
ชาวไต้หวันซ้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้วางใจว่ากองทัพจีนยังไม่บุกโจมตีในเร็ววันนี้

ที่มาของภาพ : Getty Photos
Article Recordsdata
-
- Author, เทสซา หว่อง
- Characteristic, ผู้สื่อข่าวดิจิทัลภูมิภาคเอเชีย
มันเป็นเช้าวันศุกร์ที่แสนจะปกติธรรมดาบนเกาะคินเหมิน (Kinmen) หรือเกาะจินเหมินของไต้หวัน ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพียงไม่กี่กิโลเมตร แต่ทันใดนั้นเสียงหวอหรือไซเรนที่เป็นสัญญาณเตือนภัย จู่ ๆ ก็แผดดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบของเกาะแห่งนี้
ที่สำนักงานขององค์กรปกครองท้องถิ่น ผู้คนพากันปิดไฟและมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะ บ้างก็วิ่งหนีไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน ส่วนที่โรงพยาบาลในละแวกใกล้เคียง แพทย์พยาบาลรีบรุดไปรักษาผู้ป่วยจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย แต่ละคนต่างได้รับบาดเจ็บหนักจนเลืoดไหลแดงฉาน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าตื่นตกใจ เพราะเลืoดที่ไหลนองอยู่นั้นเป็นของปลอม ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บก็คือบรรดานักแสดงอาสาสมัคร ประชาชนเหล่านี้รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต่างก็กำลังเข้าร่วมฝึกซ้อมการป้องกันภัยพลเรือน ซึ่งรัฐบาลไต้หวันจัดขึ้นทั่วประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว โดยเป็นการฝึกซ้อมภาคบังคับที่มีขึ้นพร้อมกับการซ้อมรบของกองทัพ เพื่อเตรียมรับการบุกโจมตีของจีนที่อาจมีขึ้นได้ทุกเมื่อ

ที่มาของภาพ : Tessa Wong/ BBC
ก่อนหน้านี้จีนได้ให้คำมั่นมานานแล้วว่า จะต้องนำไต้หวันกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้ แม้จะต้องใช้กำลังทหารเข้าจัดการก็ตาม ถ้อยคำดังกล่าวถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ที่ไต้หวันมองว่ามีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริงและมีความเป็นไปได้เพิ่มสูงขึ้นทุกขณะ โดยประธานาธิบดีวิลเลียม ไล ของไต้หวัน ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำเมื่อปีที่แล้ว เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี เพื่อผลักดันให้ไต้หวันเร่งเสริมความแข็งแกร่งด้านการป้องกันประเทศ
แต่ถึงกระนั้น อุปสรรคที่ท้าทายแผนการดังกล่าวของประธานาธิบดีไหลมากที่สุด ก็คือการจูงใจให้ประชาชนเชื่อว่า การเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉินกรณีกองทัพจีนบุกไต้หวัน เป็นเรื่องจริงจังเร่งด่วนอย่างยิ่ง และแม้แผนการที่ผลักดันให้ไต้หวันเร่งเสริมการป้องกันตนเอง จะช่วยให้ประธานาธิบดีไหลได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดการถกเถียงโต้แย้งในวงกว้างด้วยเช่นกัน

“เราจำเป็นต้องร่วมฝึกซ้อมป้องกันภัยการโจมตีจากจีน ผมเชื่อว่ามีภัยคุกคามบางอย่างจากจีนจริง” เบ็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินมืออาชีพที่ทำงานในกรุงไทเปกล่าว “แต่ความเสี่ยงที่จีนจะบุกไต้หวันนั้นมีอยู่ต่ำมาก หากจีนอยากจะโจมตีเราจริง พวกเขาคงทำไปนานแล้ว”
ผลสำรวจที่เผยแพร่เมื่อเดือนพ.ค. ของปีนี้ ของสถาบันเพื่อการวิจัยทางยุทธศาสตร์และการป้องกันชาติ (INDSR) ซึ่งเป็นสถาบันในสังกัดของกองทัพไต้หวัน ระบุว่าชาวไต้หวันส่วนใหญ่ราว 65% ต่างก็คิดเหมือนกับเบ็น โดยคาดการณ์ว่าจีนไม่น่าจะบุกโจมตีไต้หวัน ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
น่าแปลกใจว่าชาวไต้หวันยังคงใจเย็น ทั้งที่สหรัฐฯ เคยออกคำเตือนว่า ภัยคุกคามจากจีนนั้น “ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว” โดยตอนนี้จีนอยู่ระหว่างตระเตรียมสรรพกำลัง เพื่อให้พร้อมรุกรานไต้หวันภายในปี 2027
การเตรียมการทางทหารของไต้หวัน
ประธานาธิบดีไหลกับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของเขา เพียรพยายามอธิบายกับประชาชนว่าเหตุใดจึงหวาดระแวงจีนนัก โดยได้พูดย้ำข้อความเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “หากเราเร่งเตรียมพร้อมรับศึก ก็จะหลีกเลี่ยงการทำสงครามได้” พวกเขายังเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าไม่ได้กระหายสงคราม แต่กำลังใช้สิทธิในการป้องกันตนเองต่างหาก
นอกจากจะริเริ่มดำเนินการปฏิรูปกองทัพครั้งใหญ่แล้ว รัฐบาลของประธานาธิบดีไหลยังเล็งจะเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศขึ้นอีก 23% ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้งบดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง 949,500 ล้านดอลลาร์ไต้หวันใหม่ (NTD) หรือมากกว่า 1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว เงินจำนวนนี้คิดเป็นกว่า 3% ของจีดีพี (GDP) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไต้หวัน แต่ประธานาธิบดีไหลก็ยังต้องการจะเพิ่มงบป้องกันประเทศขึ้นไปอีกถึง 5% ในปี 2030 เนื่องจากมีแรงกดดันจากสหรัฐฯ ให้ไต้หวันลงทุนเพิ่มด้านการทหาร

ที่มาของภาพ : Ritchie B Tongo/ EPA/Shutterstock
หนึ่งในการลงทุนที่ว่า คือการขยายระยะเวลาของการเกณฑ์ทหารให้ยาวนานขึ้น แต่รัฐบาลไต้หวันก็ได้เพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการให้กับบุคลากรของกองทัพด้วย เพื่อชดเชยกับการฝึกฝนที่หนักขึ้นเป็นเงาตามตัว มาตรการเหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังพล ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมายาวนานตั้งแต่ในอดีต รวมทั้งปัญหาที่ทหารไต้หวันอ่อนแอขาดขวัญกำลังใจ เนื่องจากการฝึกฝนที่หย่อนยานไม่ได้มาตรฐาน จนทหารไต้หวันถูกเยาะเย้ยว่าเป็น “ทหารสตรอว์เบอรี” ที่นุ่มนิ่มอ่อนหวานเหมือนผลไม้
การซ้อมรบประจำปี “ฮั่นกวง” (Han Kuang) ของไต้หวัน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีจากกองทัพจีน ยังได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โดยยกเลิกการซ้อมดำเนินเกมสงครามตามบทบาทที่วางไว้ล่วงหน้า แต่เปลี่ยนมาใช้การจำลองสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น
ยุทธการซ้อมรบฮั่นกวงในปีนี้ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และกินเวลายาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีกำลังพลสำรอง 22,000 นายเข้าร่วม ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึง 50% โดยนอกจากจะมุ่งฝึกซ้อมเพื่อรับมือกับยุทธวิธีต่าง ๆ ในเขตสงครามสีเทา (grey zone war) ที่สู้รบกันโดยไม่เลือกว่าจะเป็นฝ่ายพลเรือนหรือทหารแล้ว ยังมุ่งเตรียมพร้อมให้ชาวไต้หวันทุกคน สามารถรับมือกับสงครามข่าวสารที่อาจมีการปล่อยข่าวลวง รวมทั้งการทำสงครามในเขตเมืองด้วย

ที่มาของภาพ : RITCHIE B TONGO/EPA/Shutterstock
การซ้อมรบดังกล่าวฝึกให้ทหารสามารถต่อสู้ป้องกันศัตรูได้แม้ในเขตเมืองใหญ่ เช่นภายในระบบขนส่งมวลชน, บนทางด่วน, และในย่านที่อยู่อาศัยแถบชานเมือง แม้แต่ที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำในกรุงไทเป ก็ยังมีการฝึกซ้อมบรรจุขีปนาวุธเข้าไปในเฮลิคอปเตอร์โจมตี และยังมีการฝึกซ้อมที่ทำให้โรงเรียนแห่งหนึ่งกลายเป็นสถานีซ่อมรถถังได้อีกด้วย
ในส่วนของพลเรือนนั้น รัฐบาลไต้หวันได้เร่งเตรียมพร้อมประชาชน โดยเรียกฝึกป้องกันภัยพลเรือนในยามสงครามบ่อยครั้งขึ้น และจัดให้การฝึกซ้อมดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
การฝึกอพยพ กู้ภัย และซ้อมรับมือการโจมตี
การฝึกสำหรับพลเรือนที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เรียกว่าการซ้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตเมือง (Urban Resilience Exercise) ซึ่งมุ่งเน้นให้ประชาชนพร้อมรับมือกับการโจมตีทางอากาศจากจีน การฝึกซ้อมนี้มีขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว โดยย่านชุมชนเมืองที่สำคัญหลายแห่งของประเทศ จะผลัดกันทำการฝึกซ้อมดังกล่าวตลอดระยะเวลาหลายวัน
ประชาชนในเขตที่มีการฝึกซ้อมจะต้องรีบเข้าไปหลบในตัวอาคาร ส่วนร้านค้า ภัตตาคาร และโรงแรมต่าง ๆ จะต้องหยุดทำการในทันที ผู้โดยสารในระบบขนส่งมวลชน จะไม่สามารถขึ้นหรือลงจากรถไฟหรือแม้กระทั่งเครื่องบินได้ ผู้ใดที่ละเมิดคำสั่งนี้จะต้องถูกลงโทษด้วยการปรับ

ที่มาของภาพ : Ritchie B Tongo/ EPA/Shutterstock
ในย่านธุรกิจใจกลางกรุงไทเป ทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยฉุกเฉินและเหล่าอาสาสมัคร ต่างฝึกซ้อมการอพยพเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งฝึกซ้อมวิธีดับเพลิง และการหย่อนตัวลงมาจากอาคารสูง ที่ถูกตบแต่งให้ดูเหมือนกับว่าเพิ่งถูกโจมตีด้วยจรวดหรือขีปนาวุธ ด้านทีมแพทย์พยาบาลก็กำลังตรวจคัดกรองประเมินอาการของเหล่าผู้อพยพในลานจอดรถ พร้อมทั้งพันแผลและให้น้ำเกลือ ภายในเต็นท์ที่เป็นโรงพยาบาลชั่วคราว
ชาวไต้หวันบางคนอย่างนายสแตนลีย์ เว่ย พนักงานออฟฟิศวัยกลางคน บอกว่าการซ้อมป้องกันภัยสำหรับพลเรือนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี “เพราะผมเชื่อว่าความเสี่ยงที่เราจะถูกบุกโจมตี กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ คุณลองดูสิว่าจีนพยายามปิดล้อมเราอย่างไม่ลดละขนาดไหน” เว่ยกล่าวถึงการซ้อมรบทางทะเลของจีนที่เริ่มมีขึ้นบ่อยครั้ง โดยเป็นยุทธการที่ฝึกใช้เรือรบปิดล้อมเกาะไต้หวัน
เรย์ หยาง พนักงานฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอทีคนหนึ่ง แสดงความเห็นว่า “ผมเชื่อในการอยู่ร่วมอย่างสันติกับจีน แต่เราต้องเพิ่มมาตรการป้องกันตนเองขึ้นด้วย เพราะก่อนจะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ผมไม่เคยกังวลเรื่องที่จีนจะโจมตีไต้หวันเลย แต่หลังจากที่มีกรณีของยูเครนเป็นตัวอย่าง ผมเริ่มแน่ใจแล้วว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้”

ที่มาของภาพ : Tessa Wong/ BBC
ทว่าชาวไต้หวันบางคน กลับไม่เห็นด้วยกับการฝึกซ้อมป้องกันภัยการโจมตีอย่างสิ้นเชิง “ถึงจีนจะมารุกรานเราจริง แล้วเราจะทำอะไรได้ ? โดยส่วนตัวแล้วผมไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นเช่นนั้น เพราะคำขู่จากจีนในทำนองนี้มีมาโดยตลอด” นายหลิวที่ประกอบอาชีพวิศวกรกล่าว
“พวกเขาจะมาทำร้ายชาวบ้านธรรมดาทำไม ?”
แม้ความเห็นของชาวไต้หวันจะแตกต่างหลากหลายกันออกไป แต่สำหรับชาวบ้านบนเกาะคินเหมินหรือจินเหมินที่อยู่ใกล้กับจีนแล้ว คนส่วนใหญ่ที่นั่นต่างมองโลกในแง่ร้ายกันโดยถ้วนหน้า เพราะเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ เคยตกอยู่ท่ามกลางการสู้รบอันดุเดือดระหว่างกองทัพจีนกับไต้หวันมาแล้วหลายครั้ง ในช่วงทศวรรษ 1940-1950
สภาพทางภูมิศาสตร์ทำให้เกาะคินเหมินต้องกลายเป็นแนวหน้าในการสู้รบกับจีนเกือบทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผลของการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และการทูตระดับประชาชนต่อประชาชน ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีชาวเกาะคินเหมินจำนวนไม่น้อยที่มองว่า ทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับจีนแผ่นดินใหญ่เป็นเรื่องดี และไม่ได้ทำให้เสี่ยงต่อภัยคุกคามทางทหารแต่อย่างใด
ระบบเศรษฐกิจของเกาะคินเหมินในตอนนี้ ถูกวางแผนให้รองรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะนั่งเรือโดยสารข้ามช่องแคบไต้หวัน มาจากเมืองเซี่ยเหมินของจีนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับไต้หวันมากที่สุด

ที่มาของภาพ : Tessa Wong/ BBC
หยาง เป่ยหลิง เจ้าของร้านขายขนมพื้นเมืองแบบดั้งเดิมของเกาะคินเหมิน เล่าให้ผู้สื่อข่าวบีบีซีฟังว่า ในตอนที่ยังเป็นเด็กสาวแรกรุ่น เธออยู่ในเหตุการณ์ที่กองทัพจีนในเมืองเซี่ยเหมิน ระดมยิvโจมตีเกาะคินเหมินในปี 1958 ซึ่งก็คือช่วงวิกฤตการณ์ช่องแคบไต้หวันครั้งที่สอง
“พวกเรากำลังเก็บผักป่าอยู่บนภูเขา ทันใดนั้นก็มองเห็นจีนยิvกระสุนปืนใหญ่มาโดนเกาะของเรา ผู้คนต่างร้องตะโกนว่าฝั่งเซี่ยเหมินเปิดฉากทำสงครามแล้ว ทุกสิ่งกลายเป็นสีแดงเพลิงไปในพริบตา”
คุณยายหยางและครอบครัวรอดชีวิตมาได้ เพราะไปซ่อนตัวในถ้ำบนภูเขา แต่ก็มีคนในหมู่บ้านเดียวกันต้องสังเวยชีวิตจากการโจมตีของกองทัพจีน อย่างไรก็ตามในอีกหลายสิบปีต่อมา คุณยายไม่รังเกียจและยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับจากจีนอย่างมาก “เพราะตอนนี้จีนไม่โจมตีเราแล้ว เราต่างก็เป็นชาวจีนและเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขาจะมาทำร้ายชาวบ้านธรรมดาอย่างเรา ๆ ไปทำไมกัน”
นางเฉินที่เป็นพนักงานร้านขายของที่ระลึก ซึ่งอยู่ห่างจากร้านของคุณยายหยางไปไม่ไกลบนถนนสายเดียวกัน แสดงความเห็นด้วยว่า “ถ้าจีนมาsะเบิดอาคารบ้านเรือนและเข่นฆ่-าเรา พวกเขาจะได้อะไรจากการยึดครองแผ่นดินผืนเล็ก ๆ ที่เสียหายยับเยิน ? สิ่งที่พวกเขาได้คือไต้หวันที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย จีนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการกระทำเช่นนั้น”
แนวคิดที่ว่าการรุกรานเพื่อเข้ายึดครองไต้หวันมีต้นทุนสูง และจะทำให้จีนต้องประสบความเสียหายมากเกินไป จนไม่คุ้มที่จีนจะตัดสินใจลงมือทำสงครามจริง ๆ เป็นแนวคิดที่ชาวไต้หวันจำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นไปได้มากที่สุด การที่จีนเฝ้าเน้นย้ำอยู่เรื่อย ๆ ว่าต้องการ “การรวมชาติอย่างสันติ” ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่หลายคนมองว่า จีนต้องการไต้หวันในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ใช่เศษซากที่เสียหายยับเยินจากสงคราม

ที่มาของภาพ : Ritchie B Tongo / EPA/Shutterstock
แต่ถึงกระนั้น ประธานาธิบดีไหลของไต้หวันยังคงมองว่า สาธารณรัฐประชาชนจีน “เป็นกองกำลังต่างชาติที่เป็นฝ่ายปฏิปักษ์” โดยจีนมีแผนจะ “ผนวก” ไต้หวัน เข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน และยังคงข่มขู่ไต้หวันทางการเมืองและการทหารอยู่โดยตลอด
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาวไต้หวันบางส่วนอุ่นใจว่า จีนจะไม่บุกโจมตีง่าย ๆ ก็คือการที่สหรัฐฯ มีพันธะผูกพันทางกฎหมายในการป้องกันไต้หวัน และถึงแม้ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดจะชี้ว่า ความเชื่อมั่นนี้เริ่มลดลงไปบ้าง ในตอนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่า พันธมิตรอย่างสหรัฐฯ จะเข้าช่วยรักษาความมั่นคงของชาติให้ไต้หวันอย่างแน่นอน ซึ่งหลักประกันนี้จะทำให้จีนลังเลไม่กล้าเปิดฉากโจมตีไต้หวันก่อน เพราะเกรงจะก่อความขัดแย้งโดยตรงทางทหารกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
“นี่ไม่ใช่ความคิดแบบใสซื่อไร้เดียงสา ชนิดที่เชื่ออย่างหมดใจว่า จีนไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไต้หวัน และจะไม่โจมตีไต้หวันอย่างเด็ดขาด” ดร.เสิ่น หมิงซี นักวิเคราะห์ด้านการป้องกันประเทศจากสถาบัน INDSR ของไต้หวันกล่าว “จริงอยู่ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีแผนเชิงยุทธศาสตร์สำหรับจัดการกับไต้หวัน แต่ตอนนี้แสนยานุภาพทางทหารของจีน ยังไม่อาจเทียบเท่ากับสหรัฐฯ ได้”

ที่มาของภาพ : Shufu Liu / Place of job of the President/Anadolu via Getty Photos
นอกจากนี้ดร.เสิ่นยังเห็นว่า ความสำคัญใหญ่หลวงของไต้หวัน ที่มีต่ออุตสาหกรรมผลิตวัสดุกึ่งตัวนำหรือเซมิคอนดักเตอร์ในระดับโลก จะทำให้ประชาคมนานาชาติต้องเข้าช่วยเหลือในกรณีที่ถูกจีนรุกราน
ส่วนความเห็นของนายซุง เวิ่นถี นักรัฐศาสตร์จากศูนย์ศึกษาไต้หวันของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) มองว่าหลังจากที่จีนข่มขู่ไต้หวัน โดยไม่ลงมือใช้กำลังจริงเสียทีมานานหลายสิบปี “ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกว่า จีนเป็นเพียงเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่แกล้งทำเสียงขู่ให้เหมือนหมาป่าเท่านั้น ซึ่งในทางจิตวิทยาแล้ว ผู้คนจะไม่เชื่อถือคำขู่แบบเป็นจริงเป็นจังไปเสียทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นก็คงจะต้องเป็นบ้าไปเสียก่อน คนส่วนมากมีการเลือกรับฟัง เพื่อปรับสภาพจิตใจของตนเองให้เป็นปกติ”
วิวาทะเรื่องจีนจะโจมตีไต้หวันจริงหรือไม่
การอภิปรายโต้เถียงในประเด็นนี้มีมาเนิ่นนาน แต่เริ่มดุเดือดรุนแรงมากขึ้น ในตอนที่ความสัมพันธ์จีน-ไต้หวัน ยกระดับความตึงเครียดสูงขึ้นในระยะหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ประธานาธิบดีไหล ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำไต้หวันคนใหม่เมื่อปีที่แล้ว
ประธานาธิบดีไหลยืนกรานเสียงแข็งมาโดยตลอดว่า ไต้หวันไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจีน ส่วนพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือดีพีพี (DPP) ของเขา ก็ถูกทางการจีนตราหน้าว่าเป็น “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน”
จีนกล่าวหาว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีไหลจงใจเป็นศัตรูกับจีน โดยเห็นได้ชัดจากแผนการเร่งผลักดันเสริมความแข็งแกร่งด้านการป้องกันประเทศ เมื่อเดือนที่แล้วกระทรวงกลาโหมของจีนแถลงว่า การซ้อมรบประจำปีฮั่นกวงของไต้หวันนั้น “มิใช่สิ่งใดนอกจากการอวดข่ม และกลอุบายลวงตัวเองของรัฐบาลพรรคดีพีพี เพื่อจี้บังคับให้เพื่อนร่วมชาติชาวไต้หวัน ไม่อาจกระโดดหนีลงจากรถศึกที่ชื่อว่า “เอกราชไต้หวัน” ได้”
ตามกฎหมายของจีนแล้ว หากเมื่อใดที่ไต้หวันประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ จีนจะลงมือ “ดำเนินมาตรการที่ไม่ใช่สันติวิธี” ซึ่งก็คือการใช้กำลังทหารนั่นเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “การแบ่งแยกดินแดนไต้หวัน” แต่ถึงกระนั้น ประธานาธิบดีไหลก็ยังยืนยันคำเดิมว่า ในตอนนี้ไต้หวันเป็นชาติที่มีอธิปไตยของตนเองแล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการอีก

ที่มาของภาพ : Getty Photos
นอกจากจะข่มขู่ด้วยวาจารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จีนยังส่งเครื่องบินรบและเรือรบ ไปบินโฉบเฉี่ยวและแล่นในท้องทะเล เพื่อแสดงแสนยานุภาพในน่านฟ้าและน่านน้ำของไต้หวันบ่อยครั้งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จีนไม่เคยยอมรับว่ากำลังเร่งสะสมสรรพกำลังเพื่อโจมตีไต้หวันภายในปี 2027 ตามที่สหรัฐฯ กล่าวอ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจีนกำลังเสริมความแข็งแกร่งให้ทัพบกและทัพเรือ รวมทั้งพัฒนาและสะสมสรรพาวุธจำนวนมาก ซึ่งจะนำออกมาเผยโฉมสู่สายตาชาวโลก ในพิธีสวนสนามครั้งใหญ่ที่จะจัดขึ้นในเดือนก.ย.นี้
แม้ความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญจะยังแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยยังไม่อาจให้คำตอบที่แน่ชัดได้ว่า จีนมีแผนจะรุกรานไต้หวันในเร็ววันนี้หรือไม่ ทว่าผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่กลับเห็นพ้องต้องกันว่า ความขัดแย้งตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และความเคลื่อนไหวทางทหารล่าสุดของจีน ทำให้ความเป็นไปได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้าทำสงครามกันเพิ่มสูงขึ้น
การยกพลขึ้นบก การโจมตีด้วยขีปนาวุธ และการทำลายสายเคเบิลสื่อสาร
จีนสามารถบุกโจมตีไต้หวันด้วยหลายวิธีการด้วยกัน ทั้งการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือใช้ขีปนาวุธระดมยิvโจมตีจากแผ่นดินใหญ่ นอกจากนี้ จีนยังสามารถปิดล้อมไต้หวันทั้งทางอากาศและทางทะเล รวมทั้งทำลายสายเคเบิลเชื่อมต่อการสื่อสารใต้ทะเลได้อีกด้วย มีการจำลองฉากทัศน์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดนี้ ในละครซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่รัฐบาลไต้หวันเป็นผู้ให้ทุนสร้าง เพื่อให้ประชาชนได้เห็นภาพว่า หากการโจมตีจากจีนเกิดขึ้นจริงจะมีสภาพเป็นอย่างไร
รัฐบาลไต้หวันเชื่อว่า การรุกรานทางจิตวิทยาของจีนได้เกิดขึ้นแล้ว เพื่อพยายามเอาชนะใจประชาชนชาวไต้หวัน ด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยหวังว่าสักวันหนึ่ง ชาวไต้หวันจะเปลี่ยนใจมาสนับสนุนการรวมชาติกับจีนในที่สุด

ที่มาของภาพ : PEDRO PARDO/AFP via Getty Photos
อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับประชาชนชาวไต้หวันอย่างเป็นทางการ แต่ในทางลับแล้วผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า จีนมีการโฆษณาชวนเชื่อและปล่อยข่าวเท็จ เพื่อโน้มน้าวใจชาวไต้หวันให้เอนเอียงมาอยู่ฝ่ายเดียวกับตน โดยผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยกอเทนเบิร์กในสวีเดน พบว่าไต้หวันคือสถานที่อันดับหนึ่งของโลก ที่ตกเป็นเป้าการโจมตีด้วยข่าวลวงจากรัฐบาลต่างชาติ
เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีไหลกล่าวเตือนว่า จีนกำลังพยายามเข้ามาแผ่อิทธิพลอย่างลึกซึ้งในไต้หวัน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, สื่อมวลชน, หรือแม้แต่ในภาครัฐ ทำให้ผู้นำไต้หวันต้องประกาศมาตรการใหม่หลายข้อ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติอย่างเข้มงวดขึ้น เหตุการณ์นี้ทำให้มีเจ้าหน้าที่และทหารในกองทัพหลายคนถูกจำคุก ในข้อหาเป็นสายลับให้จีน สมาชิกของพรรคดีพีพีบางคน รวมทั้งอดีตผู้ช่วยคนสนิทของประธานาธิบดีไหล ก็ยังถูกดำเนินคดีในข้อหาเป็นสายลับให้จีนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการตรวจสอบคู่สมรสชาวจีนของพลเมืองไต้หวัน รวมทั้งดาราและศิลปินคนดังชาวไต้หวัน ซึ่งมีท่าทีเป็นมิตรกับจีนเป็นพิเศษ โดยมีชาวจีนบางคนถึงกับถูกเนรเทศ หรือถูกบีบบังคับให้ต้องเดินทางออกจากไต้หวันด้วย
ประธานาธิบดีไหลยังให้การสนับสนุนขบวนการรากหญ้าขบวนการหนึ่ง ซึ่งมุ่งถอดถอนนักการเมืองฝ่ายค้านที่ดูสนิทสนมกับจีนเกินเหตุ ให้พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แม้ขบวนการดังกล่าวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างร้อนแรงก็ตาม
“นายไหลดูคลั่งเวลาที่พูดถึงจีน”
มีสัญญาณจากภาคประชาชนบางประการ ที่แสดงว่าพวกเขาสนับสนุนแผนผลักดันเพื่อยกระดับการป้องกันประเทศ ผลสำรวจของสถาบัน INDSR พบว่ากว่าครึ่งของชาวไต้หวันสนับสนุนการเพิ่มงบประมาณด้านการทหาร โดยเห็นชอบให้จัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม บางคนรู้สึกไม่สบายใจกับแผนการดังกล่าว รวมทั้งไม่ชอบใจคำพูดให้ร้ายโจมตีจีนของประธานาธิบดีไหล เพราะเกรงว่าจะเป็นการยั่วยุจีนซึ่งนำไปสู่สงครามได้

ที่มาของภาพ : Tessa Wong/ BBC
“ฉันว่าจีนนั้นเข้าใจได้ง่ายมาก ตราบใดที่คุณไม่ไปบอกเขาว่าต้องการเอกราช จีนจะไม่มาทำอะไรคุณแน่นอน” ป้าเจินที่เป็นพนักงานร้านขายของบนเกาะคินเหมินกล่าว “แต่วิลเลียม ไล นั้นดูบ้าคลั่งมากเวลาพูดถึงจีน มันจะยั่วให้จีนโกรธเข้าสักวันหนึ่ง เราไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่ที่สี จิ้นผิง จะหมดความอดทนและลงมือโจมตีเรา”
ผลการสำรวจความคิดเห็นหลายครั้งชี้ว่า ชาวไต้หวันต้องการจะคงสถานะที่เป็นอยู่ของตนเองไว้ตามเดิม ซึ่งก็คือไม่ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ต้องการจะรวมชาติกับจีนด้วย
ส่วนพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) ที่เป็นฝ่ายค้านนั้น กล่าวหาว่ารัฐบาลของพรรคดีพีพี ใช้เรื่องที่จีนอาจบุกโจมตีมาขู่และข่มขวัญประชาชน เพื่อหาเสียงสนับสนุนทางการเมืองและเรียกคะแนนนิยมให้ได้เพิ่มขึ้น
อเล็กซานเดอร์ หวง ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการต่างประเทศของพรรคก๊กมินตั๋ง บอกว่ารัฐบาลของพรรคดีพีพีนั้น “ใช้วาจาข่มขู่จีนโดยไม่จำเป็น และทำลายเสถียรภาพในเขตช่องแคบไต้หวัน”
อย่างไรก็ตาม ยังมีชาวไต้หวันอีกหลายคน รวมทั้งดร.เสิ่น ที่มองว่า “พลเมืองของไต้หวันจำเป็นต้องยอมรับ ว่าจีนนั้นเป็นภัยกับเราจริง และสามารถจะใช้กำลังกับเราได้ทุกเมื่อ ซึ่งปัจจุบันจีนก็กำลังเตรียมการในเรื่องนี้อยู่ ดังนั้นกองทัพและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของชาติ จะต้องเป็นคนกลุ่มแรกที่เตรียมพร้อมรับมือจีน”
ที่มา BBC.co.uk