หญิงชาวคาซัคอีกหนึ่งคนที่ถูกคุมตัวเป็นเวลา 18 เดือน เธอกล่าวว่า เธอถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้าของหญิงชาวอุยกูร์คนอื่น ๆ ออกจนหมด จากนั้นก็ใส่กุญแจมือพวกเธอ ก่อนจะปล่อยหญิงเหล่านั้นไว้กับชายชาวจีน หลังจากนั้น เธอมีหน้าที่เข้าไปทำความสะอาด

ผู้หญิงหลายคนที่ให้สัมภาษณ์กับ OHCHR ในรายงานฉบับเดียวกันนี้ ได้กล่าวถึงการบังคับให้ใส่ห่วงอนามัย (Intra Uterine Instrument – IUD) และอาจรวมถึงการทำหมันโดยบังคับ ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้หญิงชาวอุยกูร์และชาวคาซัคที่เป็นชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์

  • การละเมิดเสรีภาพทางศาสนาและวัฒนธรรม

จากข้อค้นพบของรายงาน OHCHR ชาวอุยกูร์ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม นิกายซุนนี ถูกควบคุมด้วยกฎหมายและข้อบังคับด้านศาสนาที่เข้มข้นกว่าพื้นที่อื่น ๆ ทั่วไปของจีนมาก อาทิ กิจกรรมทางศาสนาได้รับอนุญาตแค่เฉพาะในสถานที่ที่รัฐบาลอนุมัติแล้วเท่านั้น ต้องดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเท่านั้น และบนพื้นฐานของคำสอนและสิ่งพิมพ์ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลแล้วเท่านั้น

รายงานจาก OHCHR ชี้ว่า รัฐบาลจีนระบุว่ามาตรการทั้งหมดนี้เป็นการสนับสนุนแนวคิด “อิสลามในแบบฉบับของจีน” ซึ่งยังคงยึดมั่นในหลักความเชื่อหลักของศาสนา แต่ถูกปรับให้เข้ากับสังคมจีน และสามารถมีบทบาทเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน

รายงานจาก OHCHR ยังระบุด้วยว่า มีการทำลายสถานที่ทางศาสนาอิสลามจำนวนมาก อาทิ มัสยิด ศาลเจ้า และสุสาน ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ โดยเฉพาะในช่วงมาตรการ “ปราบปรามขั้นเด็ดขาด” (Strike Hard) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 2014 และรุนแรงขึ้นอย่างมากระหว่างปี 2016-2019 โดยยังไม่มีรายงานว่ามาตรการนี้สิ้นสุดลง

นักวิจัยจาก OHCHR ซึ่งอาศัยการศึกษาผ่านภาพถ่ายดาวเทียม ยังพบด้วยว่า มัสยิดจำนวนมากถูกทำลายหรือถูกดัดแปลงให้สูญเสียเอกลักษณ์ทางศาสนา อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียมระหว่างปี 2017-2020 ที่แสดงให้เห็นถึงภาพของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อิหม่ามอาซิม (Imam Asim Shrine) ซึ่งเคยเป็นสถานที่แสวงบุญของชาวอุยกูร์และชุมชนมุสลิมอื่น ๆ ถูกทุบทิ้งจนหมดสิ้น

ที่มาของภาพ : OHCHR

ภาพเปรียบเทียบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อิหม่ามอาซิมในปี 2012 กับ ปี 2020 ที่ไม่มีซากอาคารหลงเหลือให้เห็นอีกต่อไป
  • การบังคับใช้แรงงาน

รายงานจาก OHCHR ระบุด้วยว่ารัฐบาลจีนได้ดำเนินโครงการแรงงานและการจ้างงานเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในซินเจียง อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงโครงการเหล่านี้กับนโยบายต่อต้าน “ลัทธิสุดโต่ง” ซึ่งทำให้แรงงานชาติพันธุ์อุยกูร์และกลุ่มมุสลิมอื่น ๆ อาจถูกบังคับให้เข้าร่วมโดยไม่ได้สมัครใจ โดยผู้ศึกษาพบว่า มีแผนโยกย้ายบุคคลจำนวน 100,000 คน จากการฝึกอบรมวิชาชีพเข้าสู่การจ้างงานพร้อมทั้งเสนอมาตรการอุดหนุนทางการเงินจำนวนมากแก่บริษัทที่ยินดีจ้าง “นักเรียน” เหล่านี้

แม้รัฐบาลจีนจะบอกว่านี่เป็นโครงการที่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ทว่าผู้ที่เคยถูกกักขังในศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพบอกกับ OHCHR ว่า พวกเขาต้องทำงานภายในศูนย์ฯ ในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการ “จบหลักสูตร” โดยไม่มีทางเลือกที่จะปฏิเสธ เพราะเกรงว่าหากปฏิเสธอาจถูกกักตัวในศูนย์ฯ ต่อไปเป็นเวลานานขึ้น

ภาพจากภายใน “ศูนย์การศึกษาและฝึกอาชีพ”

ในปี 2021 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เผยแพร่รายงานที่มีชื่อว่า “ราวกับเราคือศัตรูในสงคราม” การกักขังหมู่ การทรมาน และการกดขี่ชาวมุสลิมในซินเจียงของจีน ซึ่งระบุว่า จากการศึกษาพื้นที่ซินเจียงระหว่างปี 2019 ถึงกลางปี 2021 พบว่า ผู้ที่ถูกคุมขังในสถานที่ที่ควรเป็นศูนย์ฝึกอาชีพกลับถูกลิดรอนสิทธิในการดำรงอยู่ขั้นพื้นฐานของมนุษย์

ผู้ที่เคยถูกคุมขังต่างบอกว่า สถานที่แห่งดังกล่าวไม่มีอาหาร น้ำดื่ม การรักษาพยาบาล และสุขอนามัยที่เพียงพอและได้มาตรฐานให้กับผู้ที่ถูกกักขัง ไม่มีแม้กระทั่งอากาศบริสุทธิ์และแสงธรรมชาติ

ในตอนที่มีการเปิดตัวรายงานฉบับนี้ อักแนส คาลามาร์ด เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวหาทางการจีนว่าได้ “สร้างภูมิทัศน์นรกดิสโทเปีย (dystopian hellscape) ในระดับที่น่าตกตะลึง”

“เป็นเรื่องที่ควรทำให้มนุษยชาติต้องตระหนักว่า ผู้คนจำนวนมหาศาลถูกล้างสมอง ทรมาน และถูกปฏิบัติอย่างไร้ศักดิ์ศรีในค่ายกักกัน ขณะที่อีกหลายล้านคนต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ท่ามกลางระบบเฝ้าระวังขนาดมหึมา” คาลามาร์ด กล่าว

เปิดแฟ้มลับตำรวจซินเจียง: ยัดข้อหาตามอำเภอใจ-ยิvได้หากมีชาวอุยกูร์หลบหนี

ในรายงานพิเศษของบีบีซีเมื่อปี 2022 ซึ่งอ้างอิงจากแฟ้มข้อมูลลับที่ถูกเรียกว่า “แฟ้มตำรวจซินเจียง” (Xinjiang Police Recordsdata) บีบีซีพบการ “ยัดข้อหา” ให้กับชาวอุยกูร์ อย่างไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรม ในแฟ้มข้อมูลที่ถูกแฮ็กออกมามีรูปชาวอุยกูร์มากกว่า 5,000 รูป ที่ถ่ายช่วงเดือน ม.ค. ถึง ก.ค. ปี 2018 หลังจากตรวจสอบเพิ่มเติม บีบีซีพบว่ามีอย่างน้อย 2,884 คนที่ถูกกักขังอยู่ในซินเจียงจริง

บีบีซีพบว่า มีหลายคนถูกกักขังด้วยข้อหาที่ตามมาตรฐานสากลไม่ควรจะเป็นความผิด เช่น เพราะแสดงออกว่านับถือศาสนาอิสลาม หรือเพราะเดินทางไปประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม

มีกรณีตัวอย่างเช่น ทาจิกุล ทาฮีร์ อายุ 60 ปี ถูกกักขังเพื่อเข้ารับการศึกษาใหม่ เมื่อเดือน ต.ค. ปี 2017 หลังถูกกล่าวหาว่า “สอนศาสนาโดยผิดกฎหมาย” ขณะที่ลูกชายของเธอถูกลงโทษในฐาน “มีความเชื่อทางศาสนาอย่างรุนแรง” เพียงเพราะเขาไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่สูบบุหรี่ เป็นผลทำให้เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 10 ปีด้วยข้อหาก่อการร้าย

ทาจิกุล ทาฮีร์ อายุ 60 ปี ถูกกักขังหลังถูกกล่าวหาว่า “สอนศาสนาโดยผิดกฎหมาย”

ข้อมูลรายชื่อผู้คนและ “ความผิด” ของพวกเขาจากแฟ้มลับนี้ ยังมีตัวอย่างการลงโทษที่ไม่เป็นธรรมหลายกรณี อาทิ ชายคนหนึ่งถูกจำคุก 10 ปี ในปี 2017 เพียงเพราะในอดีตเคย “เรียนคัมภีร์ศาสนาอิสลามกับย่าของเขา”

มีคนอื่น ๆ อีกที่ถูกตัดสินจำคุกนับ 10 ปี โทษฐานที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือสื่อสารมากพอ โดยมีมากกว่าร้อยกรณีที่โดนลงโทษเพราะ “เงินในมือถือหมด” ซึ่งทางการจีนบอกว่าเป็นสัญญาณว่าบุคคลดังกล่าวพยายามหลบหลีกการสอดส่องของรัฐ

นอกจากรูปภาพของผู้ถูกคุมขัง แฟ้มตำรวจซินเจียงยังมีเอกสารอีกชุดหนึ่งที่เผยให้เห็นว่าสถานที่ที่จีนพยายามบอกว่าเป็นโรงเรียนฝึกอาชีพเหล่านี้ ที่จริงมีสถานะเป็นเหมือนเรือนจำมากกว่า

ภาพส่วนหนึ่งจาก “แฟ้มตำรวจซินเจียง” ซึ่งถูกแฮ็กออกมาได้
ภาพเอกสารที่บีบีซีได้รับจาก “แฟ้มตำรวจซินเจียง”

คู่มือปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยภายใน “โรงเรียนฝึกอาชีพ” ที่รัฐบาลจีนอ้าง ยังระบุถึงการให้เจ้าหน้าที่พกอาวุธในทุกพื้นที่ในค่าย และยังมีการวางปืนกลและปืนไรเฟิลบนหอตรวจการด้วย เอกสารที่บีบีซีได้เห็นระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อมีการส่งสัญญาณเตือนภัย เจ้าหน้าที่จะต้องปิดเส้นทางโดยรอบทันที อาคารทุกแห่งต้องถูกล็อกอย่างแน่นหนา และส่งหน่วยตำรวจติดอาวุธเฉพาะกิจของค่ายเข้าไปจัดการ

พร้อมมีรายละเอียดที่ระบุด้วยว่า หากยิvเตือนแล้ว แต่ “นักเรียน” ยังพยายามหลบหนี เจ้าหน้าที่สามารถ “ยิvให้เสียชีวิต” ได้

เอกสารจาก “แฟ้มตำรวจซินเจียง” ซึ่งมีใจความแปลเป็นภาษาไทยว่า “หากนักเรียนไม่ตอบสนองต่อการยิvเตือนและยังคงพยายามหลบหนี ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดอาวุธยิvเพื่อสังหาร”

โรงเรียนล้างสมองในซินเจียง ?

บีบีซีได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมชมสถานที่ที่ทางการจีนระบุว่า เป็น “ศูนย์ฝึกอบรม” ในปี 2019

ย้อนกลับไปในปี 2019 บีบีซีได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ่ายทำเรื่องราวในอาคาร ซึ่งเชื่อว่าเป็นสถานที่ควบคุมตัวชาวมุสลิมหลายแสนคนในภูมิภาคซินเจียงทางตะวันตกของจีน ที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และไม่ค่อยเปิดให้คนภายนอกเข้าไปเยือน

แม้รัฐบาลจีนอ้างว่าสถานที่เหล่านี้เป็นศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพ แต่บีบีซีพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีการควบคุมและกดดันให้เปลี่ยนแนวคิดของผู้ถูกกักขัง

บีบีซีพบว่ากระบวนการที่ชาวมุสลิมในซินเจียง ทั้งชาวอุยกูร์ คาซัค และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ต้องทำเพื่อเปลี่ยนแนวคิด คือต้องท่องจำภาษาจีนและกฎหมายที่จำกัดการปฏิบัติกิจทางศาสนา ต้องเลิกเชื่อถือศรัทธาและรักษาวัฒนธรรม แต่หันไปยึดมั่นอย่างอื่นแทน

กระบวนการเหล่านี้สอดคล้องกับรายงานจากแอมเนสตี้ฯ ฉบับปี 2021 ที่สัมภาษณ์ผู้ที่เคยถูกกักขังซึ่งระบุว่าการพูดภาษาถิ่นอื่น ๆ นอกจากภาษาจีนแมนดารินจะนำไปสู่การถูกทำร้าย

อดีตผู้ที่ถูกคุมขังคนหนึ่งบอกกับเจ้าหน้าที่ของแอมเนสตี้ฯ ว่า เธอคิดว่าเป้าหมายหลักของศูนย์ศึกษานี้คือการทำลายความเชื่อทางศาสนาของชาวอุยกูร์ และเปลี่ยนให้พวกเขากลมกลืนกับประชากรหลักของประเทศ

การสัมภาษณ์เพิ่มเติมของบีบีซีกับอดีตผู้ถูกกักขังที่หนีออกมาได้ แล้วลี้ภัยไปยังประเทศที่สามต่างก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือศูนย์ศึกษาเหล่านี้ทำให้ผู้ที่ถูกกักขังมองว่าตนเองไม่มีทางเลือก และอยู่รอดไม่ได้หากปราศจากพรรคคอมมิวนิสต์

  • เอกสารที่รั่วออกมาเผยวิธีที่จีนใช้ “ล้างสมอง” ชาวอุยกูร์ในค่ายกักกัน
  • เกิดอะไรขึ้นในค่าย ‘เปลี่ยนแนวคิด' ในจีน

จีนและรัฐบาลไทย ยืนยันไทยทำถูกแล้ว

ในการตอบคำถามต่อสื่อท้องถิ่นในจีนเมื่อวันที่ 17 มี.ค. เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตอบโต้มาตรการระงับวีซ่าผู้ที่เกียวข้องโดยสหรัฐฯ ที่มีต่อไทยโดยระบุว่า ทั้งจีนและไทยต่างก็ปฏิบัติตามกฎหมายของทั้งสองชาติ และปฏิบัติตามหลักสากล

“ผู้มีสัญชาติจีนทั้ง 40 คน ที่ได้รับอิทธิพลผิด ๆ ข้ามพรมแดนเข้าไทยอย่างผิดกฎหมาย และติดค้างอยู่ในประเทศเป็นเวลากว่าทศวรรษก่อนจะถูกควบคุมตัว รัฐบาลจีนมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการคุ้มครองพลเมืองของตน ช่วยให้พวกเขาได้กลับมาพบกับครอบครัว และกลับคืนสู่ชีวิตปกติ”

เหมา หนิง ยังโต้กลับสหรัฐฯ ที่ “ใช้มาตรการกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด” เอง แต่กลับมาวิพากษ์วิจารณ์และใส่ร้ายประเทศอื่นที่ดำเนินความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ และยังคว่ำบาตรและกดดันประเทศเหล่านั้น ซึ่งถือว่าเป็น “การกลั่นแกล้งอย่างสิ้นเชิง”

ที่มาของภาพ : handout

เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประณามสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการกดดันไทย

ส่วนรัฐบาลไทย มีความพยายามในการยืนยันจากทุกระดับตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมาว่า ภารกิจที่มีชื่อว่า “11 ปีที่เป็นไปได้สู่บ้านเกิด” นั้น ไม่มีการละเมิดสิทธิ และจะไม่มีการดำเนินคดีต่อชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับจากไทย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุเมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า อยากขอให้ทุกประเทศมั่นใจว่าไทยปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ และการเดินทางครั้งนี้พร้อมกับสื่อเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกส่งกลับมานั้น ก็เป็นไปเพื่อทำให้ความจริงปรากฏต่อนานาอารยประเทศ

อย่างไรก็ดี เมื่อมีการเปิดเผยกำหนดการของคณะเยี่ยมเยียนครั้งนี้จากไทย สื่อท้องถิ่นรายงานอ้างอิงนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ระบุว่า เนื่องจากพื้นที่ในซินเจียงมีขนาดใหญ่มาก และคณะเดินทางก็มีเวลาจำกัด จึงคาดว่าอาจจะได้พบกับชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปราว 5 คนจาก 40 คน และจะได้พบกับชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับประเทศในปี 2557 จำนวน 1 คน จากที่ขอไป 2 คน

เขาทิ้งท้ายว่า หากมีการตกหล่นอย่างไร สามารถส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบินไปติดตามผลอีกครั้งได้ ในอีกหนึ่งเดือนจากนี้