
“ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475” ต้องเป็นสิ่งที่เด็กไทยทุกคนครั้งหนึ่งต้องท่องจำให้เเม่นเพื่อสอบในวิชาประวัติศาสตร์ การเปลี่นเเปลงการปกครองเกิดขึ้นโดยกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘คณะราษฎร’ ตลอด 93 ปีที่ผ่านมาภาพจำคณะราษฎรในเเต่ละยุคสมัยล้วนมีความเตกต่างกันในยุคหนึ่งพวกเขาถูกกล่าวหาว่าคือทรราช เเต่ในอีกยุคชื่อของพวกเขาถูกหยิบมาใช้ในจุดตั้งต้นของอุดมการณ์ อุดมคติ ในการเรียกร้องประชาธิปไตย
Introduction to ‘คณะราษฎร’
คณะราษฏรเริ่มเเรกมีสมาชิกเพียง 7 คน ล้วนเป็นนักเรียนหรืออาศัยในประเทศยุโรปทั้งสิ้น สมาชิกผู้ก่อตั้งที่คนหมู่มากรู้จักได้เเก่ ปรีดี พนมยงค์ เเละ เเปลก ขีตตะสังขะ (พิบูลสงคราม) ภายในคณะราษฎรเเบ่งเป็นทั้งหมด 4 สายคือ สายนายทหารชั้นยศสูง สายนายทหารบกชั้นยศน้อย สายทหารเรือ สายพลเรือน หลังจากการอ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 บริเวณพระบรมทรงม้า ภายในประกาศระบุถึงหลัก 6 ประการ หลักเอกราช หลักความปลอดภัย หลักเศรษฐกิจ หลักเสมอภาค หลักเสรีภาพ หลักการศึกษา ภายหลังได้กลายเป็นหลักในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลคณะราษฎร
มุมมองต่อ 2475 ในยุค 14 ตุลา
การเรียกร้องทางการเมืองที่ผ่านมามักจะเห็นการหยิบยกเหตุการณ์ในปี 2475 มาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการเรียกร้อง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงการปกครองถูกช่วงชิงโดยหลายฝ่าย มีการนำมาอธิบายทั้งในเชิงบวกเเละเชิงลบอย่างน่าสนใจ
เมื่อพูดถึงการชุมนุมทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย หลายคนต้องนึกถึง ‘14 ตุลา’
14 ตุลา 2516 ซึ่งเริ่มจากการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ หลังจากอยู่ภายใต้เผด็จการตั้งเเต่รัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงรัฐบาลถนอม กิตติขจร เเละการค่อยๆ ขึ้นมามีอำนาจของประภาส จารุเสถียร – ณรงค์ กิตติขจร หรือที่เรียกกันว่า ‘3 ทรราช’ จากการเรียกร้องรัฐธรรมนูญเริ่มยกระดับมากขึ้น เมื่อนิสิต นักศึกษา อาจารย์ นักการเมือง ถูกจับกุมฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญ เเต่หลังจากนั้นรัฐบาลตั้งข้อหากบฏภายในราชอาณาจักร เเละมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
13 ตุลา 2516 ประชาชนจำนวนมากจึงเดินขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เเละในวันที่ 14 ตุลาก็เกิดการปราบปรามการชุมนุม ท้ายที่สุดถนอมลาออกจากตำเเหน่งนายกรัฐมนตรี
ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงมุมมองที่ขบวนการนักศึกษายุค 14 ตุลามองคณะราษฎรว่า พวกเขาเห็นว่า 3 ทรราชคือมรดกจากพระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งคือกลุ่มทหารในคณะราษฎร ประจักษ์ยังกล่าวต่อว่า ขบวนการนักศึกษาอยู่ภายใต้กรอบเเนวคิดเเบบ ‘ราชาชาตินิยม’ เห็นได้จากการหยิบยกข้อความในพระราชหักถเลขาสละราชย์ของรัชกาลที่ 7 ใจความว่า ‘ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยฉะเพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร…’ มาใช้ในหน้าปกจุลสารของกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จัดทำโดย ธีรยุทธ บุญมี หนึ่งในเเกนนำขบวนการนักศึกษา
จุลสารกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญซึ่งปรากฏข้อความบางส่วนของพระราชหัตถเลขา ร.7 (ที่มาภาพกดที่นี่)
เช่นเดียวกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงจุลสารข้างต้นในหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง’ ว่า สารที่เเอบเเฝงอยู่คือกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญจะขอทวงคืนสิ่งที่มีคนพรากไปจากพระมหากษัตริย์ รัฐบาลทหารในปี 2516 เป็นสิ่งตกทอดมากจากคณะราษฎร สมศักดิ์ยังกล่าวว่า ปัญญาชนสมัยนั้นมองว่า 2475 คือการชิงสุกก่อนห่าม ในอีกนัยหนึ่งเหตุการณ์ 14 ตุลา คือการที่ราษฎรชิงอำนาจจากรัฐบาลทหาร เเละถวายอำนาจคืนพระมหากษัตริย์ได้สำเร็จ
2475 ในห้วงคำนึงของปัญญาชนในเเต่ละยุค
งานเขียนเเต่ละยุคล้วนตีความ ‘2475’ ไม่เหมือนกัน เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์ประจำ ภาควิชาสังคมวิทยาเเละมนุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาในงาน ‘สถานะวิวาทะว่าด้วย การเปลี่ยนรูปของรัฐภายหลัง 2475’ ระบุว่า
ภายหลัง 2516 ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักรัฐศาสตร์สายพัฒนาทางการเมืองได้เขียนงานร่วมกับขัตติยา กรรณสูตร ชื่อ ‘เอกสารการเมืองการปกครองไทย พ.ศ. 2471-2477’ งานชิ้นนี้ได้เสนอข้อวิเคราะห์ว่า 2475 ไม่ใช่การปฏิวัติที่เเท้จริง เป็นเพียงการเปลี่ยนรูปเเละกลุ่มบุคคลผู้ถืออำนาจ เเละเป็นการ ‘ชิงสุกก่อนห่าม’ ของพวกข้าราชการ เพราะเเท้จริงเเล้วรัชกาลที่ 7 กำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เเละ 2475 ก่อให้เกิด ‘อำมาตยาธิปไตย’ ซึ่งคือการปกครองที่ถูกครอบงำโดยระบบราชการทหารเเละพลเรือนที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2501 – 2519 เช่นเดียวกับงานเขียนเฟรด ดับบลิว. ริกส์ ที่มีชื่อว่า ‘Thailand: The Modernization of a Bureaucratic Polity’ ที่มองว่า อำมาตยาธิปไตยคือมรดกของ 2475
มากไปกว่านั้น ศราวุฒิ วิสาพรม ได้กล่าวถึงงานของชัยอนันต์ที่เผยเเพร่ภายหลัง 2525 ว่า ทัศนะของชัยอนันต์ที่ประเมินการเปลี่ยนเเปลง 2475ในทางลบ เช่น คณะราษฎรชิงสุดก่อนห่าม รัชกาลที่ 7 กำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ตัวงานมีอิทธิพลอย่างมากต่อวงวิชาการเพราะเกิดการผลิตซ้ำชุดความรู้ดังกล่าว เห็นได้จากงานของสนธิ เตชานันท์ ที่รวบรวมเอกสารชั้นต้นไว้ใน ‘แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2469-2475)’ ศราวุฒิได้ยกตัวอย่างงานอีกชิ้นของชัยอนันต์ ซึ่งเขียนในปี 2530 เรื่อง ‘100 ปี แห่งการปฏิรูประบบราชการ: วิวัฒนาการของอำนาจรัฐและอำนาจการเมือง’ งานชิ้นนี้ให้ความสำคัญกับพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบข้าราชการพลเรือนสมัยใหม่ ชัยอนันต์ มองว่านี่คือความพยายามในการปฏิรูประบบราชการของชนชั้นนำ เเละประสบความสำเร็จก่อนที่คณะราษฎรจะทำการปฏิรูประบบราชการภายหลัง 2475
เก่งกิจยังกล่าวถึงนักคิดคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสตร์เเห่งประเทศไทย (พคท.) อาทิ อรัญญ์ พรหมชมภู เจ้าของงาน ‘เส้นทางสังคมไทย’ เเละจิตร ภูมิศักดิ์ เจ้าของผลงาน ‘โฉมหน้าศักดินาไทย’
ทั้งสองงานมองว่าการเปลี่ยนเเปลงการปกครอง 2475 ไม่ได้ทำให้เกิดการเเปลงจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นรัฐชาติได้อย่างสมบูรณ์ และคณะราษฎรล้มเหลวในการทำลายระบอบดังกล่าว
สำหรับทศวรรษ 2520 เก่งกิจพูดถึงงานของ สมเกียรติ วันทะนะ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เเละประทีป นครชัย คนรุ่นใหม่ในยุคนั้นมองว่า 2475 เป็นจุดสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญษสิทธิราชย์ และเป็นจุดเริ่มต้นของ‘รัฐชาติ’ คือการผสมผสานระหว่างการสร้าง ‘รัฐ’ เเละ ‘ชาติ’ การสร้างรัฐต้องสร้างการรวมศูนย์กลางผ่านการตั้งรัฐบาลกลางรวมศูนย์ ขณะที่ ‘ชาติ’ คือการทำให้กลุ่มคนที่อยู่ภายในรัฐมีเเนวคิดร่วมกันในการเป็นสมาชิกของหน่วยการเมือง นครินทร์เรียก 2475 ว่า ‘การปฏิวัติ’ เพราะคนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ไม่ได้รัฐประหารโดยคนส่วนน้อยที่ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนเเปลงที่สำคัญ ถึงเเม้ว่าทั้งสามคนใช้กรอบการวิเคราะห์เเละหลักฐานที่เเตกต่างกันเเต่มีข้อเสนอเดียวกัน เเละเป็นการโต้เเย้งงานของชัยอนันต์เเละข้อเสนอของอรัญญ์กับจิตร
ในปี 2525 ซึ่งเป็นวาระครบ 50 ปีการเปลี่ยนเเปลงการปกครอง 2475 ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ เขียนเล่าว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดงานเพื่อเฉลิมฉลอง มีระยะเวลายาวนานถึง 4 วัน มีวัตถุประสงค์เพื่อระลึกคุณงามความดีของคณะราษฎร ขณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตีพิมพ์บทความขนาดยาวของนครินทร์ลงวารสารธรรมศาสตร์ ซึ่งชาญวิทย์ เกษตรศิริ เป็นบรรณาธิการอยู่ เก่งกิจระบุว่าในปีดังกล่าวชาญวิทย์ได้นำการถกเถียงเรื่อง 2475 กลับมาอีกครั้ง งานที่นครินทร์ได้เผยเเพร่ลงวารสารธรรมศาสตร์มีชื่อว่า ‘การเปลี่ยนเเปลงการปกครอง 2475 ของสยาม: พรมเเดนความรู้’ เก่งกิจกล่าวว่า นครินทร์พยายามก้าวข้ามการอธิบาย 2475 ว่าเป็นการชิงสุกก่อนห่ามและเป็นการเปลี่ยนเเปลงที่ไม่สมบูรณ์ ถัดมา 2 ปี นครินทร์ได้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทที่ต่อมาได้พัฒนาเป็นหนังสือ ‘การปฏิวัติสยาม 2475’ ในงาน “พลังของแนวคิดชาติ-ชาตินิยมกับการเมืองไทยในสมัยแรกเริ่มของรัฐประชาชาติ” นครินทร์ ชี้ให้เห็นว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีความขัดเเย้งสูงมาก โดยเฉพาะช่องว่างทางสังคม กล่าวคือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องการสามัญชนจำนวนมากเพื่อเข้ามาทำงานในระบบข้าราชการสมัยใหม่ เเต่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ได้อนุญาตให้สามัญชนเหล่านั้นขึ้นมามีอำนาจ อำนาจนั้นถูกสงวนให้ชนชั้นนำเจ้านายจำนวนน้อย
เก่งกิจระบุว่าทศวรรษ 2520 จบลงด้วยข้อสรุปของทั้งสามคนนี้ โดยเฉพาะงานของนครินทร์ซึ่งเสนอว่า 2475 คือการปฏิวัติที่คนส่วนมากมีส่วนร่วม
ฟื้น 2475 หลังรัฐประหาร 19 กันยา
การถกเถียงเรื่องการเปลี่ยนรูปของรัฐไทยกลับมาอีกครั้งภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 พร้อมกับการตั้งคำถามถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัติรย์ เก่งกิจได้เเบ่งข้อเสนอเกี่ยวกับ 2475 ในช่วงนี้เป็น 2 กลุ่มได้เเก่ กลุ่มที่เสนอว่ารัฐไทยเป็นมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น ธงชัย วินิจจะกูล เบเนดิก เเอนเดอร์สัน กับกลุ่มที่มองว่า 2475 เป็นการเข้าสู่ภาวะการเป็นรัฐชาติ เเต่สถานะของสถาบันเป็นสิ่งที่เพิ่งสร้างช่วงสงครามเย็น อาทิ กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด ณัฐพล ใจจริง
เก่งกิจหยิบยกงาน ‘ศึกษารัฐไทย: วิพากษ์ไทยศึกษา’ ของเบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน ถึงเเม้งานของเบเนดิกต์ชิ้นนี้จะตีพิมพ์ก่อนปี 2549 เเต่เเนวคิดของเบเนดิกต์ถูกนำกลับมาภายหลังรัฐประหาร 2549 ผ่านปัญญาชนฝั่งก้าวหน้าโดยเฉพาะธงชัย เก่งกิจอธิบายว่างานชิ้นนี้โต้เเย้งเเนววิเคราะห์ของสังคมไทยซึ่งบอกว่าสังคมไทยมีลักษณะพิเศษ เบเนดิกต์เสนอว่าสยามไม่ได้เป็นรัฐอาณานิคมโดยตรงเเต่ปรับตัวให้ตัวเองเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่งผลให้อายุของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสยามมีอายุสั้นมาก ทำให้ไม่ได้สร้างความเปลี่ยนเเปลงมากพอเเละเกิดกลุ่มกบฏขึ้น อาทิ การเปลี่ยนเเปลง 2475 ปัญหาทางการเมืองของสยามคือการไม่มีการเเตกหักอย่างเด็ดขาดกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เก่งกิจมองว่าข้อเสนอของธงชัยคล้ายกับของเบเนดิก โดยธงชัยระบุว่า คณะราษฎรไม่ได้เเตะต้องมรดกของสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่าที่ควร
ขณะที่งานของของกุลลดาที่มีชื่อว่า ‘The Upward push and Decline of Thai Absolutism’ มองว่ารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สร้างระบบข้าราชการสมัยใหม่ที่ดึงเอาสามัญชนเข้ามาในระบบ เเต่รัฐกลับใช้อำนาจบุญบารมีเเละชาติกำเนิดเป็นเครื่องตัดสิน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนเเปลงการปกครองโดยคณะราษฎรซึ่งเป็นสามัญชน เเละนั่นคือการสิ้นสุดของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วสถาปนารัฐชาติขึ้นมาเเทน ส่วนบทบาทของสถาบันกลับมาในช่วงสงครามเย็นที่อเมริกาเข้ามามีบทบาทในไทย เช่นเดียวกับณัฐพลที่มองว่าบทบาทของพระมหากษัตริย์กลับเข้ามามีบทบาทช่วงสงครามเย็น
อย่างไรก็ดี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาคณะราษฎรถูกดึงเข้ามาสู่ความสนใจทางสังคมอีกครั้ง และไม่ได้จำกัดอยู่ในข้อถกเถียงเชิงวิชาการ แต่อยู่ในกลุ่มเรียกร้องทางการเมือง
คณะราษฎรเเละการเกิดใหม่ (เกิดใหม่จริงหรือ)
ปี 2563 ได้เกิดการเเพร่ระบาดของโควิด-19 การยุบพรรคอนาคตใหม่ เเละกรณีการหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทยที่ไปอยู่ในประเทศกัมพูชา ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้นำไปสู่การก่อตัวของกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยนำโดยเยาวชนคนรุ่นใหม่ การชุมนุมครั้งเเรกๆ เกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคอนาคตใหม่ กลุ่มนิสิต นักศึกษา ในสถาบันการศึกษาต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกันจัด ‘เเฟลชม็อบ’ ซึ่งคือการรวมตัวกันอย่างฉับพลันไม่ยืดเยื้อ การชุมนุมดำเนินเรื่อยมา จนในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 มีการชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก่อกำเนิด ‘คณะราษฎร 2563’ ที่เป็นการรวมตัวของกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ อาทิ เเนวร่วมธรรมศาสตร์เเละการชุมนุม เยาวชนปลดเเอก กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย เป็นต้น การใช้ชื่อคณะราษฎรนั้นเพื่อบอกว่าคณะราษฎร 2563 มีเป้าหมายเดียวกับคณะราษฎร คือการสถาปนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย อำนาจการปกครองเป็นเรื่องของประชาชน โดยมีข้อเรียกร้องหลัก 3 ข้อคือ นายกฯ ลาออก (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา), ร่างรัฐธรรมนูญใหม่, ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์
ภาพการชุมนุมในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 (จากแฟ้มภาพประชาไท)
ประจักษ์ อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า นักศึกษาในปัจจุบันได้เชื่อมโยงตัวเองกับคณะราษฎรอย่างใกล้ชิด มองว่าตัวเองเป็นลูกหลานของคณะราษฎร ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คณะราษฎรมีภาพจำในเชิงบวกมากที่สุดเเล้วในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เเละยังทำให้คณะราษฎรกลับมามีที่ยืนในสังคมไทยอีกครั้ง
2475 ยังคงอยู่ เเต่จะอยู่อย่างไรในยุคดิจิทัล
เเน่นอนว่าการพูดถึงหรือตีความ 2475 ไม่ได้จบลงเพียงเเค่ ‘คณะราษฎร 2563’ ในปัจุบันเรื่องราวเหตุการณ์ 2475 ถูกนำมาตีความเเละผลิตเป็นสื่อในรูปเเบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เเอนิเมชัน ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ หนังสือการ์ตูน ‘2475 นักเขียนผีเเห่งสยาม’ ของ ‘สะอาด’ ซึ่งทั้งสองส่วนให้ภาพคณะราษฎรที่เเตกต่างกันอย่างยิ่ง
พนารัตน์ อานามวัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าการใช้ชื่อคณะราษฎร 2563 คือประวัติศาสตร์ของคณะราษฎรมาใช้ในการเรียกร้องทางการเมือง ทำให้ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม เเละฝ่ายประชาธิปไตยต่อสู้ในสนามเดียวกัน เพราะหากโน้มน้าวคนไทยได้ว่า 2475 เป็นเรื่องผิด การเรียกร้องในปัจจุบันที่รับเอาอุดมการณ์เดิมก็ไม่มีความชอบธรรมไปด้วยเพราะมันผิดมาตั้งเเต่ 2475
อย่างไรก็ดี พนารัตน์ยังกล่าวว่าในยุคปัจจุบันการตีความประวัติศาสตร์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเเวดวงวิชาการ ประวัติศาสตร์ถูกนำไปทำเป็นการ์ตูนหรือมังงะ ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ไม่ได้อ่านประวัติศาสตร์เพียงเเค่ในบทเรียน คนรุ่นใหม่ยังนำข้อมูลเหล่านั้นมาตีความหรือเขียนทำให้เกิดประวัติศาสตร์เเบบใหม่ พนารัตน์มองว่าที่ผ่านมาสังคมไทยมองประวัติศาตร์เเบบนิทานอีสป คือเเบ่งข้างคนดีกับคนเลวชัดเจน ซึ่งสิ่งนี้ยังคงตกทอดมาถึงการตีความประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน เช่นการยกย่องคณะราษฎรหรือปรีดี พนมยงค์ มากจนเกินไป มุมมองเช่นนี้ก็อาจทำให้ละเลยบางสิ่งหรือหลายสิ่งไป
บรรณานุกรม
หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2556). จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ฉบับที่ 16
มิถุนายน 2555-พฤษภาคม 2556. หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
wisaprom, sarawudhi . (2020). 80 ปี การปฏิวัติสยาม 2475:
ย้อนพินิจพรมแดนความรู้การปฏิวัติสยาม 2475 (อีกครั้ง). King Prajadhipok’s Institute
Journal, 11(1), 5–37. retrieved from
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/kpi_journal/article/behold/244353
ปิยะวรรณ ปานโต. คณะราษฎร คือใคร. สถาบันพระปกเกล้า.
https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=คณะราษฎร_คือใครเป้าหมายหลัก_6_ประการ
อรรถสิทธิ์ พานแก้ว. หลัก 6 ประการ. สถาบันพระปกเกล้า
https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=หลัก_6_ประการ
ชาญวิทย์ เกษตรสิริ. เกิดอะไรใน “14 ตุลา” ก่อนมาสู่ชัยชนะสำคัญของประชาชนลุกฮือต้าน
“คณาธิปไตย”. ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/historical previous/article_40175
Commom College. ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านหลัง 14 ตุลา. คณะก้าวหน้า
ประจักษ์ ก้องกีรติ. 14 ตุลา : ประจักษ์ ก้องกีรติ มองการเกิดใหม่ของ “คณะราษฎร”
กับภารกิจคืนศักดิ์ศรีให้เสื้อแดง คืนความจริงให้ 6 ตุลา. บีบีซี.
https://www.bbc.com/thai/thailand-54491617
สุมาลี พันธุ์ยุรา. ระบอบอำมาตยาธิปไตย. สถาบันพระปกเกล้า.
https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ระบอบอำมาตยาธิปไตย
บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ. ระบบข้าราชการพลเรือน. สถาบันพระปกเกล้า.
https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ระบบข้าราชการพลเรือน
ลิขิต ธีรเวคิน. การสร้างรัฐ (Bellow Building) และการสร้างชาติ (Nation Building). MGRONLINE.
https://mgronline.com/each day/detail/9520000048092
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์. 2475 : อดีต ปัจจุบัน อนาคต. 1O1.world.
https://www.the101.world/2475-previous-latest-future/
ศุทธิกานต์ มีจั่น. เเฟลชม็อบ. สถาบันพระปกเกล้า.https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=เเฟลชม็อบ
.. แฟลชม็อบนักศึกษา ถึง ชุมนุมใหญ่ของ “คณะราษฎร 2563” ลำดับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2563. บีบีซี. https://www.bbc.com/thai/thailand-54741254
นิยม รัฐอมฤต. คณะราษฎร 2563. สถาบันพระปกเกล้า.
https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=คณะราษฎร_2563
พิมพ์ชนก พุกสุข. “ประวัติศาสตร์ไม่ใช่นิทานอีสป”
เมื่อการอ่านและตีความประวัติศาสตร์ใหม่ยังแบ่งขาว-ดำ : พนารัตน์ อานามวัฒน์. 1O1.world.
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )