
คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฯ วุฒิสภา รายงานผลการศึกษา ปัญหากระบวนการยุติธรรม-บังคับใช้กฎหมาย ฯ กรณีผู้ต้องขังรักษาตัว รพ.ตำรวจ ชั้น 14 – กระบวนการเลือก สว. ต่อวุฒิสภา – ชง ข้อเสนอแนะ-ข้อสังเกต คณะรัฐมนตรี แก้กฎหมาย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์-กฎกระทรวงส่งตัวรักษานอกเรือนจำ – คดีฮั้วเลือก สว. อำนาจกกต. หรือ ดีเอสไอ ชี้ แก้ พ.ร.ป. กกต. ปี 60 ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจของใคร
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 6 ตุลาคม 2568 การประชุมวุฒิสภามีวาระการประชุมเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว เรื่อง รายงานการพิจารณาศึกษา ปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ของคณะทำงานพิจารณาศึกษาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมภิบาล วุฒิสภา ที่มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นประธานกมธ.ฯ รายงานต่อวุฒิสภา โดยมีข้อสังเกตเพื่อส่งถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรณีโรงพยาบาลตำรวจรับตัวผู้ต้องขังในกรณีศึกษา ไว้รักษาที่ห้องพิเศษชั้น 14 โดยมีข้อเสนอแนะให้แก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ราชทัณฑ์ พ.ศ. 256 และ กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 อาทิ การส่งผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำต้องร้องขอคำสั่งศาลอนุญาต การยกเลิกการรายงานปลัดกระทรวงฯ-รัฐมนตรียุติธรรม กรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวนอกเรือนจำมากกว่า 60 วัน และ มากกว่า 120 วัน โดยให้พิจารณาในรูปคณะกรรมการ หากมีการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวให้เพิ่มโทษสามเท่าและ ปัญหาเรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์กรในการดำเนินคดีกรณีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์หรือเที่ยงธรรม หรือ คดีฮั้วเลือกสว. โดยผลการพิจารณาศึกษา มีความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เท่านั้นที่เป็นผู้มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน และ กลุ่มที่ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) มีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาในประเด็นฐานความผิดฟอกเงินในส่วนของคดีอาญา ซึ่ง กมธ.มีข้อเสนอแนะ ควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2560 ให้เกิดความชัดเจนในประเด็นฐานความผิดที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า ควรอยู่ในหน้าที่และอำนาจเด็ดขาดของกกต. หรือ เห็นควรระบุให้ชัดเจนในกรณีที่หน่วยงานอื่น
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า รายงานฉบับดังกล่าว ระบุถึง บทสรุป ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกต โดยมีรายละเอียดสรุปในเบื้องต้นได้ ดังนี้
@ รักษาตัวชั้น 14 เลือกปฏิบัติ-ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประเด็นที่ 1 ความเหลื่อมล้ำและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง
บทสรุป ประเด็นความไม่เป็นธรรมและเลือกปฏิบัติในการส่งตัวผู้ต้องขังในกรณีศึกษา เข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลตำรวจ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย อาทิ กรณีโรงพยาบาลตำรวจรับตัวผู้ต้องขังในกรณีศึกษา ไว้รักษาที่ห้องพิเศษชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา นั้น เห็นว่า การที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ กำหนดให้ผู้ต้องขังในกรณีศึกษาพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยเรือนจำฯ ไม่ได้โต้แย้งจนกระทั่งผู้ต้องขังในกรณีศึกษา ออกจากโรงพยาบาล อาจเป็นการดำเนินการโดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 จึงอาจทำให้ผู้ต้องขังในกรณีศึกษา ได้รับประโยชน์นอกเหนือกว่าสิทธิที่ควรได้รับ ซึ่งอาจจะถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักความเสมอภาคและเป็นการเลือกปฏิบัติอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับกรณีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ อนุญาตให้ผู้ต้องขังในกรณีศึกษา พักรักษาตัวเป็นระยะเวลานานนั้น ยังไม่อาจเชื่อได้ว่า ผู้ต้องขังในกรณีศึกษามีอาการป่วย จนถึงขนาดที่ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ นานถึง 181 วัน โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือกลับไปคุมขังต่อที่เรือนจำฯ ได้ ในขั้นนี้ จึงเห็นว่า การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและโรงพยาบาลตำรวจ เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม อันถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน
ข้อเสนอแนะ เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ต้องขังและการบริหารจัดการเรือนจำในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลอย่างสมบูรณ์
ด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ พิจารณาทบทวนและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อาทิ 1. พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 แก้ไขมาตรา 55 วรรคสอง ที่กำหนดเกี่ยวกับการส่งผู้ต้องขังรักษานอกเรือนจำ ควรแก้ไขเป็น
“ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะโรงพยาบาล หรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตนอกเรือนจำต่อไป โดยที่ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 วรรคหนึ่ง จะต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งต่อไปด้วย”
2. กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 แก้ไขข้อ 5 (2) ที่กำหนดห้ามผู้ต้องขังเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ห้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานศึกษาผู้ต้องขังจัดให้ ควรแก้ไขเป็น
“ในกรณีสถานที่รักษาผู้ต้องขังมีความจำเป็นต้องให้ผู้ต้องขังพักรักษาในห้องพิเศษหรือห้องอื่นนอกเหนือจาก ห้องปกติ ต้องได้รับความเห็นชอบจากเรือนจำและกรมราชทัณฑ์ โดยการเสนอผ่านมติคณะกรรมการคณะหนึ่งเสียก่อน เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนที่หากไม่ดำเนินการทันทีจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ต้องขังนั้น ให้ดำเนินการไปก่อนแล้วรีบขอความเห็นชอบ โดยต้องระบุเหตุผลความจำเป็นประกอบการขอความเห็นชอบนั้นด้วย”
-
แก้ไขข้อ 7 (2) และ (3) กรณีที่ผู้ต้องขังรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นเวลานาน ‘ให้กำหนดเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการใช้อำนาจในการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ต้องขังรายหนึ่งรายใดออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยไม่มีเหตุอันควร’
(2) พักรักษาตัวเกินกว่า 60 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เมื่ออธิบดีได้รับหนังสือขอความเห็นชอบดังกล่าว ให้ดำเนินการพิจารณาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการที่มีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ทั้งนี้ การพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวต้องไม่กระทบกับการพิจารณาและห้วงระยะเวลาการรักษาตัวของผู้ต้องขัง
(3) พักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีพร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เมื่ออธิบดีได้รับหนังสือขอความเห็นชอบดังกล่าว ให้ดำเนินการพิจารณาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ทั้งนี้ การพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวต้องไม่กระทบกับการพิจารณาและห้วงระยะเวลาการรักษาตัวของผู้ต้องขัง
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการตั้งข้อสังเกตว่าองค์ประกอบคณะกรรมการใน (2) และ (3) ควรแต่งตั้งบุคคลภายนอกที่มิใช่สัดส่วนของนักการเมืองด้วย โดยพิจารณาผู้ที่มีคุณวุฒิและความสามารถเฉพาะด้านที่จำเป็น เช่น ด้านการแพทย์และด้านการพยาบาล
3. ควรเพิ่มโทษสำหรับการส่งผู้ต้องขังรักษาตัวภายนอกเรือนจำ ในกรณีที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการและมีเจตนาไม่สุจริตตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 จึงเห็นควรให้ผู้กระทำความผิดต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
@ คดีฮั้วเลือกสว. อำนาจ กกต. หรือ ดีเอสไอ
ประเด็นที่ 2 เรื่อง ความโปร่งใสและความรับผิดชอบของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม กรณี ข้อกล่าวหาในกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
บทสรุป พบว่า ปัญหาที่สำคัญที่ต้องพิจารณา คือ ปัญหาเรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์กรในการดำเนินคดีกรณีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์หรือเที่ยงธรรม (ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท) จึงต้องพิจารณาว่า เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรใด เช่น ความผิดต่อเนื่อง หรือความผิดเกี่ยวพันหรือเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต ควรเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใดในการดำเนินการ ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษา พบว่ามีความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 เห็นว่า กกต.เท่านั้นที่เป็นผู้มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน
เห็นว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณาสืบสวนและสอบสวนได้ เพราะข้อหาดังกล่าวมาจากการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเกี่ยวกับความผิดตามพ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ซึ่งอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทำการสืบสวนหรือไต่สวนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 และ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 ซึ่งมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายสูงกว่าพ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ในส่วนที่เกี่ยวกับ มาตรา 77 ดังกล่าว วรรคสอง กำหนดให้ความผิดตาม (1) (ให้ สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้) ให้ถือเป็นความผิดมูลฐาน (ไม่ใช่ความผิดฐานฟอกเงิน) ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และให้ กกต. มีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจได้ นั้น ไม่ปรากฏว่ากกต. ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำการสืบสวนและสอบสวนแต่อย่างใด
ในส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2560 มาตรา 49 เจตนารมณ์ไม่ครอบคลุมถึง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ดังนั้น ดีเอสไอจะรับเรื่องการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.พ.ศ. 2561 ไว้ทำการสืบสวนและสอบสวน โดยอ้างอำนาจตามมาตรา 49 ไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะตีความว่าครอบคลุมถึงการกระทำความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 49 ก็น่าจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 224 ดังนั้น เมื่อ กกต. ไม่ได้มอบหมายให้ดีเอสไอดำเนินการภายใต้กำกับของกกต. ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กกต.กำหนด ประกอบกับการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ดังนั้น ดีเอสไอ จึงไม่มีอำนาจสืบสวนและสอบสวนเรื่องดังกล่าวได้
เรื่องนี้อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระในการไต่สวนและวินิจฉัย แต่ไม่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอในการสืบสวนและสอบสวน
@ แนะแก้ พ.ร.ป.กกต. ปี 60 ระบุให้ชัดอำนาจใคร
กลุ่มที่ 2 เห็นว่า ดีเอสไอมีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาในประเด็นฐานความผิดฟอกเงินในส่วนของคดีอาญา โดยเห็นว่าไม่มีบทบัญญัติของพ.ร.ป.กกต. พ.ศ. 2560 ที่ตัดอำนาจการพิจารณาความผิดฐานฟอกเงิน ประกอบกับการพิจารณาของ ปปง. เป็นประเด็นทางแพ่ง
อีกทั้ง พ.ร.ป.กกต. พ.ศ. 2560 มาตรา 49 กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ หรือ หน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนการกระทำความผิดอาญาได้รับเรื่องร้องเรียน คำร้องทุกข์กล่าวโทษที่เห็นว่าอยู่ในหน้าที่และอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ร.บ.ดีเอสไอ พ.ศ.2547 หรือกฎหมายให้อำนาจสอบสวนคดีอาญาอื่น ประกอบกับ เป็นฐานของกฎหมายที่รับรองการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือผิดหลายเรื่องต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกับความผิดเลือกตั้ง โดยไม่เสียไป โดยกกต.โอนเรื่องหรือสำนวนหรือดำเนินการเองหรือไม่ก็ได้ จึงถือว่าไม่ได้จัดอำนาจของหน่วยงานอื่นในการรับเรื่องไว้พิจารณา
ข้อสังเกตของกมธ. เมื่อพิจารณาจากห้วงระยะเวลาในการรับเรื่องร้องเรียนเพื่อดำเนินการของดีเอสไอ อาจต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมโดยรวม เช่น ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมืองหรือการแทรกแซงของนักการเมืองในขณะนั้นด้วย
ทั้งนี้ กมธ.ฯ มีข้อเสนอแนะ ควรมีการแก้ไขพ.ร.ป.กกต. พ.ศ. 2560 ให้เกิดความชัดเจนในประเด็นฐานความผิดที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า ควรอยู่ในหน้าที่และอำนาจเด็ดขาดของกกต. หรือ เห็นควรระบุให้ชัดเจนในกรณีที่หน่วยงานอื่นสามารถพิจารณาในประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือสามารถเชื่อมโยงกันได้ เพื่อป้องกันความสับสนในหน้าที่และอำนาจระหว่างหน่วยงาน
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )