
เหตุใดฝรั่งเศสถึงเสี่ยงจะกลายเป็น “คนป่วยรายใหม่แห่งยุโรป”

ที่มาของภาพ : Reuters
Article Files
-
- Author, ฮิวจ์ สโคฟิลด์
- Position, ผู้สื่อข่าวประจำปารีส บีบีซีนิวส์
ชาวฝรั่งเศสบางส่วนรู้สึกไม่พอใจเมื่อทราบข่าวในสัปดาห์นี้ว่าความวุ่นวายทางการเมืองของพวกเขาถูกหัวเราะเยาะโดยชาวอิตาลี
ในเวลาไม่ถึง 2 ปี ฝรั่งเศสเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 5 คน ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้กระทั่งกรุงโรมในช่วงที่เผชิญความวุ่นวายทางการเมืองหลังสงคราม
ขณะนี้ รัฐสภาฝรั่งเศส ซึ่งได้รับการปรับโครงสร้างใหม่หลังจากที่ประธานาธิบดีตัดสินใจจัดการเลือกตั้งอย่างกะทันหันในเดือน ก.ค. 2024 กำลังดิ้นรนเพื่อให้ได้เสียงข้างมากที่สามารถผ่านงบประมาณแผ่นดินได้
นอกจากนี้ การประท้วงนัดหยุดงานทั่วไปในวันพฤหัสบดี (18 ก.ย.) ยังคงเกิดขึ้นโดยสหภาพแรงงานที่คัดค้านข้อเสนองบประมาณก่อนหน้านี้ การประท้วงครั้งนี้ทำให้ครูถึง 1 ใน 3 ของประเทศต้องผละงาน ร้านขายยาส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลง รวมถึงระบบรถไฟใต้ดินหลายแห่งในปารีสก็หยุดให้บริการด้วยเช่นกัน
หนังสือพิมพ์ในกรุงโรมและตูรินต่างพากันนำเสนอภาพ”gioia maligna” (ความสุขที่มุ่งร้าย) อย่างชัดเจนในการเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีทั้งความอับอายขายหน้าของ ฟรองซัวส์ บายรู นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่งไปหมาด ๆ คำเตือนเกี่ยวกับหนี้สินที่พุ่งสูงขึ้น และแนวโน้มที่เศรษฐกิจฝรั่งเศสจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ (Worldwide Monetary Fund – IMF)
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด
Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือยุครุ่งโรจน์ที่ดับแสงลงของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง
“แล้วความยิ่งใหญ่ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน?” อิล เมสซาจเจโร ตั้งคำถาม

ที่มาของภาพ : LUDOVIC MARIN/AFP by Getty Images
ต้นทุนในการชดใช้หนี้สาธารณะของรัฐบาลในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 67,000 ล้านยูโร (ราว 2.51 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินที่มากกว่างบประมาณของหน่วยงานรัฐบาลทั้งหมด ยกเว้นงบการศึกษาและการป้องกันประเทศ
มีการคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นทศวรรษนี้ มูลค่าหนี้สาธารณะจะพุ่งขึ้นและสูงถึง 100,000 ล้านยูโรต่อปี (3.76 ล้านล้านบาท)
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (12 ก.ย.) หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือฟิทช์ เรตติงส์ (Fitch Rankings) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลฝรั่งเศส ซึ่งอาจทำให้การกู้ยืมเงินของรัฐบาลฝรั่งเศสมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเคลือบแคลงสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพของประเทศและความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าว
ความเป็นไปได้ที่จะต้องหันไปขอสินเชื่อจากไอเอ็มเอฟ หรือเรียกร้องการแทรกแซงจากธนาคารกลางยุโรปไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยุโรป การถอนตัวของฝ่ายอเมริกา และการเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งของลัทธิประชานิยม

ที่มาของภาพ : REUTERS/Tom Nicholson
วันพุธที่ผ่านมา (17 ก.ย.) มีการจัดวันประท้วงระดับชาติโดยกลุ่มที่เรียกว่า Bloquons Tout (แปลได้ว่า ประกาศปิดทุกอย่าง) ทว่าการประท้วงกลับถูกกลุ่มฝ่ายซ้ายจัดเข้าแทรกแซงจนการประท้วงแทบไม่ได้สร้างผลกระทบใด ๆ เลย นอกจากการปะทะกันบนท้องถนน
แต่การทดสอบที่ยิ่งใหญ่กว่ามากเกิดขึ้นวันถัดมา (18 ก.ย.) สหภาพแรงงานและพรรคฝ่ายซ้ายจัดจัดการประท้วงแผนการของรัฐบาล
“ในช่วงเวลาสำคัญนี้ เมื่ออำนาจอธิปไตยและเสรีภาพของฝรั่งเศสและยุโรปตกอยู่ในความเสี่ยง ฝรั่งเศสกลับพบว่าตัวเองตกอยู่ในภาวะอัมพาตจากความวุ่นวาย ความไร้ประสิทธิภาพ และหนี้สิน” นิโคลัส บาเวเรซ นักวิจารณ์การเมืองผู้มากประสบการณ์ กล่าว
ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ยืนกรานว่า เขาสามารถช่วยให้ประเทศผ่านพ้นจากปัญหาที่ยุ่งยากนี้ได้ แต่เขามีเวลาเหลืออีกเพียง 18 เดือนในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2

ที่มาของภาพ : REUTERS/Benoit Tessier
ความเป็นไปได้ประการหนึ่งก็คือ จุดแข็งโดยธรรมชาติของฝรั่งเศส เช่น ความมั่งคั่ง โครงสร้างพื้นฐาน ความยืดหยุ่นเอาตัวรอดได้ของสถาบันต่าง ๆ จะช่วยให้ประเทศผ่านพ้นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ที่หลายคนมองว่าเป็นได้
แต่มีสถานการณ์อีกประการหนึ่ง นั่นคือฝรั่งเศสกำลังกลายเป็นคนอ่อนแอถาวร ตกเป็นเหยื่อของพวกหัวรุนแรงทั้งฝ่ายซ้ายและขวา กลายเป็นคนป่วยรายใหม่แห่งยุโรป
ความตึงเครียดกับนายกรัฐมนตรี
ทั้งหมดนี้ย้อนกลับไปถึงการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติอันเลวร้ายของมาครงในฤดูร้อนปี 2024 แทนที่จะสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับการปกครอง รัฐสภาชุดใหม่กลับแบ่งออกเป็น 3 ก๊ก 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายกลาง ฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวาจัด
ไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหวังจะจัดตั้งรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากอีก 2 ก๊กจะร่วมมือกันต่อต้านเสมอ
มิเชล บาร์เนียร์ และฟรองซัวส์ บายรู ต่างก็ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างไม่แน่นอนเป็นเวลาหลายเดือน แต่ทั้งคู่ต่างก็เผชิญคำถามสำคัญที่รัฐบาลทุกชุดต้องเผชิญ นั่นคือ รัฐควรระดมเงินและใช้จ่ายงบประมาณอย่างไร
บายรู วัย 74 ปี ผู้ยึดมั่นในแนวคิดสายกลาง มองว่า หนี้ของฝรั่งเศสกลายเป็นสิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งขณะนี้มีมูลค่าสูงกว่า 3 ล้านล้านยูโร หรือคิดเป็น 114% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
เขาต้องการสร้างเสถียรภาพในการชำระหนี้โดยการตัดลดงบประมาณปี 2026 จำนวน 44,000 ล้านยูโร (ราว 1.65 ล้านล้านบาท)
บายรูถูกโค่นล้มกลางสภาเมื่อสมาชิกรัฐสภาฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาจับมือร่วมกันลงมติไม่ไว้วางใจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากยังไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของนายกรัฐมนตรี เช่น การยกเลิกวันหยุดราชการ 2 วันเพื่อให้มีการจ่ายเงินเพื่อกิจการป้องกันประเทศมากขึ้น

ที่มาของภาพ : BERTRAND GUAY/AFP by Getty Images
หนทางแก้ไขโดยตรงของประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง คือการมอบหมายให้ สส. วงในใกล้ชิดกับของเขาเป็นผู้ริเริ่มแนวทางใหม่
เซบาสเตียน เลอกอร์นู วัย 39 ปี ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นคนพูดจานุ่มนวลแบบนอร์แมน ซึ่งกลายมาเป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีในช่วงดึก ๆ ระหว่างดื่มวิสกี้และพูดคุยกันที่พระราชวังเอลิเซ ทำเนียบประธานาธิบดีของฝรั่งเศส
ภายหลังการแต่งตั้ง มาครงกล่าวว่าเขาเชื่อมั่นว่า “ข้อตกลงระหว่างฝ่ายการเมืองเป็นไปได้ โดยต้องเคารพความเชื่อของทั้ง 2 ฝ่าย”
มีรายงานว่ามาครงชื่นชมความภักดีของเลอกอร์นู และรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีของเขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับอนาคตทางการเมืองของตัวเอง
หลังจากความตึงเครียดกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ก่อนหน้าเขา 2 คน ได้แก่ มิเชล บาร์เนียร์ และฟรองซัวส์ บายรู ผู้มากประสบการณ์ วันนี้ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีมีความเห็นตรงกัน
“สำหรับเลอกอร์นู นั่นแทบจะหมายความว่า มาครงเป็นนายกรัฐมนตรี” ฟิลิปป์ อากีออน นักเศรษฐศาสตร์ที่เคยให้คำปรึกษาประธานาธิบดีและรู้จักเขาเป็นอย่างดี กล่าว
“มาครงและเลอกอร์นูเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ภารกิจเฮอร์คิวลิสของเลอกอร์นู
มาครงต้องการให้เลอกอร์นูดำเนินการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยเอนเอียงไปทางฝ่ายขวาเป็นหลัก มาครงต้องการข้อตกลงกับฝ่ายซ้าย โดยเฉพาะพรรคโซเชียลลิสต์ (Socialist Birthday celebration – PS)
ตามกฎหมายแล้ว เลอกอร์นูต้องเสนองบประมาณภายในกลางเดือน ต.ค. และต้องผ่านแผนงบประมาณภายในสิ้นปี
ทางคณิตศาสตร์การเมือง วิธีเดียวที่เขาจะทำเช่นนั้นได้คือ ต้องมีกลุ่มสายกลางเข้าร่วมโดยกลุ่ม “ทางสายกลาง” ทั้งกลางที่ค่อนไปทางขวาและซ้าย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พรรคสายอนุรักษนิยมอย่างพรรครีพับลิกัน หรือแอลอาร์ (LR) และพรรคโซเชียลลิสต์

ที่มาของภาพ : LUDOVIC MARIN/AFP by Getty Images
แต่ปัญหาคือ การยอมประนีประนอมกับฝ่ายหนึ่ง ยิ่งทำให้อีกฝ่ายมีแนวโน้มจะถอนตัวออกไปมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น พรรคโซเชียลลิสต์ซึ่งรู้สึกมีความหวัง กำลังเรียกร้องให้ลดหนี้ให้ต่ำกว่าเป้าหมายเดิม พวกเขาต้องการให้เก็บภาษีผู้ประกอบการที่ร่ำรวยมหาศาล และยกเลิกการปฏิรูปเงินบำนาญของมาครงในปี 2023 (ซึ่งเพิ่มอายุเกษียณเป็น 64 ปี)
แต่แนวคิดเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ขัดต่อแนวคิดของพรรครีพับลิกันที่สนับสนุนธุรกิจ โดยพวกเขาขู่ว่าจะโหวตไม่เห็นชอบงบประมาณใด ๆ ก็ตามที่มีแนวคิดเหล่านี้รวมอยู่ด้วย
สหภาพแรงงานหลัก MEDEF (Mouvement des Entreprises de France) กล่าวว่า จะจัด “การชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่” หากเลอกอร์นูผ่าทางตันด้านงบประมาณด้วยการขึ้นภาษี

ที่มาของภาพ : BENOIT TESSIER/POOL/AFP by Getty Images
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งยากขึ้นไปอีกคือจังหวะเวลา การพ้นจากตำแหน่งของมาครงที่กำลังจะเกิดขึ้น ยิ่งไปลดโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมประนีประนอมกันลงไปอีก จะมีการเลือกตั้งท้องถิ่นที่สำคัญในเดือน มี.ค. และการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือน พ.ค. 2027
ที่ปลายทางของทั้งข้างกระดานหมากรุกทางการเมืองนั้น มีพรรคการเมืองที่มีอำนาจอยู่ 2 พรรคคือ พรรคเนชันแนลแรลลี (National Rally – RN) ที่อยู่ทางขวา และพรรคแอลเอฟไอ หรือ (France Unbowed – LFI) ที่อยู่ทางซ้าย ซึ่งพรรคเหล่านี้จะตะโกนว่า “กบฏ” เมื่อมีสัญญาณของการประนีประนอมกันตรงกลางแม้เพียงเล็กน้อย
สำหรับนักการเมืองคนใดก็ตามที่มีชื่อเสียง อาจมีสัญชาตญาณในการจำกัดการติดต่อใด ๆ กับสินทรัพย์ที่กำลังเสื่อมสลายอย่างรวดเร็วอย่างมาครงให้เหลือน้อยที่สุด

ที่มาของภาพ : Ore Huiying/Bloomberg by Getty Images
ดังนั้น ภารกิจของเลอกอร์นูจึงยากยิ่งนัก อย่างดีที่สุดเขาอาจจะแค่รวบรวมข้อตกลงและป้องกันความพ่ายแพ้กลางสภาทันที แต่งบประมาณเช่นนี้ย่อมถูกตัดทอนลง สัญญาณที่ส่งไปยังตลาดจะเป็นการประนีประนอมเพิ่มขึ้นในแบบฝรั่งเศส ซึ่งนั่นทำให้ต้นทุนในการชำระหนี้จะสูงขึ้นไปอีก
ทางเลือกอื่นคือความล้มเหลว และการลาออกของนายกรัฐมนตรีอีกคน
นั่นคือสถานการณ์วันสิ้นโลกของมาครง การยุบสภาอีกครั้งจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ซึ่งพรรคเอ็นอาร์ของ มารีน เลอเปน อาจชนะในครั้งนี้
หรือแม้กระทั่งการลาออกจากตำแหน่งของมาครงเองตามที่บางฝ่ายเรียกร้อง เนื่องจากบทบาทของเขาในการเป็นผู้ที่ทำให้เกิดสถานการณ์ทางตันทางการเมืองครั้งนี้
สารพัดวิกฤตการณ์ที่ถาโถมพร้อมกัน
เมื่อศึกษาฝรั่งเศสแล้ว ย่อมมีโอกาสได้สัมผัสถึง “หายนะ” น้อยลงเสมอ เพราะประเทศนี้ฝ่าวิกฤตการณ์ต่าง ๆ มาแล้วในอดีต และผ่านมาได้อย่างยากลำบากเสมอ และบางคนก็มองเห็นสิ่งที่น่าชื่นชมในฝรั่งเศสของมาครง
สำหรับ ฌอง-ฟรองซัวส์ โคเป อดีตประธานพรรคแอลอาร์ กล่าวว่า “ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจฝรั่งเศส รวมถึงความสมดุลของการนำเข้าและส่งออกยังคงแข็งแกร่ง”
“โดยทั่วไปแล้วอัตราการว่างงานของเราสูงกว่าของสหราชอาณาจักร แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เรามีการสร้างธุรกิจในระดับสูง และมีการเติบโตที่ดีกว่าในเยอรมนี”
อากีออน อดีตที่ปรึกษาของมาครง ก็ค่อนข้างมองโลกในแง่ดีเช่นกัน “เราไม่ยอมล่มสลายแบบกรีซหรอก” เขากล่าว “และสิ่งที่บายรูพูดถึงเรื่องหนี้สินก็เหมือนเป็นการปลุกให้ตื่นตัวอย่างแท้จริง”
แต่สำหรับคนอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก ทำให้คำพูดดังกล่าวดูเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็อาจดูประมาทเกินไปก็เป็นได้

ที่มาของภาพ : Eric COLOMER/Gamma-Rapho by Getty Images
นักเศรษฐศาสตร์อย่าง ฟิลิปป์ อากีออน ผู้อำนวยการสถาบันการเงินชั้นสูงในปารีส กล่าวไว้ว่า “เราไม่สามารถปัดตกสมมติฐานการแทรกแซงของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เหมือนที่นักการเมืองทำ”
“มันเหมือนกับว่าเราอยู่บนเขื่อนกั้นน้ำ มันดูแข็งแรงพอ ทุกคนยืนอยู่บนนั้น และคอยบอกเราว่ามันแข็งแรง แต่ใต้ทะเลกำลังกัดกร่อน กระทั่งวันหนึ่งมันก็พังทลายลงอย่างกะทันหัน
“น่าเศร้าที่นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากเราไม่ทำอะไรเลย”
ฟรานซัวส์ เฟรสโซซ์ จากหนังสือพิมพ์เลอมงด์ กล่าวว่า “เราทุกคนต่างใช้จ่ายเงินของภาครัฐหมดสิ้นไปแล้ว นี่เป็นวิธีการที่รัฐบาลทุกชุดใช้มาเป็นเวลาครึ่งศตวรรษแล้ว ทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เพื่อดับไฟแห่งความไม่พอใจและซื้อความสงบสุขในสังคม”
“ตอนนี้ทุกคนสัมผัสได้ว่าระบบนี้ได้ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เรามาถึงจุดสิ้นสุดของรัฐสวัสดิการแบบเดิม แต่ไม่มีใครอยากควักต้นทุนหรือเผชิญกับการปฏิรูปที่จำเป็นต้องทำ” เขากล่าว

ที่มาของภาพ : Mustafa Yalcin/Anadolu Agency/Getty Images
สิ่งที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสขณะนี้เป็นการรวมกันของหลากหลายวิกฤตที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน ทั้งวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตรงนี้เองที่ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เจอโรม ฟูร์เกต์ นักสำรวจความคิดเห็น กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า “มันเหมือนกับการแสดงละครที่ไม่อาจเข้าใจได้ ซึ่งแสดงต่อหน้าโรงละครที่ว่างเปล่า”
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้รับการบอกกล่าวว่า หนี้สินเป็นเรื่องของความเป็นความเสียชีวิตของชาติ แต่หลายคนไม่เชื่อ หรือไม่เห็นว่าทำไมพวกเขาควรต้องเป็นผู้ใช้หนี้
ทุกอย่างนี้อยู่ภายใต้การนำพาของชายที่ขึ้นสู่อำนาจในปี 2017 ซึ่งมาพร้อมกับความหวังและสัญญาว่าจะสร้างสะพานเชื่อมระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ธุรกิจและแรงงาน การเติบโตและความยุติธรรมทางสังคม และเป็นทั้งผู้ที่ไม่เชื่อในยุโรปและผู้ที่หลงใหลในยุโรป
ภายหลังความพ่ายแพ้ครั้งล่าสุด นักวิจารณ์ชาวฝรั่งเศสอย่าง นิโคลัส บาเวเรซ ได้สรุปไว้อย่างน่าตกใจในหนังสือพิมพ์เลอ ฟิกาโร ว่า “เอ็มมานูเอล มาครง คือเป้าหมายที่แท้จริงของการต่อต้านของประชาชน และเขาต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับการอับปางครั้งนี้”
“เช่นเดียวกับนักปลุกปั่นทั้งหลาย เขาได้เปลี่ยนประเทศของเราให้กลายเป็นทุ่งซากปรักหักพัง”
ที่มา BBC.co.uk