
30 ปี เหตุสังหารหมู่ซเรเบรนิซา เกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์ฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมบอสเนีย

ที่มาของภาพ : Joe Klamar / AFP thru Getty
ปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 30 ปีของเหตุการณ์สังหารที่เมืองซเรเบรนิซา ประเทศบอสเนีย ซึ่งสหประชาชาติให้การรับรองว่าเป็นการฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงสงครามบอสเนีย ระหว่างปี 1992–1995 ซึ่งเป็นสงครามความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธ์ุต่าง ๆ ได้แก่ ชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บ ชาวบอสเนียมุสลิม (บอสนีแอก) และชาวโครแอต
นักรบบอสเนียเชื้อสายเซิร์บสังหารผู้ชายและเด็กชายชาวมุสลิมประมาณ 8,000 คน ในเมืองซเรเบรนิซา ซึ่งเป็นพื้นที่คุ้มครองของสหประชาชาติ
หลายฝ่ายเชื่อว่ายังมีร่างผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 1,000 รายที่ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้
ในปี 2024 สหประชาชาติได้ประกาศให้วันที่ 11 ก.ค. ของทุกปี เป็นวันรำลึกถึงเหยื่อของเหตุการณ์สังหารหมู่ครั้งนี้
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
เกิดอะไรขึ้นที่เมืองซเรเบรนิซา ?
สงครามในบอสเนียปะทุขึ้นหลังจากการล่มสลายของยูโกสลาเวียในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ยูโกสลาเวียเคยเป็นสหพันธรัฐที่ประกอบด้วย 6 สาธารณรัฐ และประกอบไปด้วยประชากรหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ ชาวเซิร์บ ชาวโครแอต ชาวบอสเนียมุสลิม ชาวแอลเบเนีย ชาวสโลวีเนีย และกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ทั้งหมดอยู่รวมกันภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ที่ไม่เข้มงวดนัก โดยมีประธานาธิบดีโยซิป บรอซ ติโต เป็นผู้นำ
หลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดีติโตในปี 1980 แต่ละพื้นที่เริ่มเรียกร้องการเป็นอิสระเพิ่มขึ้น จนนำมาสู่การประกาศเอกราชของหลายสาธารณรัฐในเวลาต่อมา
ในบอสเนีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศเกิดขึ้นใหม่หลังการแตกสลายของยูโกสลาเวีย ความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ ชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บที่ได้รับการสนับสนุนจากเซอร์เบีย ชาวบอสนีแอกหรือชาวบอสเนียที่นับถือศาสนาอิสลาม และชาวโครแอต
ในช่วงเวลานั้น เมืองซเรเบรนิซามีชาวมุสลิมบอสนีแอก อาศัยอยู่ราว 40,000 คน หลายคนเป็นผู้ลี้ภัยจากพื้นที่อื่นในประเทศ หลังถูกขับไล่จากการกวาดล้างชาติพันธุ์ของฝ่ายเซิร์บบอสเนียในช่วงสงครามบอสเนียระหว่างปี 1992–1995
เมืองซเรเบรนิซาได้รับการประกาศให้เป็น “เขตปลอดภัย” ของสหประชาชาติในปี 1993 โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจำนวนหนึ่งถูกมอบหมายให้คุ้มครองพื้นที่จากการโจมตี
กระทั่งวันที่ 11 ก.ค. 1995 กองกำลังของเซิร์บบอสเนียที่นำโดย พลเอก รัตโก มลาดิช ได้บุกเข้าสู่เมืองซเรเบรนิซา ฝ่ายรักษาสันติภาพของยูเอ็นไม่สามารถต้านทานและปกป้องประชาชนผู้ลี้ภัยได้ทัน ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในเวลาต่อมา

ที่มาของภาพ : Roger Hutchings/In Photos Ltd./Corbis thru Getty Images
ตอนที่กองทัพทหารบอสเนียเชื้อสายเซิร์บบุกเข้าพื้นที่ ชาวมุสลิมหรือชาวบอสนีแอกในเมืองที่มีอยู่ประมาณ 20,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุหรือผู้ป่วย กำลังหลบหนีไปยังฐานของสหประชาชาติ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพชาวดัตช์ใกล้กับเมืองโปโตชารี
ทว่าเมื่อความรุนแรงยกระดับขึ้น เจ้าหน้าที่สหประชาชาติก็ยอมจำนน ผู้หญิงและเด็กชาวบอสนีแอกถูกส่งขึ้นรถบัสไปยังพื้นที่ปลอดภัย ขณะที่ผู้ชายและเด็กชายถูกแยกตัวออกไป
ผู้ชายและเด็กชายถูกสังหารเป็นจำนวนมาก หรือไม่ก็ถูกยิvเสียชีวิตขณะพยายามหลบหนีเข้าไปในป่าเขารอบ ๆ เมืองซเรเบรนิซา
ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ กองกำลังเซิร์บบอสเนียได้สังหารชาวบอสนีแอกอย่างเป็นระบบมากกว่า 8,000 คน ปัจจุบันยังคงมีผู้สูญหายหรือไม่สามารถระบุตัวตนได้อีกประมาณ 1,000 คน
เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของยูเอ็นที่มีอาวุธเพียงเล็กน้อยและประจำอยู่ในพื้นที่ที่ถูกประกาศให้เป็น “เขตปลอดภัย” ของสหประชาชาติ ไม่ได้ทำอะไรเลย ขณะที่ความรุนแรงปะทุอยู่รอบตัวพวกเขา
ผลคำตัดสินเป็นอย่างไร ?

ที่มาของภาพ : AFP thru Getty Images
ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย (The Global Prison Tribunal for the mature Yugoslavia – ICTY) ซึ่งเป็นศาลของสหประชาชาติในกรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ ได้พิพากษาลงโทษชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บเกือบ 50 คน ฐานก่ออาชญากรรมสงครามในเมืองซเรเบรนิซา รวมถึงพลเอกรัตโก มลาดิช อดีตผู้บัญชาการทหาร และราดอวาน คาราจิช ผู้นำฝ่ายการเมืองของเซิร์บบอสเนีย
มลาดิชและคาราจิชได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) หลังศาลพบหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการสังหารหมู่ดังกล่าวมีการวางแผนอย่างเป็นระบบ
“อาชญากรรมที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่สุดที่มนุษยชาติประสบมา รวมถึงการฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์และการทำลายล้างซึ่งถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” อัลฟอนส์ โอรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะแห่งศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวียกล่าว ก่อนตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตแก่พลเอกมลาดิชในปี 2017
ระหว่างการพิจารณาคดี ศาลได้รับฟังคำให้การสุดสะเทือนใจจากผู้รอดชีวิตและญาติของผู้เสียชีวิต ซึ่งบางคนให้การว่า มีชายบางคนถูกฝังทั้งเป็น ขณะที่เหยื่อบางรายต้องถูกบังคับให้ดูลูกของตนเองถูกสังหารต่อหน้า
ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่จำนวนมากถูกฝังที่สุสานโปโตชารี ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองซเรเบรนิซา หลุมศwสีขาวเรียงรายนับพันหลุมกระจายตัวอยู่บนเนินเขาท่ามกลางป่าไม้
นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ เคยกล่าวว่า “โศกนาฏกรรมแห่งซเรเบรนิซาจะตามลวงหลอนประวัติศาสตร์ของสหประชาชาติตลอดไป”
‘เป็นอาชญากรรม แต่ไม่ใช่การฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์'

ที่มาของภาพ : CORBIS/Sygma thru Getty Images
อย่างไรก็ดี ชาวเซิร์บบอสเนียส่วนใหญ่ รวมถึงประชาชนจำนวนมากในเซอร์เบีย ได้ปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซเรเบรนิซาเมื่อปี 1995 ไม่ใช่การฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์
ในปี 2024 สมาชิกสภานิติบัญญัติชาวบอสเนียเชื้อสายเซิร์บได้ลงมติรับรองรายงานที่ระบุว่าการสังหารชาวมุสลิมกว่า 8,000 คนในซเรเบรนิซาระหว่างสงครามบอสเนียไม่ใช่การฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์
มิโลราด โดดิก ผู้นำของฝ่ายเซิร์บบอสเนีย กล่าวว่า “ปฏิบัติการของกองทัพเซิร์บบอสเนียในซเรเบรนิซาเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่”
เขากล่าวว่า “มันเป็นอาชญากรรม แต่ไม่ใช่การฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์”
พวกเขายังอ้างว่า ผู้เสียชีวิตราว 2,000 คนเป็นทหารมุสลิมบอสนีแอกที่เสียชีวิตระหว่างการสู้รบ และบางรายอ้างว่าเป็น “การล้างแค้นให้กับชาวเซิร์บที่ถูกสังหารในหมู่บ้านรอบ ๆ ซเรเบรนิซา”
ในขณะเดียวกัน มติของสหประชาชาติที่ประกาศให้วันที่ 11 ก.ค. ของทุกปีเป็น “วันสากลแห่งการรำลึกและทบทวนเหตุการณ์ฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ในซเรเบรนิซา” ยังได้ประณามการปฏิเสธเหตุการณ์สังหารหมู่ดังกล่าวรวมถึงประณามการเชิดชูผู้กระทำความผิดใด ๆ ก็ตามในสงครามด้วย
โครงสร้างประชากรของภูมิภาคนี้ในปัจจุบันเป็นอย่างไร ?
ก่อนสงครามในช่วงทศวรรษ 1990 เมืองซเรเบรนิซาเคยเป็นเมืองที่มีชาวมุสลิมบอสนีแอกเป็นประชากรกลุ่มก้อนใหญ่ของเมือง แต่ในปัจจุบัน ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่กลับกลายเป็นชาวเซิร์บ
หลังสิ้นสุดสงคราม บอสเนียถูกแบ่งแยกออกเป็นเขตปกครองหลัก 2 พื้นที่ ได้แก่ เขตสาธารณรัฐเซิร์ปสกา (Republika Srpska) และเขตสหพันธรัฐบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา (Federation of Bosnia-Herzegovina) โดยเมืองซเรเบรนิซาตั้งอยู่ในเขตสาธารณรัฐเซิร์ปสกา
ตลอดหลายปีหลังสงคราม ประชากรชาวบอสนีแอกในซเรเบรนิซาลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประชากรชาวเซิร์บเพิ่มขึ้น
ในภาพรวม เขตสาธารณรัฐเซิร์ปสกามีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บ ส่วนเขตสหพันธรัฐบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา มีชาวมุสลิมบอสนีแอกเป็นประชากรกลุ่มหลัก
ที่มา BBC.co.uk