
สรุปคำพิพากษาคดีสังหาร ลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชาในไทย หลังศาลตัดสินโทษประหารชีวิตมือปืน

ที่มาของภาพ : Getty Photos
Article Info
-
- Author, วศินี พบูประภาพ และวัชชิรานนท์ ทองเทพ
- Characteristic, ผู้สื่อข่าว.
ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิต นายเอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารเรือ หรือจ่าเอ็ม จำเลยที่ใช้อาวุธปืนยิvนายลิม กิมยา สัญชาติกัมพูชา อดีตสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านกัมพูชา วัย 74 ปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่จำเลยสารภาพ ศาลจึงลดโทษลงเหลือให้จำคุกตลอดชีวิต
นางณัฐาศิริ เบิร์กแมน ทนายฝ่ายโจทก์เปิดเผย.ถึงรายละเอียดของคำพิพากษาในคดีนี้ว่าศาลเริ่มอ่านคำวินิจฉัยคดีนี้เวลาประมาณ 9.00 น. โดยใช้เวลาอ่านเพียง 30 นาทีเท่านั้น ส่วนคำพิพากษาฉบับเต็มคาดว่าน่าจะสามารถเผยแพร่ได้ภายในหนึ่งเดือน
ทั้งนี้ ภายในห้องพิจารณาคดี มีเพียงทนายความจำเลยและโจทก์ร่วมเข้าร่วมฟังการอ่านคำพิพากษาเท่านั้น สวนนางแอน-มารี ลิม ภรรยาชาวฝรั่งเศสของนายลิม กิมยา ไม่ได้เข้าร่วมฟังการอ่านคำพิพากษาเนื่องจากได้เดินทางกลับประเทศไปแล้ว
นางณัฐาศิริ อธิบายเกี่ยวกับคำพิพากษาของคดีนี้ว่า จำเลยที่หนึ่ง นายเอกลักษณ์ แพน้อย อดีตทหารเรือ หรือจ่าเอ็ม ศาลพิพากษาว่า มีความผิดฐานร่วมกันฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ลงโทษประหารชีวิต, ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้จำคุก 8 เดือน, ความผิดฐานยิvปืนหรือใช้กระสุนปืนโดยใช่เหตุในหมู่บ้านและที่ชุมชนให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่เนื่องจากจำเลยสารภาพตั้งแต่ต้น ศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จากโทษประหารชีวิตให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับการอนุญาต ให้มีโทษจำคุกเป็นระยะเวลา 4 เดือน การยิvปืนในที่ชุมชน ให้จำคุก 3 เดือน โดยรวมทั้งหมดแล้วให้จำคุกตลอดชีวิต
ส่วนจำเลยที่สอง ซึ่งเป็นคนขับรถแท็กซี่ ถูกพนักงานอัยการฟ้องว่าทำความผิดฐานช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันไม่ใช่ความผิดลหุโทษให้ไม่ต้องรับโทษ ให้ที่พำนักแก่ผู้นั้นหรือช่วยผู้นั้นโดยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากไม่มีหลักฐานว่า เขารู้ว่าจำเลยที่หนึ่งไปทำความผิดมาและเขามีอาชีพขับรถรับจ้างแถวนั้นอยู่แล้ว ค่าจ้างก็ได้ตามราคาปกติ และได้ปล่อยตัวไปแล้ว
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
ส่วนครอบครัวผู้เสียหายที่เข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลมีคำสั่งในส่วนแพ่ง เป็นค่าจัดการศw 33,599 บาท, ค่าขาดไร้อุปการะศาลสั่งให้เดือนละ 15,000 บาทเป็นระยะเวลา 7 เดือน และค่าเสียหายทางจิตใจที่ภรรยาที่ต้องเห็นสามีถูกยิvต่อหน้าและเสียชีวิตต่อหน้า ศาลสั่งให้ 500,000 บาท โดยค่าเสียหายในส่วนแพ่ง ศาลสั่งให้จำเลยที่หนึ่งเป็นคนจ่ายให้ ซึ่งต้องใช้การบังคับคดีต่อไป
ในส่วนผู้ต้องหาที่อยู่ในประเทศกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย นายลี รัตนรัศมี หรือชื่อไทย นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ส่วนผู้ต้องหาอีกคน คือ นายพิช กิมสริน ชาวกัมพูชา ที่เป็นผู้ชี้เป้า ศาลของไทยได้ออกหมายจับไปแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้ประสานไปยังองค์การตำรวจสากล (Interpol) เพื่อยื่นขอหมายแดง (Red Ask) ไว้แล้ว ต่อไปคงเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการว่าจะมีการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยต่อหรือไม่

ที่มาของภาพ : Getty Photos
การสืบพยานไร้เงาผู้ต้องสงสัยชาวกัมพูชา
คำพิพากษาคดีนี้เป็นผลมาจากการสืบพยานระหว่างวันที่ 30 ก.ย. – 1 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยในวันแรกประกอบด้วย พยานฝ่ายโจทก์ 2 ปาก ส่วนในวันที่สองประกอบด้วยพยานฝ่ายโจทก์อีก 4 ปาก และนางแอน-มารี ลิม ในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ร่วม และยังมีการเบิกตัวจำเลยในคดีอีก 1 คนอีกด้วย
ส่วนนายเอกลักษณ์ แพรน้อย อดีตทหารเรือ หรือ “จ่าเอ็ม” ได้ให้การรับสารภาพไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้รับการจ้างวานเพื่อสังหารนายลิม กิมยา
“เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่จำเลยสารภาพ พยานหลักฐานที่นำมาสืบเป็นไปเพื่อยืนยันตัวตนจำเลย ยืนยันสถานที่เกิดเหตุ จะไม่ได้ลงลึกไปถึงแรงจูงใจ ใครเกี่ยวข้อง คนที่อยู่ต่างประเทศwูดถึงไม่ได้เลย” เธออธิบายหลังจากการสืบพยานเสร็จสิ้นในวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา
ส่วนผู้ต้องหาอีกสองรายที่เป็นชาวกัมพูชาซึ่งเชื่อว่า ในขณะนี้ยังพำนักอยู่ในกัมพูชา ทนายความฝ่ายโจทก์บอกว่า ครอบครัวของนายลิม กิมยา มีความประสงค์ดำเนินการอย่างถึงที่สุดเพื่อให้มีช่องทางในการส่งคำร้องเพื่อประสานให้มีการจับกุมและส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
ในวันนั้น นางณัฐาศิริ กล่าวเพิ่มเติมว่า “น่าเสียดายที่กระบวนการยุติธรรมไม่ได้มองอะไรที่นอกเหนือหรือเกินเลยไปจากสำนวนคดีนี้ ทำให้เราไม่ได้เห็นถึงความเกี่ยวข้องหรือพยานหลักฐานอื่นที่จะเอาความผิดจากคนที่เป็นจ้างวานหรือคนชี้เป้าได้จริง ๆ”
“ครอบครัวเขาก็ติดใจ อยากรู้ว่า ทำไม ใครใช้ ยังไงเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบช่องทางทั้งหมด” เธอให้สัมภาษณ์ที่ศาลอาญาในวันดังกล่าว
ด้านนางแอน-มารี ลิม ภรรยาชาวฝรั่งเศสของนายลิม กิมยา ที่เดินทางเข้าร่วมการสืบพยานในครั้งนี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีในวันที่ 30 ก.ย. ว่า “ฉันต้องการทราบเหตุผลของอาชญากรรมนี้ และใครคือคนสั่งการ นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการทราบมากที่สุด”
เธอกล่าวว่า สามีของเธอคิดเพียงแต่จะทำความดีและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชาวกัมพูชา “นั่นคือสาเหตุที่เขาอยู่ฝ่ายค้าน”
ย้อนที่มาของคดี

ที่มาของภาพ : EPA
พ.ต.ท.พัชรภณ สุขประดิษฐ์ สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ที่แจ้งให้สื่อมวลชนในวันที่ 7 ม.ค. ปีนี้ ว่า ในวันนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. นายลิม กิมยา อายุ 74 ปี ชาวกัมพูชา สวมเสื้อโปโลสีดำ กางเกงขาสั้นครีม ถูกยิvด้วยอาวุธปืนบาดเจ็บสาหัส กระสุนเข้าที่ชายโครงขวาและหัวไหล่ขวาอย่างละนัด แม้ว่าจะมีหน่วยกู้ชีพปฐมพยาบาลปั๊มหัวใจ แต่ผู้บาดเจ็บอาการสาหัสเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
เบื้องต้นคนร้ายเป็นชายขับขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้า เวฟ 100 สีแดง ทะเบียน 845 คนร้ายสวมเสื้อสีเทาแขนสั้น สะพายกระเป๋าคาดหน้าอก กางเกงยีนส์ สวมหมวกกันน็อก คาดว่าซุกซ่อนอาวุธปืนไว้ในกระเป๋า
ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุเบื้องต้นว่า ผู้เสียชีวิตเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เดินทางมาจากเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา โดยรถบัสมาพร้อมกับภรรยาชาวฝรั่งเศส และลุงชาวกัมพูชา ได้มาลงตรงบริเวณที่เกิดเหตุ จากนั้นมีคนร้ายขับขี่รถจักรยานยนต์ จอดรถแล้วก็ลงมายิvผู้เสียชีวิต ก่อนจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี เส้นทางใช้ถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร โดยในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำภรรยาของเขาเพื่อหาสาเหตุปมสังหารนักเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยปากหนึ่ง
ต่อมาในวันที่ 8 ม.ค. พันตำรวจเอกสนอง แสงมณี ผู้กำกับการ สนชนะสงคราม เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ได้ออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุยิv นายลิม กิมยา โดยผู้ก่อเหตุที่ถูกออกหมายจับ ชื่อ นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ “จ่าเอ็ม” อายุ 41 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร ในข้อหา ฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พกอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ยิvปืนซึ่งใช้ดินsะเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ประวัติของนายเอกลักษณ์ เคยรับราชการเป็นทหารเรือ สังกัดหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน มีความชำนาญในการใช้อาวุธปืน นอกจากนี้ยังเป็นนักกีฬาสนุกเกอร์ ฉายา “เอ็ม กองเรือ” มีผลงานเคยเข้าร่วมการแข่งขันสนุกเกอร์อาชีพเก็บสะสมคะแนน ดิวิชั่น 2 จำนวน 4 รายการ

ที่มาของภาพ : EPA
ต่อมาโซเชียลมีเดียของกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ที่ใช้ชื่อว่า “สืบนครบาล IDMB” เปิดเผยถึงปฏิบัติการล่าตัวผู้ก่อเหตุว่า ตำรวจชุดสืบสวนของนครบาลได้ไล่ล่าผู้ต้องสงสัยไปถึงบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา (เขาดิน-สำเภารูน) เขตรอยต่อ อ.คลองหาด จ.สระแก้ว และพื้นที่ จ.พระตะบองของกัมพูชา เมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 8 ม.ค. แต่ชุดสืบสวนคลาดกับคนร้ายโดยสามารถหลบหนีผ่านช่องทางธรรมชาติไปได้อย่างฉิวเฉียด
ในเวลานั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตำรวจ) เปิดทางประสานงานกับ ผู้กำกับการสถานีตำรวจสำเภารูน ประเทศกัมพูชา ก่อนส่งชุดสืบนครบาลข้ามแดนไปร่วมไล่ล่าติดตามผู้ก่อเหตุ
สืบนครบาล ระบุต่อไปว่า ได้สืบทราบว่าผู้ต้องสงสัย (ในขณะนั้น) ได้แลกเงินจำนวน 4,000 บาท ที่ร้านรับแลกเงินริมชายแดน จากนั้นได้เดินทางขึ้นรถโดยสารเพื่อเข้าไปใจกลางประเทศกัมพูชา แต่เจ้าหน้าที่สืบทราบก่อนจึงไล่ล่าติดตามไปจนกระทั่งจับได้ขณะที่ผู้ก่อเหตุแวะพักรับประทานอาหารใน ต.ปเรยสวย อ.โมงรึไทร จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2568 เวลา 16.30 น.
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจกัมพูชา และชุดสืบนครบาล ได้นำตัวผู้ต้องหาไปที่กองบังคับการจังหวัดพระตะบอง ก่อนจะส่งตัวไปที่กองบัญชาการความมั่นคงภายในที่กรุงพนมเปญ เพื่อซักถามเพิ่มเติม และต่อมาถูกส่งตัวกลับไทยแล้วในวันที่ 11 ม.ค. ที่ผ่านมา
ต่อมาเมื่อวันที่ 15 ม.ค. สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่า หลังจากการสืบสวนสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้พบว่า นายเอกลักษณ์ได้ระบุถึง ผู้มีพระคุณที่จ้างวานให้นายเอกลักษณ์ก่อเหตุยิv นายลิม กิมยา เสียชีวิต ซึ่งบุคคลนั้นคือ นายลี รัตนรัศมี หรือชื่อไทย นายสมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้วจึงขออำนาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับ นายสมหวัง ใน 3 ข้อหา เป็นผู้ใช้จ้างวานให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และยิvปืนซึ่งใช้ดินsะเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
ในคดีนี้ยังมีผู้ต้องหาชาวกัมพูชาตามหมายจับอีก
ผู้ต้องหารายหนึ่งคือ นายพิช กิมสริน ชาวกัมพูชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหาว่าเป็นผู้ชี้เป้า เขาถูกพบในกล้องวงจรปิดว่าโดยสารเข้าประเทศไทยสู่ที่เกิดเหตุด้วยรถโดยสารคันเดียวกับนายลิม กิมยา ก่อนลงจากรถในเวลาใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุและเดินทางกลับกัมพูชาในวันเดียวกัน
ส่วนผู้ต้องหาชาวกัมพูชาอีกรายหนึ่ง เจ้าหน้าที่ระบุตัวผู้จ้างวานเป็นชาวกัมพูชาชื่อนายลี รัตนรัศมี ซึ่งในระหว่างการสืบพยานในคดี พยานฝ่ายโจทก์ระบุว่า พบเส้นทางการเงินของเขาเชื่อมโยงกับนายเอกลักษณ์ โดยพบการโอนเงิน 60,000 บาทและพบการโอนเงิน 22,000 บาท ซึ่งพยานระบุว่าเป็นเป็นค่าไถ่ปืน
จากการแถลงข่าวของ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2568 ระบุว่า ชายชาวกัมพูชารายนี้เข้าออกประเทศไทยกว่า 100 ครั้ง ในระยะเวลาสองปี ก่อนเกิดเหตุได้เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค อยู่ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี และเดินทางออกนอกประเทศไปในเช้าวันที่ 8 ม.ค. หลังเกิดเหตุหนึ่งวัน ตามช่องทางปกติ
พล.ต.ต.อัฏธพร ยังระบุว่า นายเอกลักษณ์ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมว่า นายลีมีความโกรธแค้นส่วนตัวกับผู้เสียชีวิตจึงขอให้ตนดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า เขาในฐานะมือปืนไม่ทราบภูมิหลังของผู้เสียชีวิตโดยรู้เพียงลักษณะภายนอกจากคนชี้เป้าเท่านั้น
ในการแถลงข่าวครั้งนั้นยังระบุว่าจะมีการประสานไปยังองค์การตำรวจสากล (Interpol) เพื่อยื่นขอหมายแดง (Red Ask) ต่อไป
ลิม กิมยา คือใคร

ที่มาของภาพ : AFP by capability of Getty Photos
หลังเกิดเหตุการลอบสังหารดังกล่าว สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเกี่ยวกับนายลิม กิมยา ว่า เขาเป็นสมาชิกของพรรคซีเอ็นอาร์พี ซึ่งถือเป็นพรรคฝ่ายค้านที่เคยได้รับความนิยมในอดีต แต่กลับถูกศาลในกัมพูชาสั่งยุบพรรคในปี 2560 ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปีถัดมา ด้วยข้อหาสมคบกับสหรัฐฯ เพื่อโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งในขณะนั้นพรรคซีเอ็นอาร์พีกล่าวว่า ข้อหาดังกล่าวเป็นการใส่ร้ายโดยพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุน เซน
ตลอดระยะเวลากว่าสี่ทศวรรษที่กัมพูชาถูกปกครองโดยพรรคประชาชนกัมพูชา ได้มีการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอย่างต่อเนื่องและรุนแรง มีนักการเมืองและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนมากต้องถูกจำคุก มีจำนวนมากที่สูญหาย และหลายร้อบคนต้องลี้ภัยในต่างประเทศ แต่รัฐบาลออกมาปฏิเสธว่าไม่เคยข่มเหงฝ่ายค้านแต่อย่างใด

ที่มาของภาพ : Getty Photos
สำนักข่าวรอยเตอร์ในขณะนั้นยังรายงานด้วยว่า นายลิม กิมยา ไม่ได้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลกัมพูชาที่โดดเด่นนัก
แต่ก่อนหน้านี้ เขาเคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศหลายครั้ง อย่างเมื่อเดือน พ.ย. 2560 เขาเคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอเอฟพีว่า เขาจะ “ไม่มีทางเลิกเล่นการเมือง” และยังคงมีแผนจะอยู่ในกัมพูชาต่อไป แม้ว่าในขณะนั้นจะมีคำสั่งศาลฎีกาสั่งยุบพรรคซีเอ็นอาร์พีก็ตาม
ที่มา BBC.co.uk