
ไขข้อกังขา เงินไหลเข้าไทยไม่ทราบที่มา ราคาทองพุ่ง เงินบาทแข็ง เกิดจากอะไร ?

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
Article Facts
-
- Creator, ปณิศา เอมโอชา
- Role, ผู้สื่อข่าว.
นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา
.ได้สัมภาษณ์ผู้กำหนดนโยบาย รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญทั้งจากในไทยและต่างประเทศเพื่ออธิบายประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1. ‘เงินปริศนา' กับที่มาซึ่งระบุไม่ได้ นักเศรษฐศาสตร์อธิบายอย่างไร
ในช่วงกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีนักเศรษฐศาสตร์ของไทยอย่างน้อยสองคน ได้แก่ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ที่ออกมาพูดถึงประเด็น ‘เงินไหลเข้าที่ไม่รู้ที่มา' หรือ ธุรกรรมที่ “ไม่สามารถอธิบายได้”
เม็ดเงินที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสองชี้ถึงนั้นคือ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า “ตัวเลขที่แสดงความคลาดเคลื่อนเชิงสถิติ” หรือ Obtain Errors and Omissions (NEO) โดยสำนักข่าวเดอะสแตนดาร์ด รายงานข้อสังเกตของ ดร.ศุภวุฒิ ไว้ ณ วันที่ 18 ก.ย. ว่า ไทยมีเงินไหลเข้าที่อธิบายไม่ได้นี้พุ่งขึ้นอย่างผิดปกติ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ไตรมาส (ราว 9.7 หมื่นล้านบาท)
ขณะที่ ดร.พิพัฒน์ แนบกราฟ (ด้านล่าง) ที่แสดงสัดส่วน NEO นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2562 ถึงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ไว้ในโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 16 ก.ย. โดยตั้งคำถามถึงที่มาของตัวเลข NEO ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
จากกราฟดังกล่าว จะเห็นว่าแท่งสีแดงที่แสดงถึงสัดส่วน NEO เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างน้อยตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 โดย ดร.พิพัฒน์ตั้งข้อสงสัยว่า “ธุรกรรมที่ ‘ไม่สามารถอธิบายได้' ที่ขยายตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณว่ามีเงินเข้า–ออกจำนวนมากที่เรายังไม่แน่ใจว่าคืออะไร… ถ้าไม่เข้าใจ เราอาจจะไม่รู้ว่าเราควรทำอะไรกับมันหรือไม่”
จากโพสต์ของ ดร.พิพัฒน์ นั้น เขาตั้งข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วเม็ดเงินที่อาจไม่รู้ที่มาเหล่านี้อาจเป็น “ช่องโหว่ ที่ทำให้เงินบาทแข็งจาก inflows (เงินไหลเข้า) ที่ตรวจสอบไม่ได้ และอาจถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน”

ที่มาของภาพ : ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย
หลังนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสองเริ่มออกมาพูดถึงเงินทุนไหลเข้าซึ่งไม่ทราบที่มา สาธารณชนไทยก็เริ่มตั้งคำถามอย่างกว้างขวางว่าเงินเหล่านี้เป็นเงินถูกกฎหมายหรือไม่ ต่อมานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งทีมสืบหาที่มาของเม็ดเงินเหล่านี้
ต่อมาวันที่
เธออธิบายเสริมว่า ตัวเลข NEO ไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงเม็ดเงินผิดกฎหมายหรือเงินเทาเท่านั้น พร้อมอธิบายเสริมว่า เวลามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแลกเงินจากสกุลเงินท้องถิ่นมาเป็นสกุลเงินบาทของไทย ธุรกรรมเช่นนี้ธนาคารกลางรู้ที่มาชัดเจน แต่เมื่อเงินที่แลกมาถูกนำไปใช้จับจ่ายทั่วไปในประเทศต่อ เช่น การซื้อข้าวตามร้านค้าทั่วไป ธุรกรรมเช่นนี้ธนาคารกลางจะรับรู้ได้น้อยลงและต้องไปตามหาข้อมูลเพิ่มเติม
ในการแถลงครั้งนี้ของ ธปท.ยังมีการปรับตัวเลข NEO ใหม่ด้วย จากตัวเลข NEO ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากปี 2567 แต่เผยแพร่ในเดือน มี.ค. 2568 ซึ่งมีสถิติอยู่ที่ 1.52 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.90 แสนล้านบาท) ลดลงมาอยู่ที่ 7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.3 แสนล้านบาท)
น.ส.ชญาวดี ยังเสริมต่อไปว่า การจะทำความเข้าใจตัวเลข NEO ว่าดีหรือไม่ดี อาจจะดูแค่ตัวเลขรวมอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องเปรียบเทียบเป็นสัดส่วนว่า ประเทศนั้น ๆ มีการเปิดประเทศหรือมีการค้าการลงทุนกับต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน
“ถ้าเทียบกับทั่วโลก ที่มีค่าเฉลี่ยสัดส่วน NEO ต่อมูลค่าการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก อยู่ที่ 2.4% แต่ค่าเฉลี่ยดังกล่าวของไทยในรอบสิบปีอยู่ที่ 1.3% และครั้งนี้ปรับมาอยู่ที่ 1.0% ต่ำกว่าข้อมูลเฉลี่ยในอดีต ก็ถือว่าเราต่ำ นี่ถือเป็นความคลาดเคลื่อนทางสถิติที่เกิดขึ้นได้” น.ส.ชญาวดี อธิบาย
ภายหลังการแถลงของ ธปท. .สอบถามความเห็นของ ดร.ศุภวุฒิ อีกครั้ง โดยประธานสภาพัฒน์ฯ ชี้ว่า หากเป็นตัวเลขที่ปรับใหม่แล้ว แสดงว่า ธปท. คงเจอที่มาแล้ว พร้อมเสริมว่า “ผมคิดว่า ถ้าแบงก์ชาติหาเจอ ก็ไม่ว่ากัน ก็เชื่อ”
.ยังได้สัมภาษณ์ นายคริสปิน หยวน ผู้อำนวยการ Custos Advisory ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาอิสระด้านความเสี่ยงอาชญากรรมทางการเงิน ซึ่งตั้งอยู่ในออสเตรเลีย ในประเด็นดังกล่าวด้วย โดยเขาบอกกับ.ว่า NEO ไม่สามารถใช้เพื่อ “ระบุชี้ชัด” (pinpoint) ธุรกรรมที่ผิดกฎหมายแบบเฉพาะเจาะจงลงไปที่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือแหล่งที่มาของการฟอกเงินเพียงแหล่งเดียวได้ ท่วา “จุดแข็งของมันอยู่ที่การทำหน้าที่เสมือน ‘เครื่องตรวจจับควัน' ในระดับมหภาคของระบบเศรษฐกิจ”
นายหยวนอธิบายว่า ตัวเลข NEO ที่สูงและคงที่ กำลังบอกหน่วยงานรัฐว่ามี ‘การรั่วไหล' ที่สำคัญอยู่ และเป็นเหตุผลให้หน่วยงานกำกับนำเครื่องมือเชิงลึกและเชิงนิติวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อสืบหากิจกรรมที่ผิดกฎหมายเฉพาะรายต่อไป หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “ติดตามเส้นทางการเงิน” นี่คือมิติหนึ่งของการใช้ตัวเลข NEO เป็นเครื่องตรวจจับควัน
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาชญากรรมทางการเงินรายนี้เสริมด้วยว่า เมื่อมีการตรวจสอบพบความผิดปกติจากตัวเลข NEO มาตรการที่หน่วยงานรัฐสามารถใช้เพื่อสืบหาที่มาของเม็ดเงินหรือการหาต้นตอของไฟ
- การวิเคราะห์ความผิดปกติในการออกใบแจ้งหนี้การค้า (exchange misinvoicing prognosis) โดยเปรียบเทียบข้อมูลการส่งออกของประเทศกับข้อมูลนำเข้าของประเทศคู่ค้า (deem trading) เพื่อหาความต่างที่อาจบ่งชี้ถึงช่องทางการถ่ายโอนมูลค่าหลบซ่อน หรือกิจกรรมเงินผิดกฎหมาย เขาเสริมว่าองค์การศุลกากรโลก หรือองค์กรเพื่อความโปร่งใสทางการเงิน นิยมใช้วิธีนี้เพื่อตรวจสอบความผิดปกติส่วนมากจากประเทศกำลังพัฒนา
- การวิเคราะห์ด้วยตัวกรองราคา (tag filter prognosis) เขายกตัวอย่างว่า วิธีการนี้ถูกนำมาใช้ในกรณีศึกษาเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ของประเทศกานา อาทิ การส่งออกทองคำและโกโก้ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ สำหรับกระบวนการตรวจสอบ เจ้าหน้าที่จะเปรียบเทียบราคาประกาศสินค้าที่ต้องสงสัย กับเกณฑ์มาตรฐานราคาตลาดโลก จากกรณีของกานา นักวิจัยสามารถระบุธุรกรรมที่มีการตั้งราคาผิดปกติ และประเมินมูลค่าความสูญเสียจากการส่งออกที่ถูกตีราคาต่ำกว่าความเป็นจริงราว 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.84 แสนล้านบาท) ในช่วงเวลาเจ็ดปี ตามข้อมูลจาก Geneva Graduate Institute
- การตรวจสอบรูปแบบธุรกรรมในตลาดการเงิน (sample prognosis in financial markets) เช่น กรณีที่ธนาคารดอยช์แบงก์ (Deutsche Bank) ใช้เทคนิค deem trading ตรวจพบเม็ดเงินหลายพันล้านเหรียญถูกเคลื่อนย้ายออกจากรัสเซียผ่านการซื้อหุ้นด้วยสกุลเงินรูเบิลในประเทศหนึ่งและขายเป็นเงินตราต่างประเทศในอีกประเทศหนึ่ง การตรวจพบรูปแบบซ้ำ ๆ นี้ช่วยระบุเส้นทางฟอกเงินที่เป็นกลไกหลักของกระแสเงินผิดกฎหมายใน NEO ได้
เขาเสริมว่า ผู้กำกับดูแลระบบการเงินยังต้องตรวจสอบผู้ถือผลประโยชน์ที่แท้จริง รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการใช้องค์กรธุรกิจตัวกลาง เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน เป็นช่องทางในการถือกรรมสิทธิ์หรือดำเนินธุรกิจ
สำหรับความเชื่อมโยงกับอาชญากรรมเชิงระบบ นายหยวนอธิบายว่า โดยหลักการอาชญากรรมทางการเงินในระดับใหญ่และเป็นระบบ ไม่ว่าจะมาจากการทุจริต การเลี่ยงภาษี หรือการฟอกเงินที่อาศัยการค้าระหว่างประเทศ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อปกปิดจากสายตาหน่วยงานกำกับดูแล ธุรกรรมเหล่านี้จึงไม่ปรากฏอยู่ในองค์ประกอบมาตรฐานของดุลการชำระเงิน เช่น การค้าหรือการลงทุน แต่กลับสะท้อนออกมาเป็นความคลาดเคลื่อนทางสถิติขนาดใหญ่ในหัวข้อ NEO
ด้าน ดร.ศุภวุฒิ เสริมว่า สำหรับประเด็นเงินเทาที่แฝงมากับ NEO นั้น มีความเสี่ยงอยู่แล้ว “และถ้าเราปล่อยให้มันเกิดขึ้นต่อเนื่อง เรามีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกนำไปใช้ตรงนี้ไปเรื่อย ๆ มันไม่ดีแน่นอนสำหรับชื่อเสียงของประเทศไทย”
2. อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
นอกจากประเด็นเรื่องที่มาไม่ชัดเจนของตัวเลข NEO อีกข้อถกเถียงหนึ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือ NEO เป็นจุดที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วยหรือไม่
หากย้อนกลับไปดูค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2567 พบว่าอยู่ที่ราว 34.12 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในช่วงที่มีการถกเถียงเรื่องที่มาของตัวเลข NEO นั้น ค่าเงินบาท ช่วงวันที่ 8-16 ก.ย. 2568
ในรายงานฉบับล่าสุดของ S&P Global ที่ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา พบว่า ค่าเงินของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา 17 ประเทศ (EM-17) ซึ่งรวมถึงไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศในแถบละตินอเมริกา แต่ไม่รวมจีน แข็งค่าขึ้นเฉลี่ยเพียง 4% นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ในวันเดียวกับที่ ธปท.แถลงเกี่ยวกับเรื่อง NEO น.ส.ภาวิณี จิตต์มงคลเสมอ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดการเงิน ธปท. ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพราะสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นอ่อนค่าลง ซึ่งมีปัจจัยมาจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี เธอเสริมว่า ยังมีปัจจัยเฉพาะตัวของไทยอีก 3 ข้อที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ได้แก่ 1. ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยดีขึ้นว่าการคาดการณ์ 2. สถานการณ์ทางการเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วหลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียง และ 3. พฤติกรรมการซื้อทองคำของไทย ซึ่ง น.ส.ภาวิณี อธิบายไว้ว่า เมื่อทองคำราคาเพิ่มขึ้น และร้านทองของไทยขายทองคำให้ลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น ก็จะมีการแลกเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาเป็นเงินบาทมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า
ด้าน ดร.ศุภวุฒิ เสริมว่า มิติเรื่องเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยควรเข้ามาบริหารให้ดีมากขึ้น โดยเขาชี้ว่า เงินเฟ้อไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1% ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เฉลี่ยเกือบ 3% “ส่วนต่างนี้สะท้อนว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นเฉลี่ย 1–2% ต่อปี ต่อเนื่องยาวนาน”
เมื่ออ้างอิงตามทฤษฎีความเท่าเทียมของกำลังซื้อ (Shopping Energy Parity – PPP) “หากอัตราเงินเฟ้อของสองประเทศเท่ากัน อัตราแลกเปลี่ยนก็จะคงที่ แต่ถ้าอัตราเงินเฟ้อของประเทศหนึ่งสูงกว่าอีกประเทศหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ ค่าเงินของประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าจะอ่อนค่าลงและสูญเสียมูลค่า”
นอกจากนี้ ดร.ศุภวุฒิ ยังชี้ว่า การที่เงินเฟ้อต่ำมากกว่ากรอบเป้าหมายของแบงก์ชาติ (1–3% โดยมีค่าเป้ากลาง 2%) แสดงถึง อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
ประธานสภาพัฒน์ฯ กล่าวเสริมถึงเรื่องดุลบัญชีเดินสะพัด โดยเตือนว่าการที่ไทยส่งออกสินค้าหรือบริการไปต่างประเทศมากกว่าการนำเข้านั้น ไม่เพียงทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐที่ได้จากการส่งออกจำเป็นต้องถูกแลกกลับมาเป็นเงินบาทเพื่อใช้ในประเทศสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น แต่ยังสะท้อนย้ำว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังไม่แข็งแรงพอ
“เราส่งออกสินค้าและบริการมากกว่านำเข้าสินค้าบริการ โดยปกติเราจะนึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี แต่มันสะท้อนว่าอุปสงค์ภายในประเทศไม่เยอะพอ”
3. ราคาทองทะลุ 60,000 บาท เกิดจากสาเหตุใด ?
นอกจากสถานการณ์เรื่องค่าเงินบาท หรือกระแสเงินไหลเข้าปริศนา ประเด็นเรื่องราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 40% นับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนทั้งรายย่อยและรายใหญ่ต่างให้ความสนใจเช่นเดียวกัน
จากสถิติราคาขายทองคำรูปพรรณ ณ วันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา ของสมาคมค้าทองคำ พบว่า ราคาทองคำรูปพรรณ ขายออก เปิดตลาดอยู่ที่ 59,650 บาท ก่อนที่จะมาทำสถิติราคาทะลุ 60,000 บาท ในช่วง 10.50 น. ในวันดังกล่าว และทำสถิติสูงสุดของวันอยู่ที่ 60,100 บาท ก่อนจะปิดตลาดด้วยราคา 59,200 บาท
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนระดับโลก และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บอกกับ.ว่า โดยปกติแล้วราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้นตามภาวะเงินเฟ้ออยู่แล้ว ดังนั้น “หากถือทองคำไว้เฉย ๆ ก็มีโอกาสที่ราคาจะขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ ปัจจัยเดียวที่อาจกดดันให้ราคาลดลงก็คือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ราคาทองปรับฐานลงมาตามขนาดของเศรษฐกิจ”
สำหรับราคาทองคำที่พุ่งขึ้นไปทะลุ 60,000 บาทนั้น ดร.จิติพล อธิบายว่า เกิดจากปัจจัยค่าเงินบาทไทยที่เริ่มอ่อนตัวลง เนื่องจากก่อนหน้านี้เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันในตลาดต่างประเทศก็เกิดปรากฎการณ์ threat-off หรือภาวะที่นักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง จึงทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าขึ้นกดดันเงินบาทด้วย ดังนั้น การที่เงินบาทอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วจึงส่งผลให้ราคาทองคำในรูปเงินบาทดีดตัวขึ้น
เมื่อถามว่าทุกครั้งที่ราคาทองปรับขึ้น จะถือเป็นการสร้างฐานราคาใหม่หรือไม่ ดร.จิติพล ตอบว่า ส่วนใหญ่คำตอบคือ ใช่ “แต่ก็ไม่ได้พุ่งแรงจนถึงระดับ 50,000–60,000 บาทเสมอไป การขึ้นแรงขนาดนั้นมักมาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ “สภาพคล่องเหลือ แล้วล้นเข้ามา กับมีคนปรับสัดส่วนการลงทุนเข้ามาในทองเพิ่มขึ้น”
ที่มา BBC.co.uk