ไทยแพ้สงครามลูกผสม (hybrid war) ให้กับกัมพูชาแล้วหรือไม่ และนี่ทำให้เห็นความอ่อนแอด้านการต่างประเทศของไทยอย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Photos

Article Recordsdata

    • Author, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
    • Characteristic, ผู้สื่อข่าว.

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระบุ เหตุขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชารอบนี้เป็นสงครามลูกผสม (Hybrid war) และความอ่อนแอของการต่างประเทศของไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศเสียเปรียบไปแล้วเกือบสิ้นเชิงในด้านสงครามข้อมูลข่าวสาร

นี่เป็นข้อสรุปบางส่วนในงานเสวนา เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: บทสะท้อนการเมืองและการต่างประเทศไทยในภูมิศาสตร์โลกปัจจุบัน ซึ่งจัดโดยสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS Thailand) คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา

สงครามลูกผสมในครั้งนี้เป็นอย่างไร

นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ มั่งคั่ง อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวในงานเสวนาครั้งนี้ว่าเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นสงครามแบบจำกัด (restricted war) เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายอยู่ที่ต่างฝ่ายต่างสถาปนาอำนาจในพื้นที่ชายแดนที่ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเป็นของตนเอง ต่างจากสงครามในอดีตที่กองทัพเวียดนามเคยบุกกรุงพนมเปญในห้วงสงครามกัมพูชา-เวียดนามช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 ซึ่งเป็นสงครามแบบไม่จำกัด (unlimited war) อันมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดง

หากวิเคราะห์คุณค่าการทำสงคราม เขาเห็นว่าฝ่ายกัมพูชามองว่าคุณค่าของเป้าหมายชายแดนที่เป็นปัญหาในปัจจุบันนั้น “สูงกว่า” ของไทย เนื่องจากกัมพูชามองว่าพื้นที่นี้เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่เป้าหมายที่สูงกว่านั้น นั่นคือความพยายามต้องการกระชับอำนาจของตระกูลฮุน ซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากสมเด็จฮุน เซน ผู้ครองอำนาจนำในกัมพูชา ไปยังฮุน มาเนต ผู้เป็นลูกชาย และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

.สอบถาม นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ ว่าเหตุใดเขาจึงเชื่อในข้อสมมติฐานนี้ ท่ามกลางข้อถกเถียงที่มองว่าในอีกทางหนึ่ง ตระกูลฮุนอาจไม่ได้ต้องการจุดกระแสชาตินิยมเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ลูกชายคนโต เพราะพวกเขามีอำนาจมั่นคงเกินพออยู่แล้ว จากการปกครองแบบอำนาจนิยมเข้มข้นมายาวนานหลายทศวรรษ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

นักวิชาการผู้นี้ตอบว่าหากมองว่าฝ่ายกัมพูชาสนใจเพียงเรื่องพื้นที่ชายแดนและปราสาทหิน พวกเขาคงไม่ใช้ปราสาทหินเป็นป้อมปราการในการรับมือกับการปะทะอาวุธ เช่นที่เคยมีการรายงานว่าเกิดขึ้นที่กลุ่มปราสาทหินตาควาย-ตาเมือนธม และปราสาทเขาพระวิหารก็ควรได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีตั้งนานแล้ว นับตั้งแต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลกได้ตัดสินให้ตกเป็นของกัมพูชา

“การทุ่มกำลังลงมาในครั้งนี้มันต้องสำคัญกับกัมพูชามาก ๆ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดน แต่มันคือการดำรงอยู่ของระบอบอำนาจ” เขากล่าว

เขามองว่าเป้าหมายสูงสุดของกัมพูชาครั้งนี้มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ การปลุกกระแสชาตินิยมและหาศัตรูรูร่วมเพื่อกำชับอำนาจให้กับตระกูลฮุน, ผลักดันให้กรณีพื้นที่พิพาทเขตแดนไปยังศาลโลก, และการสร้างมรดกที่เป็นอมตะให้กับสมเด็จฮุน เซน

“เขาจะต้องเป็นอมตะ เขาจะต้องกลับมาเป็น chronicle (เรื่องเล่า) ในประเทศของตนเอง ถึงแม้ตัวเขาเสียชีวิตไปแล้ว” นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ กล่าว “เขาต้องการทิ้ง legacy (มรดก) เอาไว้”

ด้วยเหตุนี้ อาจารย์จากจุฬาฯ ผู้นี้จึงมองว่าหากกัมพูชาทำไม่สำเร็จตามเป้าหมาย ความพ่ายแพ้จะส่งผลต่อพวกเขา “อย่างมหาศาล” เมื่อเทียบกับฝ่ายไทยที่ดำเนินการเพื่อปกป้องตนเอง

อย่างไรก็ตาม .พบว่าเมื่อเหตุความขัดแย้งครั้งนี้ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเปิดฉากการโจมตีก่อน และออกมาบอกว่าจำเป็นต้องใช้กำลังตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ขณะเดียวกันไทยยังพบหลักฐานว่ามีอาวุธของกัมพูชามาตกในพื้นที่พลเรือนไทย อย่างกรณีที่ปั๊มน้ำมันใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่ถูกอาวุธหนัก จนเป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิต 8 ราย โดยเจ้าหน้าที่ของไทยพบซากของจรวดsะเบิด BM-21 และระบุว่าเป็นอาวุธที่ไทยไม่มี

ที่มาของภาพ : Getty Photos

สมเด็จฮุน เซน และ สมเด็จฮุน มาเนต

นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ กล่าวต่อว่า การไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อเทียบกับเครื่องมือในการทำสงคราม เห็นได้ว่ากองกำลังทหารของกัมพูชานั้นห่างชั้นกับไทยหลายเท่า เช่น จากการจัดลำดับโดยโกลบอล ไฟเออร์พาวเวอร์ (Global Firepower) ระบุว่ากองทัพของไทยมีความเข้มแข็งอยู่ที่อันดับที่ 25 ของโลก ขณะที่กัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 95

“ถ้าเปิดหน้าชกโดยไม่ได้มีมหาอำนาจภายนอกเข้าแทรกแซง ก็พอทำนายผลได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เขากล่าว

“หากมองในเชิงการทหาร สงครามครั้งนี้จึงเป็นสงครามลูกผสม (Hybrid war) ระหว่างสงครามที่ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ แต่เมื่อเราดูเป้าหมายของสงครามจะเห็นว่ามันเกี่ยวข้องทั้งด้านการทูตและการเมือง ดังนั้นแม้สงครามในสนามจะจบ แต่ตัวสงครามจริง ๆ ไม่ได้จบ เรายังต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ ‘ความจริง' ในโลกไซเบอร์ผ่านโซเชียลมีเดียกันต่อ” เขากล่าว

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคนนี้เสริมว่า การดำเนินสงครามลูกผสมไม่ได้จำกัดเครื่องมือที่ใช้ในการรบในแนวหน้าและสื่อออนไลน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ การเปิด-ปิดชายแดน การปราบปรามกาสิโนออนไลน์และสแกมเมอร์ออนไลน์ รวมถึงการตัดไฟและการโทรคมนาคม

นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ มองว่ากัมพูชาพยายามสื่อสารกับนานาชาติว่าประเทศของตนเองเป็น “เหยื่อ” ขณะที่ไทยต่างหากที่เป็น “ผู้รุกราน” ดังนั้นหากไทยเลือกนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ ก็ย่อมถูกโลกมองว่าเป็น “ประเทศเข้มแข็งที่กำลังรังแกประเทศที่อ่อนแอกว่า”

“ผลการรบในไซเบอร์ดูเหมือนว่าเราจะเสียเปรียบ เพราะเราเดินตามเกมของกัมพูชาตลอดเวลา” เขากล่าว “จึงเป็นคำถามใหญ่ว่าทั้ง ๆ ที่ไทยมีอำนาจทางทหารมากกว่ากัมพูชาขนาดนี้ แต่เหตุใดไทยไม่สามารถประสานกำลังอำนาจให้เป็นเนื้อเดียวกันได้”

เขาวิเคราะห์ต่อว่าความขัดแย้งเช่นนี้จะไม่มีวันยุติลงจนกว่ากัมพูชาจะได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ

“เขาจะไม่หยุด แต่จะยิ่งโถมทุกปฏิบัติการที่เขาสามารถทำได้ นั่นคือการใช้ข้อมูลข่าวสารโจมตีฝ่ายไทยทุกวัน ๆ ก็ต้องเตรียมรับมือ” โดยแนะนำว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยไม่อาจทำงานเชิงรับได้อีกต่อไปแล้ว

“ทางแก้ คือ เราต้องสมมติว่าหากเราเป็นเขา เขาจะคิดแบบไหน กระทรวงการต่างประเทศต้องไม่ใช่แค่มีผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมรที่เป็นล่ามเฉย ๆ แต่ต้องเข้าใจว่า ‘ถ้าเราเป็นเขมร เป็นฮุน เซน เราเป็นผู้กำหนดนโยบาย เราจะทำอะไรต่อไป'” นักวิชาการผู้นี้บอกกับ.

“ที่ผ่านมาเขาแทบจะเป็นเรา เขารู้หมดว่าเราคิดอย่างไร และจะทำอะไรต่อไป”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ในงานเสวนาดังกล่าว นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ กล่าวต่อว่าโดยปกติแล้วในทางทหาร จะมีการวิเคราะห์สิ่งที่เรียกว่า “จุดศูนย์ดุล (heart of gravity)” ซึ่งหมายถึงสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายเสียสมดุล ทำสงครามต่อไม่ได้ หากมันถูกทำลายลงไป

เขาเห็นว่าคนทั่วไปต่างมองเห็นว่าจุดศูนย์ดุลของฝ่ายกัมพูชา คือ สมเด็จฮุน เซน ในฐานะผู้บัญชาการทหารและการใช้สงครามข่าวสารเพื่อสื่อสารกับชาวโลก แต่สุดท้ายแล้วแนวคิดกำจัดสมเด็จฮุน เซน นั้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและไม่สามารถทำได้ด้วยข้อจำกัดเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมถึงหลักมนุษยธรรม

“เราจึงต้องทำลายจุดศูนย์ดุลลำดับรองลงมา นั่นคือจุดศูนย์ดุลระดับยุทธการ โดยดูจากกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดที่เข้ามารุกคืบพื้นที่ หากมองทางกายภาพคือเครื่องยิvจรวด PHL-03 ที่ยิvได้ไกลกว่า100 กิโลเมตร รวมถึงตัว BM-21 ซึ่งทางกองทัพอากาศของไทยก็พยายามทำตรงนั้นอยู่ หากทางเขายิvมา มันก็คือการชี้เป้าว่าอยู่ตรงไหน กองทัพอากาศก็จะขึ้นบินทันที เพื่อทำลายเป้าหมาย”

แต่ท้ายสุดแล้ว เขาเห็นว่าปลายทางของเรื่องนี้จะต้องไปจบลงที่สันติภาพให้ได้ และเป็นคำถามอีกข้อใหญ่ว่าทั้งสองประเทศจะพาตนเองไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร

“ก่อนจะถึงจุดนั้น ผมขอมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน หากสิ่งที่ผมวิเคราะห์ว่าเป้าหมายของกัมพูชามาจากระบอบการเมืองของเขาเองที่ต้องการกระชับอำนาจและสร้างความนิยมให้กับนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ ผมไม่มั่นใจว่าเขาจะหยุดเมื่อไร ต่อให้เขาเอาเรื่องขึ้นศาลโลกแล้ว สมมติเขาชนะกรณีปราสาทด้วย ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะพึงพอใจหรือเปล่า”

นักวิชาการผู้นี้มองว่าสิ่งที่ไทยทำได้ในตอนนี้ คือ ต้องผนึกในประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ และผู้ที่ต้องแสดงบทบาทนี้คือรัฐบาลเท่านั้น

“รัฐบาลต้องแสดงภาวะผู้นำ ดึงกำลังทั้ง 4 ด้านของประเทศ ทั้งด้านอำนาจการทูต อำนาจข้อมูลข่าวสาร อำนาจด้านเศรษฐกิจ และอำนาจการทหารของไทย มาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศในครั้งนี้” นาวาเอก อ.ดร.หัสไชยญ์ แนะนำ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 (ซ้าย) เคยถูกนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เรียกว่า “ฝ่ายตรงข้าม” ในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ทางโทรศัพท์ ที่ถูกปล่อยคลิปเสียงออกมาเมื่อเดือน มิ.ย. 2568

ขณะเดียวกัน ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ภาควิชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในผู้ร่วมงานเสวนา กล่าวเสริมกับ.ว่า รัฐบาลไทยปล่อยให้ทหารรับบทนำตั้งแต่เกิดความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

นอกจากนี้การแถลงของกองทัพหรือแม่ทัพภาคที่ 2 หลายครั้งก็ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาล ทำให้เกิดคำถามว่ามีความเป็นเอกภาพระหว่างกองทัพกับรัฐบาลหรือไม่

“ถ้าจำไม่ผิด ตัวท่านทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ซึ่งเป็นประธานการเจรจาของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝั่งไทย แกพูดชัดว่าต้องใช้แผนที่ 1:200,000 ต้องใช้ MoU2543 เขาอยู่กับเรื่องนี้มา 20 ปี เคยเป็นทูตเขมร และไม่เคยทิ้งเรื่องนี้ แต่กองทัพไม่ยอมรับแผนที่นี้ แล้วมันจะคุยกันอย่างไร ฝ่ายไทยเองก็ขัดแย้งกันเอง แล้วรัฐบาลจะเอายังไงล่ะ พอมันไม่เป็นเอกภาพ ต่างคนต่างทำ กองทัพก็ดูมีเสรีภาพในการที่จะทำอะไรเป็นของตัวเอง มันก็เกิดความไม่แน่ชัดว่าจะเอาอย่างไร เพราะรัฐบาลเองก็ไม่กล้าพูดขัดแย้งกองทัพเลย”

ในมุมมองนักวิชาการผู้นี้ เธอมองว่าการปล่อยให้ทหารรับบทบาทนำนั้นเป็นปัญหาใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่ากรอบการเจรจาใด ๆ จะถูกจำกัดอยู่ที่มุมมองแบบทหาร มากกว่ามิติอื่น ๆ เช่น เศรษฐกิจและสังคม

“ถ้าคุณต้องการหาทางประนีประนอมผ่อนคลายความตึงเครียด มันต้องใช้หลายวิธีการควบคู่กัน เช่น จะเปิดให้มีการค้าไหม มีการเปิด-ปิดด่านไหม ซึ่งอาจเป็นโอกาสหนึ่งที่ช่วยลดการปะทะบริเวณชายแดนได้ แต่ทหารจะไม่ค่อยคิดในมุมเหล่านี้”

อีกหน่วยงานหนึ่งที่บทบาทแทบจะหายไป คือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นหน่วยงานที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านชายแดนและความมั่นคงอยู่เป็นจำนวนมาก โดย ศ.ดร.พวงทอง ตั้งข้อสังเกตว่าไม่เห็นการทำงานของ สมช. ในลักษณะเป็นตัวเชื่อมหลักระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ รวมถึงเป็นผู้ให้คำปรึกษารัฐบาลในด้านนโยบายด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องเลย นับตั้งแต่เกิดเหตุขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาขึ้น

“รัฐบาลรู้ไหมว่าต้องใช้หน่วยงานอะไรบ้างในการทำงานให้ตัวเอง” เธอกล่าว “รัฐบาลแย่นะ พรรคเพื่อไทยแย่มาก ครั้งนี้คือข้ออ่อนแอในการดำเนินนโยบายทุกด้าน”

สงครามลูกผสมในครั้งนี้ ยิ่งเผยให้เห็นความอ่อนแอด้านการต่างประเทศของไทยอย่างไร

ศ.ดร.พวงทอง บอกกับ.ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การต่างประเทศของไทยอ่อนแอลงหลายมิติ ส่งผลให้จากเดิมที่ประเทศไทยเคยเป็นแนวหน้าของอาเซียน ต้องกลายเป็นมา “ตัวปัญหาของอาเซียน” เสียเอง และสงครามลูกผสมในครั้งนี้ ยิ่งฉายให้เห็นความอ่อนแอในงานด้านนี้ของไทย อันเห็นได้จากการทำงานเชิงรับมากกว่าเชิงรุก เมื่อต้องเผชิญกับสงครามข้อมูลข่าวสาร

เธอกล่าวว่าที่ผ่านมาไทยเคยรับบทบาทนำและเป็นผู้สร้างความริเริ่มใหม่ ๆ ในอาเซียน เช่น กรณีการแก้ไขปัญหากัมพูชาในยุคสงครามเย็น ต่อเนื่องมาจนถึงยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นทำให้อาเซียนเกิดความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจมากขึ้น จากนโยบาย “เศรษฐกิจนำการทหาร” ส่งผลให้อาเซียนมีประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น เกิดการขยายตัวของตลาดและขยายฐานการผลิต อันนำไปสู่การเกิดข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Substitute Agreement- FTA) และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Neighborhood-AEC) ในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ ไทยยังเคยร่วมมือกับอินโดนีเซีย และมาเลเซีย จัดตั้งกลไกอาเซียนทรอยกา (ASEAN Troika) เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในกัมพูชาระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับ เจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์ ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีร่วมกัน และต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายต้องการทำรัฐประหารเพื่อโค่นล้มกันและกัน จนเจ้าชายรณฤทธิ์ต้องหนีออกนอกประเทศ

“เป็นครั้งแรกที่อาเซียนเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น โดยมีข้อกำหนดชัดเจนเลยว่าฮุน เซน ต้องยอมให้รณฤทธิ์กลับไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมรับกัมพูชาเข้ามาเป็นสมาชิกของอาเซียน”

ที่มาของภาพ : AFP by the utilization of Getty Photos

เจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์ (ซ้าย) และ สมเด็จฮุน เซน (ขวา)

แม้แต่ในสมัยที่นายทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรียุคแรก ๆ เขาก็พยายามผลักดัน ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ซึ่งแสดงให้เห็นความพยายามในการใช้เวทีระหว่างประเทศเพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจและสถานะของประเทศไทยบนเวทีนานาชาติ

“สิ่งเหล่านี้มันทำให้เห็นว่าการต่างประเทศของไทยเคยมี initiative (ความริเริ่ม) ใหม่ ๆ แต่เราไม่เห็นสิ่งนี้หลังจากเกิดรัฐประหารในปี 2549” ศ.ดร.พวงทอง กล่าว

เธอกล่าวว่าการเลือกตัวรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศในช่วงหลัง มักถูกเลือกมาเพื่อตอบสนองผลประโยชน์เฉพาะ เช่น เพื่อแก้ต่างให้รัฐบาลหรือผู้นำรัฐบาล หรือแก้ปัญหาให้กับผู้นำรัฐบาลเป็นหลัก แต่ไม่ได้ถูกเลือกจากความรู้ความสามารถด้านการต่างประเทศโดยตรง

หลังการรัฐประหารปี 2549 มีการจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจที่ประกอบไปด้วยอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศและนักวิชาการ ช่วยกันเดินสายไปต่างประเทศ “เพื่ออธิบายว่าเหตุใดจึงต้องเกิดการรัฐประหาร และสร้างความชอบธรรมให้กับคณะรัฐประหาร”

หลังจากการเลือกตั้งปี 2550 พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้ง และได้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นได้ว่ามีการเลือกนายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ขึ้นมาเป็น รมว.ต่างประเทศ

“คุณนพดลก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการต่างประเทศ แต่คุณทักษิณในเวลานั้นมีปัญหาเรื่องฝ่ายคณะรัฐประหารพยายามไล่ถอดถอนพาสปอร์ตเล่มเขียว หรือต้องการให้อินเตอร์โพล (ตำรวจสากล) ส่งคุณทักษิณกลับบ้าน คุณนพดลในด้านหนึ่งก็มา facilitate (อำนวยความสะดวก) ช่วยเหลือกิจการปัญหาของพรรค”

ต่อมาในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีการแต่งตั้งนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็น รมว.ต่างประเทศ ซึ่ง “เขาไม่ได้มีความรู้เรื่องด้านระหว่างประเทศเลย แต่เป็นญาติ เป็นคนใกล้ชิดที่ได้รับความไว้วางใจ”

ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบว่านายกษิต ภิรมย์ ได้เป็น รมว.ต่างประเทศ แม้เขามีประสบการณ์ในกระทรวงการต่างประเทศมาก่อน แต่ได้ตำแหน่งนี้เนื่องจากมีบทบาทโดดเด่นในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จากการต่อต้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ปราสาทเขาพระวิหาร

“กรณีของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา นี่ชัดเจนเลย ถือว่าเป็นช่วงที่ตกต่ำของกระทรวงการต่างประเทศมาก” ศ.ดร.พวงทอง กล่าว โดยหยิบยกความพยายามของ นายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีต รมว.ต่างประเทศ ในสมัยนั้นที่แก้ต่างให้กับคณะรัฐประหาร โดยชี้แจงกับต่างชาติว่าการรัฐประหารของไทย “ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน” หรือการบอกว่า “ไทยเป็นประชาธิปไตย Ninety nine%”

“ในอีกทางหนึ่งเขาพูดเพื่อ home consumption (นัยถึงการสื่อสารต่อคนในประเทศ) อยากให้คนไทยได้ยินด้วย โดยบอกว่าต่างชาติไม่มีปัญหากับประชาธิปไตยไทย ทั้งที่ข้อเท็จจริงมันตรงกันข้าม” เธอกล่าว “และเพื่อเอาใจคนที่เลือกตัวเองขึ้นมา”

นอกจากนี้ รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์การรัฐประหารปี 2021 ของเมียนมา และมีท่าทียอมรับ พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้กระทำการยึดอำนาจ ทั้งที่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนมีท่าทีที่ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด

“ถ้ามองจากมุมมองคนภายนอกเข้ามา ไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือและสถานะในเวทีโลกไปแล้ว ก่อนรัฐประหาร 2549 ประเทศไทยเคยถูกยกตัวอย่างว่าเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเข้มแข็ง ภาคประชาสังคมเข้มแข็ง ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็น และยังถูกคาดหวังว่าจะเป็นแกนนำผลักดันประชาธิปไตยในอาเซียน ไทยยังเป็นศูนย์กลางในการสนับสนุนองค์กรภาคประชาสังคม หรือเอ็นจีโอในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า แต่ปัจจุบันไทยไม่สามารถให้ความปลอดภัยกับฝ่ายค้านของประเทศเพื่อนบ้านได้อีกต่อไป เพราะกลไกรัฐพันลึกยังคงอยู่ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานมันยังอยู่” เธอกล่าว

นอกจากนี้ อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวด้วยว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ตามคำร้องของจีน ยังเป็นกรณีล่าสุดที่ทำให้การต่างประเทศของไทยถดถอยลงอย่างมาก และทำให้ความน่าเชื่อถือของไทยในสายตาโลกแย่ลงตามไปด้วย

ศ.ดร.พวงทอง เห็นว่าที่จริงแล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ควรเป็นตำแหน่งที่ได้มาด้วยความสามารถ มากกว่าเป็นตำแหน่งที่ได้มาเพราะสามารถตอบสนองต่อผลประโยชน์เฉพาะให้กับผู้นำรัฐบาล โดยผู้นั่งตำแหน่งนี้ควรมีความรอบรู้ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง พิธีการทูตต่าง ๆ รวมถึงการเมืองระหว่างประเทศ

“ในกระทรวงการต่างประเทศเต็มไปด้วยคนเก่งเยอะ” เธอกล่าว และเห็นว่ารัฐมนตรีคือหัวเรือสำคัญในการประสานพลังเหล่านี้เข้ากับการทำงานของฝ่ายรัฐบาล

ทว่า เมื่อมองสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยกำลังเผชิญปัญหารุมเร้าทางการเมืองรอบด้าน โดย ศ.ดร.พวงทอง ชี้ว่าแม้แต่การริเริ่มงานปักปันเขตแดนทางทะเลที่อาจนำมาสู่การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาได้ ก็ยังเป็นไปได้ยากและถูกฝ่ายที่มองว่านายทักษิณและตระกูลชินวัตร “ครอบงำรัฐบาล” ใช้เป็นประเด็นในการต่อต้านรัฐบาล ทำให้รัฐบาลต้องพะวงกับการแก้ข่าวอยู่เสมอ

“พอการเมืองมันยุ่ง รัฐบาลก็ไม่มีเวลาหรือไม่มีการระดมความคิดเห็นที่สำคัญ อย่างพรรคเพื่อไทยในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นคุณอุ๊งอิ๊ง คุณภูมิธรรม บรรดารัฐมนตรีของเพื่อไทย เขาไม่เข้าใจว่าพื้นที่ระหว่างประเทศมันจะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างนโยบายที่ทำให้ไทยได้ประโยชน์อย่างไรบ้าง และเขาน่าจะไม่มีคนทำด้วย”

“กระทรวงการต่างประเทศเองก็ไม่สามารถ provoke (ริเริ่ม) อะไรได้ ก็อย่างที่เราเห็นในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา ความถดถอยนี้มันกินระยะเวลานาน และกลายเป็นความอ่อนแออย่างที่เราเห็น” ศ.ดร.พวงทอง กล่าวกับ.