เปิดที่มาหนังสือและภาพยนตร์ “ชะตากรรมโลกไม่ลืม” วีรกรรมของออสการ์ ชินด์เลอร์ ผู้ช่วยชีวิตชาวยิวนับพันคน

ที่มาของภาพ : Alamy

Article data

  • Creator, เกร็ก แม็กเควิตต์
  • Role, บีบีซี คัลเจอร์

เมื่อพวกนาซีลงมือ “กวาดล้าง” ชุมชนแออัดชาวยิวในเมืองคราคุฟ (Kraków) ของโปแลนด์เป็นครั้งสุดท้าย ในวันที่ 13 มี.ค. 1943 การกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนนี้ ได้ทำให้นักธุรกิจเจ้าของโรงงานผู้หนึ่งตื่นตระหนกอย่างยิ่ง จนเขาถึงกับตัดสินใจเข้ารับหน้าที่ผู้ช่วยชีวิตชาวยิวกลุ่มดังกล่าว

เหตุการณ์ข้างต้นถูกถ่ายทอดลงในนวนิยาย “เรือของชินด์เลอร์” (Schindler's Ark) ที่เขียนโดยโทมัส เคนีลลี รวมทั้งได้รับการถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ “ชะตากรรมที่โลกไม่ลืม” (Schindler's List) โดยผู้กำกับมือทองสตีเวน สปีลเบิร์กอีกด้วย อย่างไรก็ตามในปี 1982 เคนีลลีได้ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า เขาได้รับเอกสารที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของออสการ์ ชินด์เลอร์ เป็นครั้งแรก เมื่อตอนที่ได้พบกับคนขายกระเป๋าเอกสารผู้หนึ่งเข้าโดยบังเอิญ

ก่อนที่วีรกรรมของออสการ์ ชินด์เลอร์ จะกลายเป็นข่าวครั้งแรกทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีในปี 1964 เขาใช้ชีวิตเงียบ ๆ นอกสายตาของสาธารณชนมาโดยตลอด จนรายการข่าวประจำวัน Tonight ออกอากาศรายงานของแม็กนัส แม็กนุสซัน นักข่าวบีบีซีที่บอกกับผู้ชมว่า “คุณอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่วันหนึ่งคุณจะได้รู้จักเขาแน่ ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในเยอรมนี ทั้งกำลังล้มป่วยไม่มีเงินและไม่มีงานทำ อันที่จริงเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากการกุศล แต่ไม่ใช่เงินบริจาคหรืออะไรทำนองนั้น”

“เงินที่ช่วยเกื้อหนุนตัวเขาและครอบครัวอยู่ในทุกวันนี้ มาจากชาวยิว 1,300 คน ที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลายคนให้สัญญาว่าจะมอบเงินค่าแรงหนึ่งวันของตนเองให้กับเขาทุกปี ชายผู้นี้ถูกเรียกขานด้วยฉายา “สคาร์เล็ต พิมเพอร์เนล” (Scarlet Pimpernel) ซึ่งหมายถึงวีรบุรุษนิรนามผู้ช่วยชีวิตแห่งค่ายกักกันนาซี”

เรื่องราวของชินด์เลอร์ได้ออกข่าวทางสถานีโทรทัศน์บีบีซีในวันดังกล่าว เพราะก่อนหน้านั้นไม่นาน บริษัทภาพยนตร์ฮอลลีวูดแห่งหนึ่งได้ประกาศว่ากำลังจะสร้างหนัง “จนถึงชั่วโมงสุดท้าย” (To the Closing Hour) จากชีวประวัติของชินด์เลอร์ ซึ่งที่มาของโครงการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ เกิดจากการที่เมื่อไม่กี่ปีก่อน พอลเด็ก เฟฟเฟอร์เบิร์ก ผู้รอดชีวิตจากการฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ได้บอกเล่าเรื่องราวอันเหลือเชื่อให้มาร์ติน กอช ผู้สร้างภาพยนตร์ของค่ายเอ็มจีเอ็ม (MGM) ได้ฟัง

and proceed readingเรื่องแนะนำ

Terminate of เรื่องแนะนำ

เฟฟเฟอร์เบิร์กเล่าว่าเขาเป็นหนึ่งในชาวยิวหลายพันคน ที่ได้รับการช่วยชีวิตจาก “พ่อค้าสงคราม” ผู้แสวงหาผลกำไรจากความรุนแรงของพวกนาซี เขาผู้นี้หล่อเหลา เจ้าชู้ และขี้เมาอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นนักเจรจาต่อรองจอมเจ้าเล่ห์เพทุบายที่มาจากเชโกสโลวาเกียอีกด้วย แต่ถึงกระนั้น ในอดีตเขาก็เคยก่อวีรกรรมที่น่าชื่นชมยกย่องมาแล้วหลายครั้ง

ในระหว่างที่โครงการสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของชินด์เลอร์เรื่องแรก มีอันต้องสะดุดหยุดลงและถูกแช่แข็งเอาไว้นานหลายปี เฟฟเฟอร์เบิร์กกลับมีโอกาสได้พบกับนักเขียนชาวออสเตรเลียผู้หนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาทั้งสองคน

โทมัส เคนีลลี กำลังฆ่-าเวลาในช่วงสุดท้ายของการเดินทางโปรโมตหนังสือของเขาที่นครลอสแอนเจลีสของสหรัฐฯ โดยเขาเล่าถึงตอนนั้นว่า “งานโปรโมตหนังสือของผม ถูกสำนักพิมพ์จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ชนิดที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน ที่โรงแรมหรูย่านเบเวอร์ลีฮิลส์” หลังจากนั้นเคนีลลีใช้เวลาว่างที่เหลืออยู่ก่อนเดินทางกลับบ้านที่นครซิดนีย์ เดินเที่ยวชมสินค้าเพื่อมองหากระเป๋าเอกสารใบใหม่ โดยเขาเล่าไว้ในรายการ Desolate tract Island Discs ของบีบีซี เมื่อปี 1983 ว่าดังนี้

“เจ้าของร้านเครื่องหนังซึ่งดูเหมือนจะเป็นสุภาพบุรุษชาวยุโรปกลาง ออกมาต้อนรับและพยายามขายสินค้าให้ผมด้วยเทคนิคจูงใจสารพัดแบบ ซึ่งกระเป๋าเอกสารของเขาก็ผลิตได้ดีมากจริง ๆ สมคำโฆษณา ดังนั้นในระหว่างที่ผมรอจ่ายเงินจากบัตรเครดิต ซึ่งทำได้ช้ามากเพราะเป็นบัตรของออสเตรเลีย เจ้าของร้านที่ดูเหมือนจะรู้ดีอยู่แล้วถึงความเชื่องช้าของบัตรใบนี้ จึงเริ่มพูดคุยฆ่-าเวลากับผม เกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในช่วงสงคราม”

“เจ้าของร้านรู้ว่าผมเป็นนักเขียน เขาจึงบอกว่าจะให้ผมดูเอกสารชุดหนึ่ง พร้อมทั้งบอกว่าตัวเขาและภรรยาได้รับการช่วยชีวิตออกมาจากค่ายกักกันเอาชวิตซ์ (Auschwitz) โดยชายชาวเยอรมันที่ไม่ธรรมดา ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่หล่อเหลาตามแบบฉบับของชาติพันธุ์ที่ฮิตเลอร์ยกย่องชื่นชม คนผู้นี้ชื่อออสการ์ ชินด์เลอร์ เขามีเอกสารเกี่ยวกับชินด์เลอร์อยู่หลายชิ้น แถมในช่วงทศวรรษ 1960 ฮอลลีวูดเกือบจะได้สร้างหนังชีวประวัติของชินด์เลอร์ออกมาแล้ว ดังนั้นในระหว่างที่รอตัดเงินจากบัตรเครดิตของผม เจ้าของร้านจึงอยากให้ผมดูเอกสารเหล่านั้น”

เจ้าของร้านเครื่องหนังคนดังกล่าว ก็คือพอลเด็ก เฟฟเฟอร์เบิร์กนั่นเอง “เขาบอกให้ลูกชายเฝ้าร้านไว้ แล้วพาผมไปที่ธนาคารตรงหัวมุมถนนซึ่งเปิดทำการในวันเสาร์ด้วย เขาพูดหว่านล้อมให้พนักงานธนาคารช่วยถ่ายเอกสารให้ เพื่อทำสำเนาเอกสารชุดนั้นทั้งหมด ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่า นี่คืออุปนิสัยอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของชาวยุโรป” เคเนลลีกล่าว

หนึ่งในเอกสารเหล่านั้น ต่อมาเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า “บัญชีรายชื่อของชินด์เลอร์” (Schindler's List) เคนีลลีได้เขียนไว้ในหนังสือนวนิยายขายดี “เรือของชินด์เลอร์” (Schindler's Ark) ซึ่งเขาแต่งขึ้นจากเอกสารที่ได้จากเฟฟเฟอร์เบิร์กว่า “บัญชีรายชื่อนี้คือชีวิต โดยรอบพื้นที่ขอบกระดาษที่แสนจะคับแคบของมัน มีอ่าวอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่”

ที่มาของภาพ : Alamy

เลียม นีสัน รับบทออสการ์ ชินด์เลอร์ ในภาพยนตร์ Schindler's List ของสตีเวน สปีลเบิร์ก

จากนักฉวยโอกาสสู่ผู้ช่วยชีวิต

เฟฟเฟอร์เบิร์กเกิดในครอบครัวชาวยิวที่เมืองคราคุฟ เขาทำงานเป็นครูในโรงเรียนมัธยมปลายและสอนวิชาพละศึกษา จนกระทั่งปี 1939 กองทัพนาซีเยอรมนีรุกรานโปแลนด์ เขาจึงได้ออกรบในฐานะพลทหารของประเทศบ้านเกิด จนได้รับบาดเจ็บในสงคราม

เฟฟเฟอร์เบิร์กเล่าให้เคนีลลีฟังว่า เมื่อโปแลนด์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของนาซีและถูกแบ่งแยกเป็นสองส่วน โดยส่วนหนึ่งเป็นของเยอรมนีภายใต้การนำของฮิตเลอร์ และอีกส่วนหนึ่งเป็นของสหภาพโซเวียตภายใต้ระบอบสตาลิน เขาจึงต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่ทำได้ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

“เจ้าหน้าที่ทหารอย่างเราต้องตัดสินใจว่า จะไปทางตะวันตกหรือตะวันออกดี แม้ผมจะเป็นยิว แต่ก็ตกลงใจไม่ยอมหนีไปทางตะวันออก หากผมไปทางนั้น ผมอาจจะถูกยิvเสียชีวิตไปพร้อมกับพวกลูกหมาที่น่าสงสาร ในเหตุสังหารหมู่ที่ป่าคาติน (Katyn Forest) เรียบร้อยแล้ว” เฟฟเฟอร์เบิร์กเล่า

เขายังบอกว่าในเวลาต่อมาก็ถูกนำตัวไปกักบริเวณไว้ ในเขตกักกันชาวยิวของเมืองคราคุฟซึ่งพวกนาซีก่อตั้งขึ้นในปี 1941 ชาวยิวราว 15,000 คน ถูกกวาดต้อนให้เข้าไปอยู่รวมกันอย่างแออัด ในพื้นที่เล็ก ๆ ซึ่งเคยเป็นที่อาศัยของชาวเมืองราว 3,000 คนเท่านั้น พวกเขายังถูกบังคับให้ใช้ชีวิตในสภาพสุดแสนอนาถา จนแทบจะไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย

ในขณะเดียวกัน สมาชิกพรรคนาซีผู้หนึ่งในเมืองคราคุฟที่มีชื่อว่าออสการ์ ชินด์เลอร์ ก็กำลังเพลิดเพลินกับการฉกฉวยผลประโยชน์และแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยจากสงคราม โดยเขาได้เข้าครอบครองกิจการของชาวยิวหลายแห่งที่ถูกยึด รวมทั้งโรงงานเครื่องเคลือบแห่งหนึ่งด้วย

ในตอนแรกคนงานทำเครื่องเคลือบของชินด์เลอร์เป็นชาวโปแลนด์ที่ไม่มีเชื้อสายยิว แต่ไม่นานนักเขาเริ่มว่าจ้างชาวยิวจากเขตกักกันที่ถูกบังคับใช้แรงงาน เฟฟเฟอร์เบิร์กจึงได้มาเป็นคนงานคนหนึ่งของชินด์เลอร์ ในช่วงนั้นพวกนาซีเริ่มใช้ปืนออกจี้บังคับกวาดต้อนชาวยิวอีกครั้ง เพื่อเนรเทศไปยังค่ายกักกันมรณะในพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน คอยหวาดผวาอยู่ตลอดว่าวันใดชะตากรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

ในเดือน มี.ค. ปี 1943 โลกทัศน์ของชินด์เลอร์ที่มีต่อสงครามได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล หลังจากได้เห็นความโหดร้ายป่าเถื่อนของพวกนาซี ขณะเข้ากวาดล้างเขตกักกันที่เป็นชุมชนแออัดของชาวยิวเป็นครั้งสุดท้าย ชาวยิวที่ยังดูแข็งแรงพอจะทำงานได้ ถูกส่งไปยังค่ายแรงงานพัวซุฟ (Płaszów) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองคราคุฟ อีกหลายพันคนที่ดูแล้วไม่น่าจะทำงานหนักไหว ถูกฆ่-าทิ้งกลางถนนหรือถูกส่งไปยังค่ายกักกันมรณะเอาชวิตซ์-เบอร์เคอเนา

เพื่อช่วยเหลือคนงานชาวยิวไม่ให้ต้องถูกส่งตัวไปค่ายแรงงานหรือค่ายกักกันมรณะ ชินด์เลอร์ใช้ความสามารถในการทุจริตฉ้อฉลของเขาให้เป็นประโยชน์ เขาพยายามจูงใจเจ้าหน้าที่นาซีให้เชื่อต่อไปว่า คนงานของเขาล้วนมีความสำคัญต่อการทำสงครามให้ประสบชัยชนะ ชินด์เลอร์ยังใช้เงินและสุราชั้นเลิศ ติดสินบนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์นาซีหรือเอสเอส (Schutzstaffel – SS) โรงงานของเขายังรับผลิตเครื่องกระสุนด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าพวกนาซีจะมองมันเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ นอกจากนี้เขายังได้จัดทำบัญชีรายชื่อคนงานชาวยิว ซึ่งระบุวันเกิดและทักษะการทำงานของแต่ละคนเอาไว้ เพื่อเน้นให้เจ้าหน้าที่นาซีเห็นถึงความสำคัญของพวกเขาในฐานะกลไกขับเคลื่อนสงคราม

เคนีลลีบอกกับบีบีซีว่า “อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ชินด์เลอร์ทำก็เหมือนกับจัดตั้งค่ายกักกันที่มีแต่ความเมตตาปราณีต่อชาวยิว เขาเสี่ยงทำอย่างนั้นไปถึงสองครั้ง และต้องสูญเสียคนงานชาวยิวให้พวกนาซีไปอยู่เสมอ แต่ชินด์เลอร์ก็สามารถชิงตัวพวกเขากลับคืนมาได้ด้วยวิธีติดสินบน, แสร้งอวดเบ่งข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม, ล่อลวงให้เจ้าหน้าที่ทำการทุจริต, และฉวยโอกาสใช้ระบบการบริหารปกครองของหน่วยเอสเอสที่ไม่เหมือนใครให้เป็นประโยชน์ ซึ่งการบริหารปกครองที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับการฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอย่างเป็นระบบ”

เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ชินด์เลอร์กลับพบความยากลำบากในชีวิตเพราะทำธุรกิจล้มเหลว เขาหันไปดับทุกข์ด้วยการดื่มสุราอย่างหนัก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่เขาเคยช่วยให้รอดชีวิตได้กลับมาช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน โดยหยิบยื่นการสนับสนุนทางการเงินให้ ชินด์เลอร์เสียชีวิตลงในปี 1974 ขณะมีอายุได้ 66 ปี บรรดาผู้รอดชีวิตชาวยิวได้นำศwเขาไปยังอิสราเอล เพื่อฝังในสุสานคาทอลิกแห่งนครเยรูซาเล็ม ข้อความที่จารึกบนหินเหนือหลุมฝังศwของเขาระบุว่า “ผู้ช่วยชีวิตชาวยิวที่ถูกไล่ล่าประหัตประหาร 1,200 คน ที่เราไม่อาจลืมเลือนได้”

หนึ่งในชาวยิวที่ชินด์เลอร์ได้ช่วยชีวิตเอาไว้ คือเฟฟเฟอร์เบิร์กและมิลาผู้เป็นภรรยาของเขา ทั้งสองหลบหนีไปยังสหรัฐอเมริกาเมื่อสงครามสงบ และในที่สุดได้ลงหลักปักฐานในย่านเบเวอร์ลีฮิลส์ แต่ในบางครั้งเฟฟเฟอร์เบิร์กจะใช้ชื่อแทนตัวอีกชื่อหนึ่งว่า “ลีโอโปลด์ เพจ” เพราะนั่นคือชื่อปลอมที่เขาถูกยัดเยียดให้ ขณะเพิ่งลี้ภัยมาถึงเกาะเอลลิสในอ่าวนิวยอร์กเมื่อปี 1947

เคนีลลียังเขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับเฟฟเฟอร์เบิร์กออกมาเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งในปี 2008 โดยใช้ชื่อว่า “ค้นหาชินด์เลอร์” (Taking a seek for Schindler) เคนีลลีบอกกับบีบีซีว่า เขาตั้งใจจะเขียนหนังสือที่ใช้อ่านประกอบกับเรื่องราวของชินด์เลอร์เล่มนี้ หลังเฟฟเฟอร์เบิร์กเสียชีวิตลงในปี 2001 “ผมรู้สึกว่าเขาก็เป็นตัวละครที่สำคัญไม่แพ้ชินด์เลอร์ ผู้ที่นำพาผมมาพบกับชินด์เลอร์นั้น นับเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน”

รางวัลหนังสือดีเด่นและภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

ในตอนที่สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้รับรางวัลออสการ์ประจำปี 1994 ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ Schindler's List เขาได้กล่าวสุนทรพจน์ขณะขึ้นรับรางวัลบนเวทีว่า “สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้รอดชีวิตชาวยิวที่ชื่อพอลเด็ก เฟฟเฟอร์เบิร์ก เราทุกคนต่างติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงของเขา เพราะเขาได้นำพาเรื่องราวของออสการ์ ชินด์เลอร์ มาสู่พวกเราทุกคน”

ภาพยนตร์ของสปีลเบิร์กถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงจากหนังสือ Schindler's Ark ของเคนีลลี ซึ่งต่อมาในปี 1982 หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น Booker Prize ของสหราชอาณาจักร มีนักวิจารณ์บางคนมองว่าไม่ควรจัดประเภทให้หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องแต่ง (fiction) เพียงเพราะผู้เขียนใช้เทคนิคสร้างสรรค์วรรณกรรมเชิงจินตนาการ มาบอกเล่าเหตุการณ์จริงผ่านรูปแบบการเขียนนวนิยาย เหมือนกับงานเขียนที่โด่งดังมาก่อนอย่างเช่น In Cool Blood ของทรูแมน คาโพตี และ The Appropriate Stuff ผลงานของทอม วูล์ฟ

เคนีลลีให้สัมภาษณ์กับบีบีซีในปี 2008 ว่าการวิจารณ์ถกเถียงกันนั้นดีต่อยอดขายหนังสือ “ทุกวันนี้พวกพระอัครสังฆราชไม่ช่วยทำยอดขายให้นักเขียนหนังสือต้องห้ามบ้างเลย สมัยก่อนหนังสือขายดี เพราะนักบวชเทศน์สั่งสอนโดยห้ามผู้คน

อ่านหนังสือเหล่านั้น แต่ปัจจุบันการอภิปรายถกเถียงทางวรรณกรรมที่เป็นกระแสร้อนแรง ก็ช่วยโปรโมตหนังสือได้ดีไม่แพ้พระอัครสังฆราชในอดีตเหมือนกัน”

ในสุนทรพจน์ที่เคนีลลีกล่าวขณะรับรางวัล Booker Prize เขาขอบคุณเฟฟเฟอร์เบิร์กและผู้รอดชีวิตชาวยิวคนอื่น ๆ ที่ช่วยเขาบอกเล่าถึงเรื่องราวของชินด์เลอร์ “ผมได้อยู่ในฐานะพิเศษนี้ ซึ่งไม่ต่างจากผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลลีวูดขึ้นเวทีรับรางวัลออสการ์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน และแสดงความขอบคุณต่อผู้คนมากมาย ตามปกติแล้วนักเขียนไม่ต้องพูดขอบคุณผู้คนมากมายเช่นนั้น แต่ตัวละครในหนังสือของผมหลายคนยังมีชีวิตอยู่ และผมก็อยากจะจดจำรำลึกถึงตัวละครแสนพิเศษเหนือคนธรรมดาสามัญอย่างออสการ์ด้วย”