เยือน การ์ดิ ซุกดุบ เกาะที่กำลังจมน้ำในปานามาที่ต้องอพยพคนไปตั้งถิ่นฐานใหม่

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
Article info
- Creator, กอนซาโล กาญาดา และ อักุสตินา ลาตูเร็ตต์
- Role, บีบีซีนิวส์มุนโดในปานามา
“หากเกาะจมลง ผมก็จะจมไปพร้อมกับมัน” เดลฟิโน เดวีส์ กล่าวด้วยใบหน้าที่ประทับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ
ท่ามกลางความเงียบ มีเพียงเสียงไม้กวาดบนพื้นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่เขาเป็นเจ้าของเพื่อเก็บบันทึกชีวิตชุมชนของเขาที่ตั้งอยู่ในประเทศปานามา
“ก่อนหน้านี้ คุณสามารถได้ยินเสียงเด็ก ๆ ตะโกนโหวกเหวก เสียงเพลงดังลั่นไปทั่วทุกแห่ง และเสียงชาวบ้านโต้เถียงกัน” เขาบอก “แต่ในตอนนี้ เสียงเหล่านั้นได้หายไปหมดแล้ว”
ชุมชนของเขาอยู่บนเกาะการ์ดิ ซุกดุบ (Gardi Sukdub) ที่เป็นพื้นที่ต่ำและกลายเป็นเกาะแห่งแรกในปานามาที่ผู้คนต้องย้ายถิ่นฐานออก เนื่องจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
รัฐบาลกล่าวว่าพวกเขาเผชิญกับ “ความเสี่ยงที่ใกล้เข้ามา” จากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ามีแนวโน้มจะทำให้เกาะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ภายในปี 2050
เรื่องแนะนำ
Stay of เรื่องแนะนำ
เดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ละทิ้งบ้านไม้และสังกะสีคับแคบเหล่านี้ เพื่อเข้าไปอยู่ในบ้านสำเร็จรูปที่สร้างเรียงกันเป็นระเบียบบนแผ่นดินใหญ่

การโยกย้ายของพวกเขาหมายถึงการเคลื่อนย้ายวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ที่หล่อหลอมด้วยวิถีชีวิตชาวเกาะ ไปยังสภาพแวดล้อมใหม่บนแผ่นดินใหญ่
การย้ายถิ่นฐานได้รับการยกย่องจากบางคนว่าเป็นต้นแบบสำหรับกลุ่มอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งชุมชนของพวกเขากำลังตกอยู่ภายใต้การคุกคามเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นผู้คนในชุมชนยังเสียงแตกต่อประเด็นนี้
“พ่อ พี่ชาย พี่สะใภ้ และเพื่อน ๆ ของผมจากไปแล้ว” เดลฟิโน กล่าว บางครั้งเด็ก ๆ ในบางครอบครัวก็พากันร้องไห้และสงสัยว่าเพื่อน ๆ ของพวกเขาหายไปไหน
บ้านหลังแล้วหลังเล่าถูกล็อกด้วยกุญแจ ผู้คนราว 1,000 คนย้ายออกจากบ้าน ในขณะที่อีกประมาณ 100 คนยังอยู่ที่เกาะด้วยเหตุผลว่าไม่มีพื้นที่เพียงพอในชุมชนแห่งใหม่ ส่วนคนอื่น ๆ เช่น เดลฟิโนไม่เชื่ออย่างสนิทใจว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคาม หรือไม่ก็พวกเขาเพียงแค่ไม่อยากออกจากเกาะนี้ไป
เดลฟิโนบอกว่า เขาต้องการอยู่ใกล้มหาสมุทรที่เขาสามารถตกปลาได้ “ผู้คนสูญเสียประเพณี จิตวิญญาณ แก่นแท้วัฒนธรรมของพวกเราอยู่บนเกาะ” เขากล่าวเสริม

ชาวกูนาอาศัยอยู่บนเกาะการ์ดิ ซุกดุบ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และอยู่อาศัยเป็นเวลานานกว่านั้นบนเกาะอื่น ๆ ในหมู่เกาะนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของปานามา พวกเขาหนีออกจากแผ่นดินใหญ่เพื่อหนีการรุกรานจากนักล่าอาณานิคมชาวสเปน รวมทั้งโรคระบาด และความขัดแย้งกับกลุ่มชนพื้นเมืองอื่น ๆ
พวกเขาเป็นที่รู้จักจากภายนอกด้วยเสื้อผ้าที่เรียกว่า “โมลาส” ซึ่งตกแต่งด้วยสีสันสดใส
ปัจจุบันชาวกูนาอาศัยอยู่ในเกาะอีกกว่า 40 เกาะ ด้าน สตีฟ แพตตัน นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยเขตร้อนสมิธโซเนียนในปานามา กล่าวว่า “เกือบจะแน่นอน” แล้วว่าหมู่เกาะส่วนใหญ่จะจมอยู่ใต้น้ำก่อนสิ้นศตวรรษนี้
รัฐบาลระบุว่ามีชุมชนชายฝั่งมากกว่า 60 แห่งทั่วปานามาที่ตกอยู่ภายใต้แนวโน้มความเสี่ยงต่อระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นภายในปี 2050
เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้โลกร้อนขึ้น ระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้น พร้อมกันนี้ เมื่อธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งละลาย น้ำทะเลก็ขยายตัวมากขึ้นจากความอุ่นที่เพิ่มมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าผู้คนหลายร้อยล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทั่วโลก อาจตกอยู่ในความเสี่ยงภายในศตวรรษนี้

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
บนเกาะการ์ดิ ซุกดุบ คลื่นที่พัดเข้ามาในช่วงหน้าฝนได้ซัดน้ำเข้ามาในบ้าน ขังท่วมใต้เปลญวนที่ครอบครัวของพวกเขานอนหลับ
สตีฟ แพตตัน กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้อย่างมากที่เกาะจะยังเป็นที่อยู่อาศัยไปจนถึงปี 2050” หากพิจารณาจากอัตราการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในปัจจุบันและการคาดการณ์
อย่างไรก็ตาม การหารือครั้งแรกเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานเริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว แต่เป็นไปด้วยเหตุผลเรื่องการเติบโตของจำนวนประชากร ไม่ใช่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ
เกาะนี้มีความยาวเพียง 400 เมตร และกว้าง 150 เมตร ผู้อยู่อาศัยบางคนมองว่าความแออัดเป็นปัญหาที่เร่งด่วนกว่า แต่คนอื่น ๆ เช่น แมกดาเลนา มาร์ติเนซ กลับกังวลต่อระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น
“ทุก ๆ ปี เราเห็นกระแสน้ำที่สูงขึ้น” เธอกล่าว “เราไม่สามารถทำอาหารบนเตาได้ และมันถูกท่วมอยู่เสมอ… ดังนั้นเราจึงคุยกันว่าพวกเราต้องย้ายออกจากที่นี่”
แมกดาเลนาเป็นหนึ่งในผู้ที่พยายามปีนป่ายขึ้นไปบนเรือยนต์และเรือแคนูไม้เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว เพื่อเดินทางไปยังบ้านหลังใหม่
“ฉันนำเสื้อผ้าและเครื่องครัวมาเท่านั้น” เธอบอก “คุณสามารถรู้สึกได้ว่าเหมือนกำลังทิ้งส่วนหนึ่งของชีวิตไว้บนเกาะ”

อิสเบอร์ยาลาซึ่งเป็นชุมชนแห่งใหม่ อยู่ห่างจากการ์ดิ ซุกดุบ เพียง 15 นาทีโดยเรือ ตามด้วยการเดินทางด้วยรถยนต์อีก 5 นาที แต่มันให้ความรู้สึกเหมือนอีกโลกหนึ่ง
บ้านสีขาวและสีเหลืองที่รูปร่างเหมือนกันตั้งเรียงรายไปตามถนนลาดยาง
ดวงตาของแมกดาเลนาเปล่งประกายขึ้นเมื่อเธออวด “บ้านหลังเล็ก” ซึ่งเธออาศัยอยู่กับบิแอนกา หลานสาววัย 14 ปี และสุนัขของเธอ
บ้านแต่ละหลังมีที่ดินขนาดเล็กอยู่ด้านหลัง ซึ่งเป็นความหรูหราที่ไม่มีบนเกาะ
“ฉันต้องการปลูกมันสำปะหลัง มะเขือเทศ กล้วย มะม่วง และสับปะรด” เธอกล่าวอย่างกระตือรือร้น
“มันค่อนข้างน่าเศร้าที่ต้องออกจากสถานที่ที่คุณอยู่มานาน คุณคิดถึงเพื่อน ๆ ถนนที่คุณอยู่อาศัยซึ่งใกล้ทะเลมาก” เธอกล่าว

อิสเบอร์ยาลาสร้างขึ้นด้วยเงินทุน 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 525 ล้านบาท) โดยรัฐบาลปานามา และได้เงินทุนเพิ่มเติมจากธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างอเมริกา
ในอาคารประชุมแห่งใหม่ซึ่งหลังคาปูด้วยกิ่งไม้และใบไม้สไตล์ดั้งเดิม ติโต โลเปซ ผู้นำของชุมชนกำลังรออยู่
“ตัวตนและวัฒนธรรมของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มีเพียงบ้านเท่านั้นที่เปลี่ยนไป”
เขาเอนกายนอนลงในเปลญวนและอธิบายต่อว่า ตราบใดที่เปลญวนยังคงอยู่ในวัฒนธรรมชาวกูนา “หัวใจของชาวกูนาจะยังคงมีชีวิตอยู่”
เมื่อชาวกูนาxาย พวกเขาจะนอนอยู่บนเปลเป็นเวลา 1 วัน เพื่อให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงได้มาเยี่ยมเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเปลจะถูกฝังไว้ข้าง ๆ Xพของพวกเขา

ผู้อยู่อาศัยในบ้านบางหลังได้ผูกเปลญวนในบ้านใหม่ของพวกเขา ในขณะที่ในโรงเรียนใหม่ที่ทันสมัยมากขึ้น มีนักเรียนอายุ 12 และ 13 ปี กำลังซ้อมดนตรีและเต้นรำกูนา เด็กผู้ชายสวมเสื้อสีสดใสเล่นปี่แพน ในขณะที่เด็กผู้หญิงสวมโมลาสเขย่ามาราคัส
ฟรานซิสโก กอนซาเลส ผอ.โรงเรียน กล่าวว่า กระแสน้ำที่สูงขึ้นและความแออัดทำให้การบริหารโรงเรียนบนเกาะเป็นเรื่องยาก
“เราสร้างห้องเรียนในมุมต่าง ๆ ของเกาะ ไม่ว่าเราจะหาที่ว่างตรงไหนได้ก็ตาม” เขากล่าว
โรงเรียนบนเกาะปิดตัวลงแล้ว และในแต่ละวัน นักเรียนที่ครอบครัวยังอาศัยอยู่บนเกาะต้องเดินทางมายังโรงเรียนแห่งใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์ สนามกีฬา และห้องสมุด

แมกดาเลนาบอกว่า สภาพบนเกาะอิสเบอร์ยาลาดีกว่าเกาะที่เดิม ซึ่งเธอบอกว่ามีไฟฟ้าใช้เพียงวันละ 4 ชั่วโมง และต้องล่องเรือไปตักน้ำดื่มจากแม่น้ำในแผ่นดินใหญ่
บนอิสเบอร์ยาลา มีไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งวัน แต่น้ำที่สูบขึ้นมาจากบ่อน้ำใกล้เคียงจะเปิดใช้ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน บางครั้งระบบก็พังไปหลายวัน
นอกจากนี้ที่ชุมชนแห่งใหม่นี้ยังไม่มีสถานพยาบาล ยานิเซลา วิลลาริโน ผู้อยู่อาศัยอีกคนกล่าวว่าเย็นวันหนึ่งลูกสาวคนเล็กของเธอไม่สบาย และเธอต้องนัดหมายรถกลับไปยังเกาะตอนดึก เพื่อไปพบแพทย์
เจ้าหน้าที่ปานามาบอกกับบีบีซีว่า การก่อสร้างโรงพยาบาลในอิสเบอร์ยาลาหยุดชะงักไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากขาดเงินทุน แต่พวกเขาบอกว่าหวังว่าจะฟื้นแผนนี้ให้ได้ในปีนี้ และกำลังประเมินว่าจะจัดสรรพื้นที่ให้ผู้อยู่อาศัยที่เหลือสามารถย้ายออกจากเกาะได้อย่างไร

ยานิเซลาดีใจมากที่ตอนนี้เธอสามารถเข้าเรียนภาคค่ำที่โรงเรียนใหม่ได้แล้ว แต่เธอก็ยังกลับมาที่เกาะนี้บ่อย ๆ เพื่อซักผ้าตอนที่น้ำในอิสเบอร์ยาลาไม่ไหล และกลับไปเยี่ยมแม่ รวมถึงพี่ชายที่เธอทิ้งไว้ข้างหลัง
“ฉันยังไม่ชินกับมัน และฉันก็คิดถึงบ้าน” เธอกล่าว
เอริกา โบเวอร์ นักวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากองค์กรฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวว่า ชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลกจะได้รับ “แรงบันดาลใจ” จากวิธีที่ชาวเกาะการ์ดิ ซุกดูบ เผชิญกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“เราจำเป็นต้องเรียนรู้จากตัวอย่างในช่วงแรก ๆ เหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจว่าความสำเร็จนั้นเป็นอย่างไร” เธอกล่าว
“เราทุกคนรักสถานที่และผู้คนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย” เธอกล่าวเสริม “ฉันคิดว่าคนในสิงคโปร์ คนในไมอามี คนในลอสแอนเจลิส คนในรัสเซีย ควรคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคุณกับสถานที่เหล่านั้น”

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
เมื่อถึงช่วงบ่าย กิจกรรมของโรงเรียนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเสียงตะโกนและการทะเลาะเบาะแว้งของทีมฟุตบอล บาสเก็ตบอล และวอลเลย์บอล
“ฉันชอบที่นี่มากกว่าเกาะ เพราะเรามีพื้นที่เล่นมากกว่า” เจอร์สัน วัย 8 ขวบกล่าว ก่อนจะกระโดดไปเตะฟุตบอล
แมกเดเลนานั่งสอนหลานสาวเย็บชุดโมลาส
“มันยากสำหรับเธอ แต่ฉันรู้ว่าเธอจะเรียนรู้ได้ วิถีที่เป็นเอกลักษณ์ของเราไม่สูญหายไป” แมกเดเลนากล่าว
เมื่อถามว่าเธอคิดถึงเกาะการ์ดิ ซุกดุบ ตรงไหนบ้าง เธอตอบว่า “ฉันหวังว่าเราทุกคนจะอยู่ที่นี่”
ที่มา BBC.co.uk